- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- สิ่งแวดล้อม-สาธารณสุขไทย ในสถานการณ์สำลักน้ำ
สิ่งแวดล้อม-สาธารณสุขไทย ในสถานการณ์สำลักน้ำ
กว่า 1 เดือนมาแล้ว ที่หลายพื้นที่ของประเทศไทยต้องอยู่ในสภาพจมน้ำ ซึ่งล่าสุดศูนย์ปฏิบัติการรองรับเหตุฉุกเฉินกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย รายงานตัวเลข ณ วันที่ 26 ตุลาคม 2554 ระบุว่าในพื้นที่ประสบอุทกภัย 26 จังหวัด มีพื้นที่ประสบภัย มากถึง 162 อำเภอ 1,297 ตำบล และ 9,937 หมู่บ้าน มีประชาชนได้รับความเดือดร้อน 807,865 ครัวเรือน 2,428,907 คน มีผู้ป่วยแล้วประมาณ 728,072 ราย และมีผู้เสียชีวิต 373 ราย
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ยังพบยอดผู้มีความเครียดสะสมมากถึง 97,534 ราย ในจำนวนนี้ เครียดสูง 4,210 ราย ซึมเศร้า 5,882 ราย เสี่ยงฆ่าตัวตาย 807 ราย ต้องติดตามดูแลอาการอย่างใกล้ชิด 1,237 ราย และต้องเร่งบำบัดรักษาเป็นการด่วน ในขณะที่ สธ.มีจำนวนบุคลากรไม่เพียงพอ จนต้องใช้วิธีประสานขอความร่วมมือกับสถาบันการผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และสภาการพยาบาล ระดมกำลังนักศึกษาแพทย์ พยาบาล และสาธารณสุขที่กำลังจะสำเร็จการศึกษา เข้าไปร่วมดูแลสุขภาพจิตของผู้ประสบภัยแทน
ขณะที่กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้สำรวจพื้นที่น้ำท่วมขังทั่วประเทศ ล่าสุดพบว่ามีมากถึง 14 จังหวัด ประกอบด้วย นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี ลพบุรี สระบุรี นครนายก ปทุมธานี นนทบุรี ฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา ที่มีน้ำเน่าเสียแล้ว โดยแบ่งเป็นในเขตชุมชนประมาณ 86,000 ไร่ และในเขตพื้นที่เกษตรกรรม เช่น นาข้าว และพื้นที่ฟาร์มปศุสัตว์ ประมาณ 1 ล้านไร่ และยังมีบริเวณบ่อบำบัดขยะในทุกจังหวัดที่ถูกน้ำท่วมขังก็ได้รับความเสียหายทั้งหมด ส่งผลให้ ทส.ต้องวางมาตรการเร่งด่วนโดยไปขอความร่วมมือจากศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กระทรวงกลาโหม วางแผนจัดการปัญหานี้อย่างเร่งด่วนด้วยการใช้จุลินทรีย์ หรือ อีเอ็ม แก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย
ความเสียหายเหล่านี้ยังไม่นับรวมถึงพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายที่มวลน้ำปริมาณมหาศาลจ้องทะลุทะลวง ซึ่งหลายฝ่ายคาดการณ์กันว่า หากประเมินสถานการณ์อย่างเลวร้ายที่สุด ถ้ามวลน้ำสามารถทะลวงผ่านเข้าพื้นที่กรุงเทพฯ ได้จะทำให้กรุงเทพฯ ต้องจมอยู่ในน้ำไม่ต่ำกว่า 1 เดือน นั่นหมายความว่าประเทศไทยจะเกิดความสูญเสียเพิ่มขึ้นอีกอย่างมากมายมหาศาล
สธ.วางแผนล่วงหน้า 2 เดือน
ในการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำท่วมนั้น หลายฝ่ายได้พยายามอย่างเต็มกำลังความสามารถ อย่างเช่น ในส่วนของ สธ.นั้น ได้มีการเตรียมตัวล่วงหน้ามาแล้วถึง 2 เดือน เนื่องจากทราบว่าปีนี้ฝนจะตกชุกและมีน้ำปริมาณมาก ทั้งนี้ได้มีการวางแผนดำเนินงาน 4 ข้อ ได้แก่ 1.สถานบริการต้องไม่เกิดน้ำท่วมซ้ำ แบ่งเป็นโรงพยาบาลในพื้นที่เสี่ยงที่ติดแม่น้ำ และโรงพยาบาลที่เคยถูกน้ำท่วมบ่อยๆ 2.แผนการสำรองยาและเวชภัณฑ์ โดยมีการจัดส่งยาที่ใช้สำหรับรักษาโรคที่มากับน้ำท่วม และยาสามัญประจำบ้านไปให้สถานบริการล่วงหน้า 3.เตรียมแผนอพยพผู้ป่วย ในกรณีที่ไม่สามารถป้องกันน้ำท่วมได้ และ 4.เตรียมหน่วยบริการเคลื่อนที่เพื่อออกดูแลประชาชนในช่วงวิกฤต
แต่ปรากฎว่า ขณะนี้มีสถานบริการสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบทั้งสิ้น 543 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) 484 แห่ง สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ (สสอ.) 29 แห่ง โรงพยาบาชุมชน(รพช.) 20 แห่ง โรงพยาบาลทั่วไป (รพท.) 5 แห่ง โรงพยาบาลศูนย์ (รพศ.) 3 แห่ง ศูนย์เขต 2 แห่ง และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) 2 แห่ง กระจายตามจังหวัดต่างๆ โดยแต่ละแห่งได้รับผลกระทบแตกต่างกันไป ทำให้ สธ.ต้องตั้งโรงพยาบาลสนาม รวมทั้งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ไว้บริการตามศูนย์พักพิงต่างๆ โดยศูนย์พักพิงขนาดใหญ่ที่มีผู้สบประภัยราว 1,000 คน จะมีโรงพยาบาลสนามคอยบริการ ซึ่งขณะนี้มีให้บริการตามจังหวัดต่างๆ ราว 20 แห่ง เช่น พระนครศรีอยุธยา นครสวรรค์ ลพบุรี สิงห์บุรี ปทุมธานี นนทบุรี
ขณะที่ศูนย์พักพิงขนาดเล็กรองรับคนประมาณ 400-500 คน จะมีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่คอยบริการ ประมาณ 460 ทีม กระจายแต่ละแห่งหมุนเวียนกันไป นอกจากนี้ ยังมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) อีกประมาณ 60,000 คนเศษ คอยดูแลในส่วนของผู้ประสบภัยที่ติดอยู่ตามบ้าน อีกทั้งยังให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ประสานไปยังกองทัพ โรงพยาบาลเอกชน และหน่วยงานที่มีเฮลิคอปเตอร์ให้การช่วยเหลือในการลำเลียงผู้ป่วยอพยพทางอากาศยาน
ปรับแผนปฎิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
ดูเหมือนว่าแผนปฎิบัติการทั้งหมดทั้งมวลน่าจะรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้ แต่ในทางปฎิบัติกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่มีใครคาดคิดว่ามาก่อนว่าสถานการณ์จริงจะเลวร้ายกว่าแผนที่วางไว้ ในที่สุดเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา นายวิทยา บุรณศิริรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ต้องออกมาแถลงว่า สธ.จำเป็นต้องปรับแผนปฎิบัติงานด้านการแพทย์ พยาบาล และสาธารณสุขใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ก่อนหน้านี้สถานพยาบาลในเขตกรุงเทพฯ ถือเป็นศูนย์กลางของความช่วยเหลือด้านการแพทย์ พยาบาล และสาธารณสุขให้แก่จังหวัดต่างๆ ที่ประสบภัยน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็น พระนครศรีอยุธยา นครสวรรค์ ชัยนาท ลพบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี ฯลฯ ทว่า ณ ขณะนี้กลับตาลปัตร กทม.กลับต้องเร่งเตรียมการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากส่วนกลางไปยังภูมิภาคที่ไม่ประสบอุทกภัยแทน
