- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- โจทย์แก้วิกฤติที่ยังไม่สาย ของรัฐนาวาปริ่มน้ำ
โจทย์แก้วิกฤติที่ยังไม่สาย ของรัฐนาวาปริ่มน้ำ
ถึงแม้รัฐบาลและผู้ว่ากรุงเทพมหานครจะยอมรับสภาพที่น้ำจะท่วมในกรุงเทพทั้งชั้นนอกและชั้นใน แต่ขณะนี้ก็ยังนับว่าไม่สายกับข้อเสนอถึงรัฐบาลในการป้องกันกรุงเทพชั้นใน ที่ต้องนับเวลาถอยหลังอยู่ทุกขณะ รวมไปถึงมาตรการระยะกลางและระยะยาวที่ต้องมีความชัดเจน ณ บัดนี้แล้ว
โจทย์เฉพาะหน้าที่รอไม่ได้
สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เสนอผ่านทีมงานปฏิรูปว่า 1. รัฐบาลต้องระดมผู้รู้ ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการมาร่วมหารือ โดยวิเคราะห์จากข้อมูลทั้งหมดเพื่อนำเสนอแนวทางชัดเจนต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อป้องกันกรุงเทพชั้นในซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีความสำคัญสูง เนื่องจากปัจจุบัน ประชาชนสับสนกับข้อมูลข่าวสารมากมาย มีผู้รู้มากมาย ที่นำเสนอแนวคิด ทั้งสอดคล้องกันและขัดแย้งกัน รัฐบาลต้องทำความชัดเจนเรื่องนี้ หาข้อสรุปจากผู้รู้ เมื่อได้นายกฯก็สามารถสั่งการได้ อย่างน้อยสุด วันนี้ยังมีโจทย์คือ การป้องกันกรุงเทพซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ ถ้าป้องกันได้จะลดความเสียหายที่มันจะขยายตัวออกไป
2.ตรวจสอบความพร้อมของกำลังคนของหน่วยงานของรัฐทั้งหมดว่า แต่ละหน่วยมีความพร้อม อะไรบ้างเพื่อมอบหมายภารกิจให้หน่วยงานต่างๆ เป็นเจ้าภาพรับผิดชอบให้ชัดเจน ไม่ว่า 3 กองทัพ ตำรวจ หากว่า รัฐบาลได้ใช้กำลังพลของหน่วยงานต่างๆ ของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพก็เชื่อว่า จะทำให้การแก้ปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนดียิ่งขึ้น
3.จัดตั้งศูนย์ประสานงานความช่วยเหลือกับภาคเอกชนให้มีเอกภาพ ปัจจุบันมีประชาชนมากมาย ที่ไม่เดือดร้อน อยากจะช่วยเหลือผู้เดือดร้อน และได้ลงมือช่วยไปแล้วมากมาย หลายคนรู้สึกว่า การช่วยเหลือบางแห่งก็ถึง บางแห่งก็ช่วยไม่ถึง บางแห่งก็มีผู้ช่วยเหลือมากเกินไป ฉะนั้น ถ้ารัฐบาลมีศูนย์ประสานงานที่เป็นเอกภาพ สามารถกระจายความช่วยเหลือต่างๆ ที่ได้รับจากภาคเอกชนไปถึงผู้เดือดร้อนได้ทุกจุด และอย่างทั่วถึง จะทำให้ประชาชนที่เดือดร้อนมีขวัญกำลังใจดีขึ้น
4. การจัดตั้งหน่วยช่วยเหลือฉุกเฉิน ซึ่งในภาวะวิกฤตทุกประเทศ จะมีกรณีฉุกเฉินเกิดขึ้นอยู่เสมอ ฉะนั้น รัฐบาลควรจะมีหน่วยช่วยเหลือฉุกเฉินเหมือนหน่วยเคลื่อนที่เร็วที่พร้อมจะเข้าถึงจุดเกิดเหตุ ได้ทันที ประชาชนจะได้ทราบทั่วกันเพื่อติดต่อได้โดยตรง มาตรการเหล่านี้จะทำให้การทำงานของรัฐบาลมีประสิทธิภาพและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น
