- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- จับตาจำนำข้าวหลังน้ำลด การเมืองปั่นราคา พัฒนาไม่ยั่งยืน
จับตาจำนำข้าวหลังน้ำลด การเมืองปั่นราคา พัฒนาไม่ยั่งยืน
แม้เสียงครหาจะดังออกมาจากทุกสารทิศ แต่ก็ไม่สามารถสกัดกั้นโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลชุดนี้ได้ ส่วนหนึ่งเพราะเป็นแคมเปญที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ว่าจะทำให้ราคาข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท อีกส่วนหนึ่งคือการเกทับแคมเปญประกันรายได้ที่เป็นยี่ห้อของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งกำลังเข้ารูปเข้ารอย
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีซึ่งมีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2554 เห็นชอบโครงการจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 ณ ความชื้นไม่เกิน 15% ประกอบด้วย ข้าวเปลือกหอมมะลิราคาสูงสุดตันละ 20,000 บาท
ข้าวเปลือกปทุมธานีตันละ 16,000 บาท , ข้าวเปลือกเหนียว 10% เมล็ดยาว ตันละ 16,000 บาท , ข้าวเปลือกเหนียว 10% เมล็ดสั้น ตันละ 15,000 บาท , ข้าวเปลือกเจ้า 100% ตันละ 15,000 บาท และข้าวเปลือกเจ้า 5% ตันละ 14,800 บาท เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ โชคร้ายที่ตีปี๊บโครงการรับจำนำ เมื่อ 7 ตุลาคม 2554 แต่ก็กลับไม่มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการเท่าที่ควร เนื่องจากพื้นที่นาส่วนใหญ่ล่ม-จมอยู่ในท้องน้ำหมดแล้ว ขณะที่ชาวนาที่เกี่ยวข้าวได้ทันก่อนน้ำท่วมทุ่ง ก็รีบขายให้กับโรสีทั้งที่ความชื้นยังไม่ได้ สุดท้ายก็ถูกกดราคา
ตามตัวเลขของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระบุว่า มหาอุทกภัยเที่ยวนี้ได้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ปลูกข้าวไปแล้วถึง 8,012,301 ไร่ ส่วนใหญ่อยู่ในเขตอู่ข้าวอู่น้ำอย่างอยุธยา ลพบุรี ชัยนาถ อุทัยธานี ปทุมธานี จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าความเสียหายสุดท้ายจะเป็นเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆคือชาวนาเสียโอกาสจากโครงการจำนำข้าวที่ให้ราคาสูงของภาครัฐ
ในมุมมองของ นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย เห็นว่า ทั้งโครงการจำนำข้าวและประกันรายได้เกษตรกรไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาชาวนาอย่างยั่งยืน แต่เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น โดยเป็นการใช้นโยบายการเมืองเข้ามาดำเนินการช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งไม่ถูกหลักการ เป็นเพียงการนำชาวนาเป็นเครื่องมือนักการเมือง เหมือนการถูกหลอกมาตลอด
“ผมอยากเห็นรัฐบาลทำแผนพัฒนาแบบยั่งยืนมากกว่า ช่วยพี่น้องตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ ไปเลย แล้วประกาศให้ชัดว่าจะให้ทำนาปีละกี่ครั้ง 3 ครั้ง หรือเหลือแค่ 2 ครั้ง ไม่ใช่กลัวแต่เสียงคะแนนเสียง แล้วก็ไม่กล้าพูด” นายประสิทธิ์ระบุ
