- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- แจกถุงยังชีพไม่ทั่วถึง เรื่องซ้ำซากยามเกิดอุทกภัย
แจกถุงยังชีพไม่ทั่วถึง เรื่องซ้ำซากยามเกิดอุทกภัย
“ ผมเพิ่งไปเยี่ยมญาติที่ชัยนาท มีชาวบ้านไม่ได้รับความช่วยเหลือ ไม่ได้ถุงยังชีพก็มี พวกนี้อยู่ไกล ส่วนมากของแจกก็แจกกันใกล้ๆชุมชน” ชายชาวชัยนาทซึ่งมาทำงานในกรุงเทพฯ กล่าวกับผู้สื่อข่าว สำนักข่าวอิศรา หลังจากเดินทางไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่จังหวัดชัยนาท
ผู้เขียนเคยทำข่าวภัยพิบัติ โดยเฉพาะน้ำท่วมในหลายจังหวัดภาคกลางมานานกว่า 10 ปี เชื่อว่าเรื่องที่เขาพูดเป็นความจริง เพราะจากประสบการณ์ทั้งเป็นผู้สื่อข่าว ทั้งเป็นโปรดิวเซอร์ภาคสนามรายงานสดสถานการณ์น้ำท่วม เคยได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านผู้ประสบภัยอยู่เสมอ
อย่างเช่นเมื่อปี 2550 เกิดอุทกภัยน้ำท่วมในจังหวัดภาคกลาง จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดอ่างทอง ถูกน้ำท่วมหนัก ผู้ประสบภัยจำนวนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลชุมชน ไม่สามารถเดินทางออกมารับถุงยังชีพได้ เพราะถนนถูกตัดขาด ไม่มีเรือพายออกมา กว่าหน่วยงานของรัฐจะรู้ว่ายังมีผู้ได้รับความเดือดร้อน เวลาก็ผ่านไปหลายวันแล้ว
“ เวลามีคนมาแจกของบริจาค ก็แจกกันใกล้ๆชุมชน คนอยู่ใกล้ๆก็ได้ก่อน มีการเวียนเทียนรับของแจกกันด้วย”
“ คนที่ได้รับของมามากๆ ก็จะแบ่งของใส่ถุง พายเรือเอามาขายให้คนที่ไม่ได้รับ ราคาก็แพงกว่าปกติ ไม่ซื้อก็ไม่ได้ ” ชาวบ้านในอำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและ อำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง ร้องเรียนผ่านทีมข่าวช่อง 9 อสมท ซึ่งผมทำหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ข่าวในเวลานั้น
แม้ว่าอุทกภัยครั้งนี้ ผมไม่ได้เดินทางเข้าไปในพื้นที่ แต่ก็เชื่อว่าเรื่องทำนองนี้น่าจะยังมีอยู่ เพราะจากการโทรศัพท์ไปสอบถามผู้ประสบภัยบางคนที่รู้จักกัน ได้ข้อมูลว่าชาวบ้านผู้ประสบภัยที่อยู่ห่างไกล ไม่สามารถเดินทางออกมารับถุงยังชีพได้
“ ที่บางปะหัน ก็เหมือนทุกครั้งที่น้ำท่วม คนอยู่ไกลชุมชนไม่ได้รับของบริจาค อยู่บ้านก็อยู่ลำบาก ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำดื่ม ปีนี้ยังดีที่ออกมารวมกันที่วัด มีคนทำอาหารเลี้ยงกัน” ชายชาว กทม ซึ่งไปมีครอบครัวที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้ข้อมูล
จากประสบการณ์ทำข่าวอุทกภัย นอกจากการให้ความช่วยเหลือ โดยเฉพาะการแจกถุงยังชีพทำได้ไม่ทั่วถึง เพราะสภาพพื้นที่อยู่ห่างไกล ชาวบ้านไกลชุมชนเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือ หรือถึงแม้หน่วยงานการปกครองส่วนท้องถิ่นจะให้ความช่วยเหลือ แต่ผู้ที่ไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน อาจจะไม่ได้รับความช่วยเหลือก็ได้
คนเหล่านั้น มักเป็นคนจากถิ่นอื่นมาทำงานในจังหวัดที่กำลังถูกน้ำท่วม ส่วนหนึ่งที่เคยพบคือคนที่เช่าบ้านอยู่ จึงไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน ตามที่เป็นข่าวในเว็บไซต์ผู้จัดการ ดังต่อไปนี้