เร่งช่วยมาตรการหลังน้ำลด
สมบัติ เสนอว่าเรื่องใหญ่ที่ต้องเตรียมการอีกเรื่อง คือ มาตรการช่วยเหลือหลังน้ำลด แม้ว่า วันนี้น้ำยังอยู่ แต่ถ้าจะรอให้น้ำลดมันจะคิดไม่ทัน รัฐบาลต้องตั้งกรรมการมีคนเป็นเจ้าภาพรับผิดชอบชัดเจนว่า หลังน้ำลด จะทำอะไรบ้าง จะทำให้การช่วยเหลือมีความรวดเร็ว และลดความเสียหายได้
ประการแรกต้องตั้งคณะกรรมการรับผิดชอบในการช่วยเหลือเกษตรกร ทั้งการชดเชย สนับสนุน การผลิตหลังน้ำลด เนื่องจากมีเกษตรกรพื้นที่เกือบ 10 ล้านไร่ได้รับความเดือดร้อนจำนวนมากและส่วนใหญ่เป็นคนจนไม่มีเงินเก็บ รัฐบาลจึงต้องเร่งรัดช่วยเหลือทั้งเรื่องเงินชดเชย การประกอบอาชีพหลังน้ำลด
ประการที่สอง การจัดตั้งคณะกรรมการดูแลช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานที่ตกงานจำนวนมาก มีการประมาณการจะมีคนว่างงานไม่น้อยกว่า 6 แสนคน ฉะนั้น รัฐบาลควรมีคณะกรรมการขึ้นมาดูแล บุคคลเหล่านี้โดยตรง โดยต้องคิดว่า เมื่อน้ำลดแล้ว จะดูแลคนเหล่านี้อย่างไร อันนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนเพราะเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก บางอุตสาหกรรมบอกว่า ต้องใช้เวลา 5-8 เดือนถึงจะฟื้นฟูได้ ซึ่งถ้าคนงานเหล่านี้ ตกงานระยะยาว จะเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศด้วย
ประการที่สาม การจัดตั้งกรรมการดูแลประชาชนที่อยู่ในเขตชุมชนเมืองทั้งหลาย ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม จะเห็นว่า ชุมชนต่างๆ ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก บุคคลเหล่านี้ก็ควรได้รับการดูแล เช่น ซ่อม บ้านพักที่อยู่อาศัยให้กลับคืนสู่สภาพปกติ รัฐจะต้องดุว่า จะช่วยเหลืออะไรไดบ้าง
ประการที่สี่ ควรจัดตั้งคณะกรรมการดูแลนิคมอุตสาหกรรมทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรม กล่าวคือ วันนี้ คนจะพูดถึงอุตสาหกรรมที่อยู่ในนิคม 7 แห่งที่น้ำท่วมไปแล้วแต่ก็ยังมีอุตสาหกรรมที่อยู่นอกนิคมจำนวนมากไม่น้อย ที่ได้รับความเสียหาย ฉะนั้นรัฐบาลควรจะต้องเร่งรัดสำรวจข้อมูลวันนี้ และหามาตรการฟื้นฟูการผลิตโดยเร็วที่สุด ทั้งในเรื่องของสินเชื่อและปัจจัยอื่นๆเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมที่มีมาตรการและความพร้อมในการกอบกู้โดยเร็ว