ประเด็นที่นายกสมาคมชาวนาไทย มองก็คือ แม้ชาวนาจะขายได้ราคาเพิ่มขึ้นถึง 15,000 บาทต่อตัน แต่รายได้สุทธิเมื่อหักสิ่งต่างๆแล้วน่าจะอยู่ที่ 12,000 บาท ต่อตัน แลกกับการเพิ่มขึ้นของค่าปุ๋ย ยาฆ่าแมลง หรือเมล็ดพันธุ์ รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว รายได้ก็ยังตามไม่ทันอยู่ดี สู้ให้กลไกตลาดเดินเองไม่ได้
ดังนั้น สิ่งสำคัญที่รัฐบาลควรให้กับชาวนาก็คือองค์ความรู้ที่ถูกต้อง ให้ลูกหลานเกษตรกร กลับมาพัฒนาพื้นที่ทำกินอย่างต่อเนื่อง จะให้เรียนฟรีจนถึงปริญญาโทก็ได้ แต่มีเงื่อนไขต้องกลับมาพัฒนาที่นาในบ้านเกิด ไม่เช่นนั้นเราก็จะเห็นรัฐบาลแก้ไขแต่หนี้สิน เพราะทำเท่าไหร่ต้นทุนก็สูงขึ้น แข่งขันกับใครก็ไม่ได้ สุดท้ายก็เป็นหนี้
ไม่เพียงเท่านั้น ยังอยากเห็นรัฐบาลจุดพลุโครงการโซนนิ่งพื้นที่เพาะปลูกข้าว เหมือนที่ประเทศเวียดนามดำเนินการอยู่ ความเสี่ยงต่างๆจะได้หายไป โดยภาครัฐต้องเข้ามาช่วยเหลือด้านเมล็ดพันธุ์ การตลาด ถ้าทำได้จะเกิดการแข่งขันข้าวในเกรดพรีเมี่ยมทันที รัฐบาลสามารถควบคุมได้ว่าจะอยู่พื้นที่ไหน ปลูกปริมาณเท่าไหร่ จากนั้นก็ทำการตลาดภายในและต่างประเทศให้สัมพันธ์กัน
“ถ้าทำจริงๆจังๆวางแผนให้เกิดความยั่งยืนแล้ว ผมเชื่อว่า3-4 ปีข้างหน้า เราก็ไม่ต้องเสียเงินจำนำหรือประกันรายได้จำนวนมากอีก รัฐบาลจะเสียเงินก็เฉพาะเวลาเกิดพืชผลเสียหายเท่านั้น และหากคุมให้เกษตรกรทำนาได้ปีละ 2 ครั้งก็จะยิ่งได้คุณภาพข้าวที่ดีขึ้น การแก้ปัญหาข้าวโดยใช้ราคาเป็นตัวตั้งจะยิ่งทำให้ชาวนายากจน เพราะต้นทุนจะยิ่งสูงขึ้นอีก” นายประสิทธิ์กล่าว
ทั้งนี้ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ ริเริ่มนำโครงการประกันรายได้เกษตรกรเข้ามาใช้ โดยการันตีราคาขั้นต่ำที่คิดจากต้นทุนบวกกำไรประมาณ 40% หากชาวนาขายข้าวได้ราคาต่ำกว่านี้ สามารถนำหลักฐานมาขอส่วนต่างคืนได้จากภาครัฐ ซึ่งมีข้อดีคือแม้ชาวนาจะไม่มีข้าวในมือก็สามารถใช้สิทธินี้กับภาครัฐได้ แต่ข้อเสียคือโรงสีไม่ร่วมมือเพราะเสียผลประโยชน์จึงกดราคาข้าวให้ต่ำลง
ส่วนโครงการจำนำของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ใช้หน่วยงานอย่างองค์การคลังสินค้าและองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรตั้งจุดรับซื้อจากชาวนา มีข้อดีคือตั้งราคาจำนำไว้สูงเป็นการยกระดับรายได้ของเกษตรกร แต่ปัญหาทุกครั้งที่ผ่านมาคือการทุจริตและเผชิญกับการขาดทุนมหาศาลในการเก็บสต็อคของรัฐบาล
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้กำลังจับตาดูว่าโครงการจำนำข้าวของภาครัฐจะดำเนินการสำเร็จหรือไม่ แม้ว่าปริมาณข้าวจะลดลงและไม่ได้อยู่ในมือชาวนา แต่ก็มีอีกหลายพื้นที่ที่น้ำไม่ท่วม ซึ่งรัฐบาลต้องอุดช่องโหว่ไม่ให้โรงสีที่ซื้อข้าวในราคาถูก มาสวมสิทธิแทนชาวนา โดยสิ่งที่ต้องระวังมีคน 3 กลุ่ม คือ พ่อค้าคนกลาง ข้าราชการ และนักการเมือง ถ้าครบองค์ประกอบของความร่วมมือทั้ง 3 กลุ่มนี้เมื่อไหร่ก็อาจเป็นปัญหาได้ เพราะยิ่งเกิดปัญหาทุจริตในโครงการนี้จะเสียหายอย่างหนัก เหมือนที่เคยมีประสบการณ์มาในอดีต