“ ชาวบางบัวทอง โวย อบต.ประกาศแจกถุงยังชีพ พบมีชาวบ้านจำนวนมากอุตส่าห์ลุยน้ำครึ่งเอวออกไปรับ แต่ไม่ได้ถุงยังชีพ อ้างไม่ใช่เจ้าของบ้านที่แท้จริง ทั้งที่ชาวบ้านอ้อนวอนขอความเมตตา เดือดร้อนแสนสาหัสไม่มีอาหารและน้ำดื่มจริงๆ แต่ท้ายสุด อบต.หอบของที่เหลือกับบ้านเฉย ทั้งที่ยังมีของเหลืออีกจำนวนมาก
ทั้งนี้ เมื่อประชาชนเดินลุยน้ำประมาณเอว ไปถึงบริเวณดังกล่าว (จุดที่แจกถุงยังชีพ) แต่ประชาชนส่วนหนึ่งไม่ได้รับสิ่งของช่วยเหลือ เนื่องจาก อบต.ให้เหตุผลว่าไม่ได้เป็นเจ้าของบ้าน ขณะที่ชาวบ้านยอมรับว่าไม่ได้เป็นเจ้าของบ้าน แต่เป็นผู้เช่าบ้านและอาศัยอยู่จริง ซึ่งมีจำนวนมาก แม้ชาวบ้านจะพยายามชี้แจงว่าขณะนี้มีความเดือดร้อนเรื่องความเป็นอยู่ โดยเฉพาะขาดอาหารและน้ำดื่ม ไม่มีร้านค้าเปิดให้บริการ เพราะน้ำท่วมสูง ซึ่งสุดท้ายแล้วนายก อบต.ก็ไม่แจกสิ่งของช่วยเหลือให้ประชาชนเป็นผู้เช่าบ้าน ทั้งที่ยังมีสิ่งของอีกจำนวนมาก ก่อนที่จะนำสิ่งของกลับออกไปทันที”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เป็นเพียงกรณีเดียวที่เป็นข่าว เชื่อว่าในพื้นที่อื่นก็น่าจะมีเรื่องทำนองนี้เช่นเดียวกัน จากการที่เคยทำข่าวน้ำท่วมมานานพอสมควร ก็เคยได้รับการร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากคนไม่มีรายชื่อในทะเบียนบ้านหลายครั้ง โดยเฉพาะที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีคนต่างถิ่นมาทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม และเช่าบ้านอยู่จำนวนไม่น้อย
นอกจากนี้ ก็มีเรื่องน่าสนใจที่เคยเป็นข่าวเมื่อปีที่แล้ว เมื่อเกิดอุทกภัยน้ำท่วมที่จังหวัดนครราชสีมา มีนักการเมืองท้องถิ่น เก็บของบริจาคไว้เพื่อแจกให้ “ฐานคะแนนเสียง”ตัวเอง จนผู้ว่าราชการจังหวัดต้องออกมาให้ข่าวสื่อมวลชน ดังนี้
“ ผวจ.นครราชสีมา ได้เน้นย้ำ นโยบายการบรรเทาความเดือดร้อนชาวบ้าน ซึ่งขณะนี้มีการร้องเรียนมาหลายช่องทาง โดยเป็นการเลือกปฏิบัติ ซึ่งเป็นการแจกสิ่งของ โดยเฉพาะถุงยังชีพที่ไม่ทั่วถึง มีหลายพื้นที่ไม่ได้รับ เมื่อมีการนำสิ่งของที่ได้รับบริจาคจากศูนย์ช่วยเหลือ ฯ ที่มีหลายหน่วยงาน แต่ถูกนำไปเก็บกักตุนไว้ตามท้องถิ่นต่าง ๆ เพื่อให้นักการเมืองท้องถิ่น และผู้นำชุมชน นำออกไปแจกจ่ายให้ชาวบ้าน แต่เลือกแจกเฉพาะพื้นที่การเมือง หรือชาวบ้านในฐานเสียงตัวเอง ขณะนี้พบพยาน หลักฐาน ระบุมีนักการเมืองท้องถิ่น ในเขต อ.โนนสูง รับมอบถุงยังชีพจากหน่วยงานอื่น แต่กลับไปทำเบิกจ่ายผ่านงบ อปท.จึงสั่งการให้นายอำเภอ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งมีอยู่หลายแห่งที่มีการร้องเรียนมาอย่างต่อเนื่อง ตนจะใช้อำนาจ ผวจ.ฯ สั่งปลดออกจากตำแหน่งทันที ซึ่งเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ เบียดบังผลประโยชน์ในขณะผู้อื่นเดือดร้อน เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตต้องยอมรับเป็นเรื่องที่มีอยู่จริง ส่วนปัจจุบันที่กำลังเผยแพร่กันในอินเตอร์เนต และเป็นข่าวในสื่อหลักอยู่บ้างก็คือ ของบริจาคจำนวนวนมากที่กองพะเนินเทินทึกที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย หรือ ศปภ. ดอนเมือง มีขั้นตอนชักช้า ต้องรอนักการเมืองเซ็นต์ชื่อเพื่อนำของออกไปแจกจ่ายผู้ประสบภัย และที่น่าหดหู่ใจ เศร้าใจที่ในยามวิกฤติเช่นนี้ยังมีการแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ก็คือข่าวที่ปรากฎออกมาทางสื่อมวลชน ดังนี้
