- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- เส้นทางวิบากแก้ภัยน้ำ "คนขาด-กลไกไม่มี"
เส้นทางวิบากแก้ภัยน้ำ "คนขาด-กลไกไม่มี"
แม้จะถูกมองว่าเป็นการปรับกลยุทธ์ทางการเมืองเพื่อเรียกความเชื่อมั่น หลังรัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความล้มเหลวในการป้องกันและแก้ปัญหาอุทกภัย แต่ "คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ" หรือเรียกย่อๆว่า กยอ. ที่มีนายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ก็ถือเป็นเครื่องมือเยียวยาเศรษฐกิจ ที่สังคมไทยน่าจะฝากผีฝากไข้ได้ระดับหนึ่ง
มีการประเมินเป็นการภายในทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อาจต้องใช้เงินลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อป้องกันอุทกภัยระยะยาวถึง 5 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลจะใช้วิธีตราเป็นพระราชกำหนดกู้เงินฉุกเฉินเนื่องจากภาวะความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ ที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศไทยทุกปีนับจากนี้เป็นต้นไป
ขณะที่เงินก้นถุงจากงบประมาณปกตินั้น ดูจะไม่เพียงพอ เนื่องจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้รับการเลือกตั้งเข้ามาด้วยคะแนนเสียงเกินกึ่่งหนึ่ง จากการประกาศนโยบายประชานิยมสำคัญหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นการจำนำข้าวราคาสูง , การแจกแท็ปเล็ตให้นักเรียนทั่วประเทศ , การขึ้นค่าแรงและเงินเดือนข้าราชการ รวมถึงการลงทุนถมทะเลจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งหากรัฐบาลไม่ปฏิบัติตามที่สัญญาไว้น่าจะมีปัญหาทางการเมืองตามมา
ย้อนหลังกลับไปช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยว่างเว้นจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ที่่เกี่ยวข้องกับระบบบริหารน้ำอย่างชัดเจน ส่วนหนึ่งเพราะประเทศไทยเจอปัญหาที่เร่งด่วนยิ่งกว่า ทำให้โครงการที่ออกมาเพื่อรองรับการพัฒนาในด้านอื่นๆ เช่น การแก้ปัญหาความยากจน ปัญหาการจราจร สิ่งแวดล้อม และการขยายตัวของเมือง เป็นต้น
ปัญหาดังกล่าวสะท้อนได้ชัดเจนจาก "เนื้อหา" ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 11 ซึ่งเพิ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2554 ก็ไม่ได้บรรจุปัญหาการบริหารจัดการน้ำไว้เป็นเรื่องหลัก เพื่อส่งผ่านแนวคิดไปให้หน่วยงานต่างๆ ใช้เป็นกรอบการลงทุนแม้แต่นิดเดียว มีการเขียนเอาไว้แค่ผ่านๆเพื่อไม่ให้ตกหล่นเท่านั้น
ขณะที่รายละเอียดโครงการลงทุนตามแผนฯ11 กอปรด้วยโครงการหลากหลาย เพื่อตอบสนองการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือไม่ก็ตอบสนองความต้องการของรัฐบาลเป็นหลัก เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า , การแก้ปัญหาระบบโลจีสติกส์ , การแก้ปัญหานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด , การสร้างท่าเรือน้ำลึก และการลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
“การจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ค่อยให้ความสำคัญกับแผนระยะยาว แต่จะมุ่งเน้นระยะสั้น หรือตามกระแสมากกว่า เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง ซึ่งจะสอดคล้องกับนโยบายที่ได้หาเสียงเอาไว้ เพราะถือว่าชาวบ้านอยากได้ก็ใส่ลงไป ผมคิดว่าในช่วงหลังรายละเอียดในแผนกว่า 90% ไม่ได้พูดถึงเรื่องน้ำเลย"นายสุวัฒน์ วาณีสุบุตร อดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ระบุ
นอกจากนั้น ความไม่เอาใจใส่ของรัฐบาลในการวางแผนระยะยาว ยังมีต้นเหตุจากประสบการณ์ตรงที่มีน้อย เพราะที่ผ่านมา ความเดือดร้อนของประชาชนส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตชนบท เช่น ปี 2553 พื้นที่น้ำท่วมหนักก็อยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา หรือภาคกลางเท่านั้น แต่คนกรุงเทพก็ยังไม่เคยเดือดร้อนรุนแรงอย่างเช่นในปีนี้ ดังนั้น เสียงเรียกร้องให้วางพิมพ์เขียวระบบน้ำทั่วประเทศจึงไม่เคยเกิดขึ้นอย่างจริงจัง