นายกสมาคมชาวนาไทย ยอมรับว่า หลังจากเปิดโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2554 ปรากฎว่าเกิดอุปสรรคจากปัญหาน้ำท่วมใหญ่ ขณะที่ข้าวของเกษตรกรยังเกี่ยวกันไม่มาก ที่เหลือน่าจะออกมาอีกในช่วงปลายเดือนนี้ กรณีที่นาไม่จม เกษตรกรจะขายได้ตันละ 11,000-12,000 บาทที่ความชื้น 22-25% ก็ถือว่าสูงแล้ว ส่วนนาที่จมก็ทำอะไรยาก นอกจากแสดงความเสียใจและรอดูว่ารัฐบาลจะมีความช่วยเหลืออะไรออกมาให้บ้าง เช่น การจ่ายค่าเสียหายเท่าไหร่
นอกจากนั้น จะต้องตรวจสอบเรื่องข้าวจากนอกประเทศเข้ามาสวมสิทธิ เช่นขณะนี้ได้รับรายงานจากตัวแทนสมาคมที่อยู่ในเขตนครราชสีมาแล้วว่า มีข้าวลักลอบนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ทะลักเข้ามาชายแดนแต่ยังไม่ทราบว่าเข้ามาอยู่กับทางโรงสีใด แต่ที่พบคือมีบุคคลมีสีเข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องนี้รัฐบาลก็ต้องดูแลอย่างจริงจังไม่เช่นนั้น โครงการจำนำข้าวก็รั่วไหลแน่นอน เพราะจะมีคนสวมสิทธิแทนชาวนาไทย
ขณะที่หลังน้ำลดระดับลงแล้ว รัฐบาลควรมีแผนในการเยียวยาผลกระทบด้วยการแจกจ่ายพันธุ์ข้าวอย่างทั่วถึงและเพียงพอ จากเดิมที่กำหนดว่าจะแจกพันธุ์ข้าว 10 กิโลกรัมต่อไร่และให้ 10 ไร่เท่านั้น ก็ควรจะเพิ่มเป็น 15 กิโลกรัมและขยายเป็น 20 ไร่ ไม่เช่นนั้นเกษตรกรจะต้องวิ่งหาเงินไปซื้อเมล็ดพันธุ์อีกมาก สุดท้ายก็ถูกพ่อค้าคนกลางขูดรีด
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรี ได้มีมติช่วยเหลือและเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยช่วยเหลือในอัตรา 55% ของต้นทุนการผลิตรวมเฉลี่ยต่อไร่ โดยข้าวจ่ายไร่ละ 2,222 บาท ขณะเดียวกัน คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2554 ยังให้การเยียวยาเกษตรกรที่ขายข้าวไปในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน 2554 อัตราตันละ 1,437 บาท โดยจะต้องจ่ายเงินเยียวยารวม 6,544 ล้านบาทและช่วยเหลือเมล็ดพันธุ์ตามที่เสียหายจริง แต่ไม่เกินรายละ 10 ไร่ ในอัตราไร่ละ 10 กิโลกรัม หรือมูลค่าไร่ละ 180 บาท รวม 659 ล้านบาท รวมเป็นเงินเยียวยา 7,203 ล้านบาท
ดูเหมือนว่า ขณะนี้รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่มีทางเลือกในการเข้าช่วยเหลือชาวนาซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทย นอกจากจะเดินหน้าโครงการจำนำข้าวตันละ 15,000 บาท เพื่อเรียกศรัทธาจากชาวนากลับมาหลังน้ำลด เมื่อบวกกับมาตรการจ่ายเงินเยียวยาแล้วน่าจะทำให้ชาวนาพอใจกับเงินในกระเป๋า แต่ปัญหาก็คือรัฐบาลต้องใช้เงินมหาศาลในการเข้าไปโอบอุ้ม ในภาวะที่ฐานะการคลังของประเทศกำลังอ่อนยวบยาบ ท่ามกลางมรสุมรุมเร้า
การรับจำนำข้าวยังสุ่มเสี่ยงต่อการโจมตีเรื่องการทุจริต ซึ่งเหมือนเป็นการเปิดแผลเก่าที่เคยทำให้รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กระเทือนมาแล้ว ยังไม่นับการโจมตีแบบสับเละของนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์ที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการรับจำนำข้าว จึงถือเป็นทางสองแพร่งทางการเมืองที่รัฐบาลต้องเลือกเอา ระหว่างคะแนนเสียงกับข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ว่าจะเดินทางไหน อย่างไรให้ประเทศไทยเสียหายน้อยที่สุด