นอกจากนั้น ควรแจ้งให้บริษัทต่างๆ เตรียมการว่า ถ้าสามารถเข้าไปในโรงงานได้แล้ว มีเครื่องจักรอะไรบ้างที่สามารถซ่อมบำรุงได้ หรือ ควรจะซื้อใหม่และเร็วกว่าเพื่อให้ทางโรงงานต่างๆ สามารถเตรียมการได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน การเตรียมพร้อมช่วยเหลือสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถจัดหาวัตถุดิบให้เพียงพอต่อการเริ่มผลิตหลังน้ำลด เป็นอีกมาตรการหนึ่งที่จะทำให้การผลิตรวดเร็วมากขึ้น
ประการที่ห้า เรื่องสุขภาพอนามัยที่จะเป็นปัญหารุนแรงมากหลังน้ำลด รัฐบาลควรตั้งกรรมการดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขที่จะต้องระดมหน่วยงานต่างๆเข้าไปดูแล และต้องวิเคราะห์ให้ชัดว่า โอกาสที่จะเกิดโรคภัยต่างๆ มีอะไรบ้าง ขณะนี้ที่กำลังจะเกิดปัญหาซ้อนกันก็คือ โรงงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งเสียหาย ฉะนั้น การเตรียมการจัดหาเวชภัณฑ์ที่จะใช้หลังน้ำลด ถ้าในประเทศไม่สามารถผลิตได้ ก็สามารถจัดซื้อจากต่างประเทศก็จำเป็น ไม่อย่างนั้นจะเกิดการขาดแคลนเวชภัณฑ์ในการดูแลรักษา และเกิดผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง
ประการที่ หก การปรับปรุงซ่อมบำรุง ถนนหนทางในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมทั้งหมดซึ่งมีจำนวนมาก กระทรวงคมนาคมที่เป็นเจ้าภาพใหญ่จะต้องเร่งเอาข้อมูลต่างๆนำมาสำรวจและเตรียมการซ่อมบำรุงอย่างรวดเร็ว และมาตรการเหล่านี้ถ้าใช้ระเบียบปกติอาจไม่ทันการณ์ อาจต้องเตรียมมาตรการพิเศษเพื่อแก้ปัญหาเรื่องการเดินทาง ขนส่งไปเป็นอย่างรวดเร็วเพราะจะมีผลกระทบรุนแรงถ้าไม่เร่งแก้หลังน้ำลด
"ผมคิดว่า มาตรการเหล่านี้ ถ้ารัฐบาลเร่งรัด เตรียมพร้อม มีเจ้าภาพดูแลทุกเรื่องและ รวบรวมข้อมูลทั้งหมดเอามาวิเคราะห์ เตรียมมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะการช่วยเหลือหลังน้ำลด รัฐบาลต้องทำอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ อันนี้จะช่วยบรรเทาความเสียหายกับประชาชนได้มากและจะทำให้ประชาชนกลับมามีขวัญกำลังใจอีกครั้ง"
บทเรียนจากญี่ปุ่น
กรณีที่ชาวบ้านบางส่วนไปทลายพังกั้นน้ำเพราะกลัวฝั่งตัวเองท่วม? สมบัติ สะท้อนว่า ถ้าเทียบกับญี่ปุ่นจะแตกต่างกัน ญี่ปุ่นจะถูกหล่อหลอมมาว่า ถ้าเกิดปัญหาภัยพิบัติของสังคมส่วนรวม ทุกคนจะมุ่งกันไปช่วยส่วนรวม แม้ตัวเองจะเสียหาย แต่จะไม่ให้สังคมส่วนรวมเสีย อันนี้เขาถูกหล่อหลอมมายาวนาน และกระบวนการแบบนี้ มีน้อยประเทศที่ทำได้ เช่น ญี่ปุ่น แต่ทั่วๆ ไป ถ้ากระบวนการหล่อหลอมทางสังคมไม่สูงพอ สภาพมนุษยธรรมชาติก็จะเป็นอย่างนี้ คือ ถ้าตัวเองไม่เดือดร้อนโดยเฉพาะคนไทย ก็จะมีจิตใจอยากช่วยเหลือ แต่พอมาถึงตอนที่ตัวเองเดือดร้อนแล้วเห็นคนอื่นยังไม่เดือดร้อน หรือ ว่า ตัวเองเดือดร้อนเพื่อจะทำให้คนอื่นต้องเสียสละเพื่อให้คนอื่นไม่เดือดร้อน บางกลุ่มรับไม่ได้ ก็จะเกิดลักษณะที่เห็นๆ กันอยู่ เช่นไปพังเขื่อน ไม่ยอมให้เปิดปิดประตูน้ำ