นายวิทยา บอกว่า ขณะนี้มี 3 พื้นที่วิกฤตน้ำท่วม คือ กรุงเทพฯ ปทุมธานี และนนทบุรี จึงสั่งการให้ทุกจังหวัดสำรองอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ และตรวจสอบสถานบริการสาธารณสุขที่น้ำลดแล้ว ให้เตรียมการรองรับผู้ป่วยจากโรงพยาบาลในส่วนกลางทุกสังกัดรวมทั้งโรงพยาบาลเอกชน นอกจากนี้ สั่งการให้ปลัด สธ.มอบหมายผู้รับผิดชอบในการปฏิบัติงานตามแผน 6 ข้อ เพื่อรับมือน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ดังนี้ 1.ให้เตรียมการป้องกันน้ำท่วมฌรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ทุกสังกัด 2.ติดตามการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหนักที่อาการคงที่แล้วออกไปยังต่างจังหวัด 3.จัดทีมเฝ้าระวังพฤติกรรมสุขภาพ โดยให้มีหน่วยสุขศึกษาเคลื่อนที่ตามจุดพักพิงต่างๆ และโรงพยาบาลสนาม 4.ส่ง อสม.ปฏิบัติงานในศูนย์พักพิง และโรงพยาบาลสนามทุกแห่ง 5.ให้กองวิศวกรรมการแพทย์ กองแบบแผน สำรวจสถานที่จัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่เสี่ยงถูกน้ำท่วมตามที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ระบุไว้
และ 6.ตรวจสอบระบบการสื่อสารยานพาหนะ ให้พร้อมใช้งานในการสนับสนุนทั้งยา เวชภัณฑ์ ออกซิเจน อาหาร และน้ำ โดยได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และองค์การเภสัชกรรม (อภ.) สำรวจโรงงานผลิตยาและเวชภัณฑ์ที่ถูกน้ำท่วมและรายการที่ผลิต เพื่อจัดทำแผนสำรองยาและเวชภัณฑ์ อาหาร กรณีจำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขาดแคลน
“โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ดูแลตัวเองหากน้ำท่วมในระดับไม่เกิน 1.50 เมตร ซึ่ง สธ.จะช่วยสนับสนุนหาก ยา ออกซิเจน เครื่องมือแพทย์ และอาหารที่สำรองไว้หมด เพราะส่วนใหญ่สำรองไว้เพียง 1 เดือน ส่วนโรงพยาบาลใดต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยก็ต้องดำเนินการ ซึ่งจะย้ายในส่วนของผู้ป่วยหนัก ที่เคลื่อนย้ายได้ นอกจากนี้ ขอให้โรงพยาบาลส่วนภูมิภาคที่ไม่ได้รับผลกระทบเตรียมเตียงให้พร้อมสำหรับผู้ป่วยอพยพ และในส่วนโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบแต่สถานการณ์เริ่มดีขึ้น และเคยนำผู้ป่วยส่งต่อไปยังกรุงเทพฯ ให้รับผู้ป่วยกลับเพื่อรักษาต่อ” เหล่านี้เป็นข้อสรุปในที่ประชุมผู้บริหาร สธ. ซึ่งนายวิทยา ได้นำมาถ่ายทอดไว้