“ วานนี้ (20 ต.ค.) รศ.ดร.ทวีวงศ์ ศรีบุรี กรรมการผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในรายการคมชัดลึก ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเนชั่นแชนแนล โดยในตอนหนึ่งกล่าวถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมระหว่างรัฐบาลและกรุงเทพ มหานครว่า ต้องคุยกันให้ชัดว่าจะทำอย่างไร วิธีปฏิบัติจะเป็นอย่างไร เพราะเหนือรังสิตขึ้นไปไม่ได้อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สามารถคุยกันได้หรือไม่ และรัฐบาลควรที่จะเป็นคนเข้าไปประสาน คุยกันว่าอย่างไรเสียน้ำก็จะเข้ามาทางนี้ ก็ต้องยอมรับ แต่ว่าการตัดสินใจแต่ละครั้งเรารู้อยู่แล้วว่าจะเกิดความเสียหาย ก็อาจจะต้องมีการสัญญาว่าจะชดเชยอย่างไร แต่ในขณะนี้ประชาชนไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องข้อมูลน้ำที่จะเข้าท่วม ตรงนี้ทำอย่างไรที่จะให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นได้จริง อย่างไรก็ตาม คนกรุงเทพฯ เองตอนนี้จะสังเกตได้ว่าในเมื่อคนอื่นเดือดร้อน แล้วคนกรุงเทพฯ ก็จะเข้าไปช่วยกัน แต่คนที่ไปช่วยก็เจอปัญหาแล้ว
“พอเราจะส่งเด็กเราเข้าไปทำงาน เขาบอกว่า ให้ใส่เสื้อสีแดงเข้ามา แค่นี้ก็ต้องเรียกเด็กกลับแล้ว อันนี้คือเหตุการณ์ที่เราเจอวันนี้นะครับ นี่คือคำถามที่ถามว่า เราต้องการจะไปช่วยเขา เวลาเขาเดือดร้อน แต่พอเจอเวลาถ้าจะเข้ามาก็ต้องใส่เสื้อสีแดงมาด้วย มันหมายความว่าไง มันเป็นวิกฤตซึ่งเรากำลังจะเข้าไปช่วย แต่เขาพูดแค่คำนี้ออกมาเราก็บอกไม่รู้จะช่วยยังไงแล้ว มันเหมือนถูกแบ่งชั้นวรรณะ แล้วพวกเราจะทำยังไงกันล่ะ ในเมื่อคนเรายังไม่ยอมรับซึ่งกันและกันเลย เป็นอุปสรรคซึ่งรัฐบาลจะต้องมองตรงนี้ แล้วเข้าไปเคลียร์ตรงนี้ให้ได้ มีนโยบายจะเอาอย่างไร ความช่วยเหลือจะเข้ามาอย่างไร จะเอาใครมาช่วย แล้วจะช่วยได้แค่ไหน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มาก บอกได้เลยว่าคนที่ตั้งใจจะช่วยเขาถอยมาหมดแล้วตรงนี้ ซึ่งมันไม่น่าจะเกิดอันนี้ ” รศ.ดร.ทวีวงศ์ กล่าว
น้ำท่วมครั้งที่ผ่านมาๆมา ความช่วยเหลือเบื้องต้นโดยเฉพาะการแจกถุงยังชีพ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า ก็เคยเป็นข่าวอยู่เสมอว่าไม่ทั่วถึงด้วยสาเหตุหลายประการตามที่กล่าวมา ส่วนน้ำท่วมครั้งนี้เป็นสถานการณ์น้ำท่วมกินวงกว้างหลายจังหวัดและน้ำท่วมยาวนาน เรียกว่าเป็น “มหาอุทกภัย”ก็คงไม่เกินความจริงมากไปนัก การให้ความช่วยเหลือไม่ถ้วนหน้าเป็นเรื่องที่ไม่เกินการคาดเดาว่าต้องเกิดขึ้น
นั่นก็พอรับกันได้ หากมีการจัดการแก้ปัญหาเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ แล้วยังมีจุดบกพร่องในบางพื้นที่ แต่ถ้าของบริจาคไปไม่ถึงมือผู้ประสบภัยด้วยเหตุผลอื่น เช่นการเก็บของบริจาคไว้ช่วยเหลือ “ฐานคะแนนเสียง”หรือช่วย “พวกเดียวกัน” ด้วยหวังผลทางการเมืองตามที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ ก็คงเป็นเรื่องที่คนในสังคมส่วนใหญ่ยากจะยอมรับได้ แล้วก็คงไม่มีใครอยากคิดว่าเรื่องที่เผยแพร่กันปากต่อปากเป็นที่ฮือฮากันในเวลานี้ “เป็นเรื่องจริง”
ภาพจาก INTERNET