สำหรับมาตราการแก้ปัญหาน้ำท่วมระยะยาว อธิการบดีนิด้าเสนอว่า วันนี้เราต้องเปลี่ยนโจทย์คิดใหม่ เพราะจากนี้ประเทศไทยจะเผชิญกับภาวะภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ฝนตก พายุรุนแรง มากขึ้น โดยเกิดจาก โกเบิล วอร์ม ปัญหาโลกร้อนที่ไปเบียดสภาพธรรมชาติทำให้ฤดูกาลไม่เป๋นไปตามปกติ ซึ่งประเทศไทยขาดการวางแผนที่เป็นระบบในการรับปัญหาแบบนี้ ส่วนใหญ่จะเผชิญอยู่กับปัญหาเฉพาะหน้า มาวันนี้เป็นบทเรียนใหญ่ที่ทุกฝ่ายต้องตระหนักร่วมกัน
เขาบอกว่า ในการจัดการรับมือกับภัยพิบัติ เขามีมาตรการดำเนินการ 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ 1.การวางแผนป้องกันไม่ให้ภัยพิบัติมันเกิดขึ้น เช่น ต่อไปเรื่องน้ำ เราต้องคิดเป็นวาระแห่งชาติ ดูทั้งระบบว่า ถ้ามีสภาพแบบนี้ มีมวลน้ำก้อนใหญ่มากๆ จะต้องจัดการระบบต่างๆ อย่างไร ถึงเวลาหรือยังโดยเฉพาะเขตอุตสาหกรรมที่เราปล่อยให้ตั้งนิคมในเขตพื้นที่ต่ำ ทั้งที่เรามีพื้นที่ที่ราบสูงเยอะ เช่น ชลบุรีสูงกว่าน้ำทะเล 26 เมตร ทำไมไม่มาตั้งแถวนั้นหรือ ในกรุงเทพ มาตรการที่จะทำเขื่อนกั้น แม่น้ำ แทนที่จะใช้มาตรการเขื่อนชั่วคราว 2.5 เมตร มันถึงเวลาที่จะสร้างแนวกั้นน้ำถาวรที่ยกระดับเป็นถนน สองข้างแม่น้ำเจ้าพระยาได้หรือยัง ถ้ามาโต้เถียงประโยชน์ทางการเมืองกันมันก็จะมีปัญหา เราต้องคิดเรื่องระบบ ถาวร ระยะยาวถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องทำจริงๆ ถ้าไม่ทำในอนาคตมันจะหนักกว่าอีก
นอกจากนั้น เราไม่เตรียมการด้านเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือ ในขณะที่ภัยพิบัติเกิดขึ้น ตามหลักการเขาบอกว่า 72 ชั่วโมงแรก การช่วยเหลือต้องเร็วที่สุดให้ถึงผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน แผนการฝึกคนช่วยเหลือ เราไม่มี ถ้าดูหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมบรรเทาสาธารณภัย ผู้เชี่ยวชาญจริงๆ เราก็มีน้อยมาก ในวงวิชาการต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เขาจะมีศูนย์วิชาการ ทำวิจัยไว้หมด เรื่องบริหารจัดการต้องทำอะไรแบบไหนในการจัดการกับภัยพิบัติเฉพาะหน้า
"บทเรียนครั้งนี้มันสะท้อนความไม่เป็นมืออาชีพของข้าราชการประจำซึ่งทุกคนทำงานหนัก แต่ความเป็นมืออาชีพเรื่องนี้จะน้อย มันถึงรับมือกับภัยพิบัติอย่างนี้ยาก เราขาดการสั่งสมองค์ความรู้และความพร้อมที่จะเข้ารับมือกับภิพิบัติ"