พญ.วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมการแพทย์ บอกว่า ต้องยอมรับว่าทุกโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพฯ เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมทั้งหมด จึงมีคำถามต่อมาว่าแล้ว สธ.จะดำเนินการอย่างไร นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ. ให้ข้อมูลว่า ในการวางแผนย้ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ไปส่วนภูมิภาค จะแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 3 กลุ่ม ตามระดับอาการหนักเบา คือ กลุ่มสีแดง ผู้ป่วยหนักที่ต้องใช้เครื่องออกซิเจน กลุ่มสีเหลือง ผู้ป่วยหนักที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด กลุ่มสีเขียว เป็นกลุ่มที่ยังพอดูแลเองได้ ซึ่งจะเน้นกลุ่มผู้ป่วยหนักที่อาการคงที่ก่อน โดยเริ่มจากจังหวัดในปริมณฑล ได้แก่ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ราชบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี อ่างทอง ชัยนาท ลพบุรี สิงห์บุรี
ทุกรายที่ย้ายจะมีเครื่องมือแพทย์พร้อมบุคลากรการแพทย์ติดตามไปดูแลด้วย เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยที่สุด ส่วนโรงพยาบาลในต่างจังหวัดจะต้องเลื่อนการนัดผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรง สามารถรอได้ออกไปก่อน และขอความร่วมมือกับญาติ และผู้ป่วยที่อาการปลอดภัยแล้ว นำผู้ป่วยไปนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลชุมชนในพื้นที่ เพื่อสำรองเตียงให้ว่างไว้รับผู้ป่วยหนักจากกรุงเทพฯ
แม้ตัวเลขผู้ป่วยที่จำเป็นต้องย้ายออกจากส่วนกลางยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน แต่ก็พออนุมานได้ว่าคงมีนับพันราย หรือมากจนกระทั่งทำให้ระบบการส่งต่ออาจมีปัญหาได้
ทิ้งอีเอ็มช่วยสภาพแวดล้อม
ทางด้าน คพ.ที่ต้องรักษาสภาพแวดล้อมของพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะปัญหาน้ำเสียนั้น นายวรศาสน์ อภัยพงษ์ รองอธิบดี คพ. บอกว่า ในการแก้ปัญหาพื้นที่บ่อขยะ และบริเวณชุมชน ซึ่งมีประมาณ 86,000 ไร่ ต้องใช้อีเอ็มประมาณ 140 ล้านลูกบาศก์เมตร ใช้หัวเชื้อประมาณ 7 แสนลิตร วิธีการดำเนินการคือ จะให้อาสาสมัครที่ขนเครื่องอุปโภคบริโภคไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านที่ประสบอุทกภัย ถืออีเอ็มไปแจกชาวบ้านด้วย สำหรับในพื้นที่เกษตรกรรม ประมาณ 1 ล้านไร่ ต้องใช้อีเอ็มประมาณ 1,800 ตัน จะให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นเจ้าภาพดำเนินการ ซึ่งต้องเร่งดำเนินการทันทีเพื่อไม่ให้ปัญหาขยายวงกว้างไปมากกว่านี้
พ.อ.เฉลิมพล จินารัตน์ ผู้ช่วยเลขานุการร่วมคณะกรรมการเพื่อบูรณาการในการแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย กระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะทำงาน กล่าวว่า การใช้อีเอ็มเพื่อแก้ปัญหาน้ำเสีย เป็นวิธีการที่ได้รับการรับรองจากองค์การสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ(ยูเอ็นอีพี) ซึ่งที่ผ่านมาหลายประเทศได้นำไปแก้ปัญหาน้ำเน่าเสียในประเทศแล้วได้ผลอย่างดี เพราะอีเอ็มคือจุลินทรีย์ชนิดหนึ่ง เมื่อทิ้งลงไปในน้ำเสีย จุลินทรีย์จะไปย่อยสลายอินทรีย์วัตถุในน้ำเสีย และจะปล่อยออกซิเจนออกมา เพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำ
“สำหรับบ่อขยะนั้น จะต้องใช้อีเอ็ม 3,000 ลูก ต่อ 1 ไร่ ส่วนในพื้นที่เกษตรกรรม และชุมชนนั้นต้องใช้ 1,000 ลูก ต่อ 1 ไร่ คาดว่าทั่วประเทศที่มีน้ำท่วมขังและเน่าเสียใน 14 จังหวัด กินพื้นที่ 2.34 ล้านไร่ จะต้องใช้ อีเอ็มประมาณ 2,340 ล้านลูก แต่ยืนยันว่าโดยศักยภาพการผลิตอีเอ็มทั้งของหน่วยงานราชการและเอกชนเวลานี้ สามารถผลิตอีเอ็มได้เพียงพอต่อการแก้ปัญหาน้ำเสียแน่นอน” พ.อ.เฉลิมพล กล่าว
ห่วงเชี้อโรคที่มากับน้ำ
แต่มาถึงเรื่องน่าห่วงอีกประการคือ ปัญหาโรคระบาดที่อาจะเกิดขึ้นทั้งในระหว่างน้ำท่วมและหลังน้ำลดแล้ว ทั้งนี้ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า ภาวะน้ำวิปริตทั้งท่วมและลด มักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อ ทั้งที่มากับน้ำ โคลน เลนโดยตรง และที่พ่วงมากับยุง แมลง เห็บ ริ้น ส่วนที่มากับน้ำที่สำคัญ คือ ท้องเสีย ท้องร่วง ตับอักเสบ A ซึ่งผ่านทางการกินอาหารและน้ำที่ปนเปื้อน และไข้หวัดใหญ่ซึ่งผสมโรงช่วงหน้าหนาว และในขณะที่ผู้คนอพยพต้องอยู่กันแออัดยัดเยียด และอาจเกิดบานปลายระบาดในวงกว้าง และรวมทั้งโรคที่มากับฉี่สัตว์ อาทิ หนู หมา วัว ควาย (เลปโตสไปโรสิส) โดยที่เชื้อสามารถชอนไชเข้าผิวหนัง โดยเฉพาะผิวหนังที่เปื่อย จากน้ำกัดเท้า แผลเรื้อรังจากเบาหวาน เส้นเลือดขอด ซึ่งมีโอกาสติดเชื้อ เกิดแผลหนองง่ายอยู่แล้ว โรคที่มากับฉี่สัตว์ เชื้อยังเข้าร่างกายทางเยื่อบุปาก ตา การกินอาหาร น้ำที่มีเชื้อ และหายใจเอาฝอยฟุ้งของฉี่สัตว์ที่มีเชื้อ ซึ่งจะเริ่มพบโรคได้มากขณะน้ำเริ่มลด ย่ำน้ำโคลน เลน โดยเชื้อที่ถูกปลดปล่อยออกมาในฉี่สัตว์ จะสามารถมีชีวิตได้เป็นเดือนในโคลน ดินชื้นแฉะ
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวว่า นอกจากนี้ โรคตาแดงในภาวะน้ำท่วม อาจไม่ใช่ไวรัส อาจเกิดได้จากเชื้อแบคทีเรีย รา ซึ่งจะเกิดเป็นรายๆ ไป อาการตาแดงยังอาจเป็นอาการเตือนของโรคร้ายแรงอื่นๆ ซึ่งระบาดในวงกว้างได้ เช่นโรคฉี่สัตว์ ไวรัสเอนเทอโร (Enterovirus) ที่ทำให้เกิดโรคมือ เท้า ปาก เชื้อจากเห็บ หมัด ทำให้เกิดโรคริกเก็ตเซีย (Rickettsia) ที่อาการคล้ายกับโรคเลปโตฯ ยังไม่พอ เชื้อที่มากับยุง แมลง เห็บ ริ้น ที่ระบาดได้ นอกจากมาเลเรียที่ถิ่นระบาดอยู่ในภาคเหนือ ยังมีที่สำคัญอีกหลายโรคคือ ไข้เลือดออก (dengue) ไข้สมองอักเสบ และขณะนี้ต้องระวังไข้เลือดออกสายพันธุ์ใหม่จากจีน (SFTV) และไวรัสไข้เลือดออกในตระกูล Filovirus Bunyavirus Arenavirus Flavivirus ด้วย
วิกฤตเหล่านี้ น่าเป็นห่วงว่า...ประเทศไทยจะสามารถฟันฝ่าไปได้หรือไม่?