แตกต่างจากปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ปัญหาจราจรติดขัดที่คนกรุงเทพ หรือ คนในรัฐบาลต้องประสบพบโดยตรงทุกวัน จึงถูกบรรจุในวาระการแก้ไขเป็นลำดับแรก ส่วนการแก้ปัญหาน้ำกลับเป็นเรื่องไกลตัว ส่วนมากเป็นโครงการลงทุนระยะ 5-10 ปี ซึ่งยาวนานเกินไป จึงไม่มีใครคิดถึง
“จริงๆถ้ารัฐบาลคิดจะสนับสนุนการแก้ปัญหาระบบชลประทานอย่างจริงจังแล้ว แม้จะไม่อยู่ในแผนพัฒนาฉบับที่ 11 แต่ถ้าหน่วยงานที่่เกี่ยวข้องเห็นความสำคัญก็สามารถเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมครม.ได้"อดีตรองเลขาธิการสภาพัฒน์ระบุ
นายสุวัฒน์ กล่าวว่า โครงการลงทุนระบบชลประทาน ต้องใช้วงเงินที่สูงมาก และเวลารัฐบาลส่งโครงการมาให้สภาพัฒน์พิจารณาก็ไม่ค่อยมีนักการเมืองผลักดัน ทำให้โอกาสเกิดจริงค่อนข้างน้อย ต่างจากโครงการพัฒนาระบบขนส่ง ที่จะมีแรงผลักดันสูง ทั้งๆที่โดยส่วนตัวเห็นว่าประเทศไทยลงทุนด้านระบบขนส่งมากเกินไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
นอกจากนั้น ในช่วงหลังประเทศไทยยังเผชิญปัญหาบุคลากรภาครัฐที่มีความเชี่ยวชาญ เป็นมันสมองให้แก่รัฐบาลหรือที่เรียกว่ากลุ่ม "เทคโนแครต" ช่วยวางแผนแก้ปัญหาน้ำลดลงจำนวนมาก ข้าราชการฝีมือดีหลั่งไหลลาออกไปทำงานในภาคเอกชน ขณะที่ข้าราชการในระบบปัจจุบันก็จะมองแต่ปัญหาระยะสั้น เพื่อเอาใจนักการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐบาล ต่างจากข้าราชการรุ่นก่อน ที่จะมองแผนระยะยาวมากกว่า
“ขณะนี้เทคโนแครตอ่อนแอมาก คนดีๆเก่งๆในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ออกไปอยู่กับภาคเอกชนหมด ส่งผลกระทบต่อการวางแผนในปัจจุบันอย่างเห็นได้ชัด ข้าราชการนักวางแผนระดับซี 8 ซี 9 ไม่เก่งเหมือนเมื่อก่อน ส่วนหนึ่งเพราะคนกลุ่มนี้อยากทำงาน แต่ไม่รู้สึกสนุกกับงาน เพราะหัวหน้างานไม่เห็นความสำคัญขององค์ความรู้ มุ่งแต่ทำงานตามที่รัฐมนตรีสั่งการ"นายสุวัฒน์ระบุ
หากมองในมุมของนักวางแผนแล้ว ทุกประเทศที่มีความเสียงเรื่องน้ำ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น , เนเธอร์แลนด์ , สวิสเซอร์แลนด์ หรือออสเตรเลีย ต่างมีแผนระยะยาวในการแก้ปัญหาอุทกภัย โดยอย่างต่ำต้องลงทุนต่อเนื่องในระยะ 20 ปี
อดีตรองเลขาธิการสภาพัฒน์ การันตีว่า แม้แผนระยะยาวที่ออกมาจะค่อนข้างหยาบ ไม่สามารถลงรายละเอียดเหมือนแผนลงทุนระยะ 5-10 ปี แต่ขณะนี้ก็จำเป็นต้องเดินหน้าผลักดันเป็นวาระใหม่บรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ เช่น การวางระบบชลประทาน , การแก้ปัญหาโลกร้อน , การขาดแคลนอาหาร นอกเหนือไปจากวาระเดิมๆคือการพัฒนาเมือง , ประชากร และเทคโนโลยี
“ถ้าเราได้นักการเมืองที่มาจากชนบท เคยเป็นกำนันผู้ใหญ่บ้านมา ประชาชนก็จะเสียโอกาสในการแข่งขัน เพราะคนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเน้นเรื่องที่ทำกินก่อน" อดีตรองเลขาสภาพัฒน์ระบุ
สำหรับการตั้งกยอ.ที่มีนายวีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธานนั้น ในฐานะผู้ที่เคยเป็นผู้ดูแลโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของสภาพัฒน์ เห็นว่า คงไม่สามารถฝากความหวังกับคณะกรรมการกยอ.ได้มาก เนื่องจากดูรายชื่อของคณะกรรมการชุดนี้แล้ว ไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองตัวจริง อย่างตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี ดังนั้นแผนที่ออกมาก็อาจเป็นแค่กระดาษที่ถูกเก็บไว้ในลิ้นชักเหมือนเดิม ขณะที่หัวหน้าหน่วยงานที่รับผิดชอบ เช่น ระดับปลัดกระทรวง หรืออธิบดี พอเห็นว่ากรรมการเป็นคนนอก ไม่ใช่นักการเมืองที่มีอำนาจ ก็จะส่งลูกน้องเข้าประชุม ไม่่วิ่งเข้าไปหาหรือให้ความสำคัญอย่างจริงจัง
นายสุวัฒน์ มองว่า ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องลงทุนด้วยเงินก้อนใหญ่เพียงครั้งเดียวหลายแสนล้านบาท หรือทำให้สมบูรณ์ภายใน 5-10 ปี แต่สามารถทยอยจัดลำดับความสำคัญของการลงทุนไปเรื่อยๆ แต่ขอให้มีจุดเริ่มต้นในการดำเนินการ แม้ปัญหาน้ำไม่ได้ส่งผลต่อการกินอยู่ในชีวิตประจำวันหรือปัญหาปากท้องมากนัก แต่ก็ส่งผลต่อส่วนรวมและกินเวลายาวนาน
“นักการเมืองไม่ค่อยมีใครอยากจะมาจับโครงการแก้ปัญหาน้ำระยะยาวอย่างจริงจัง เพราะทำไปก็ไม่ได้คะแนนเสียงเท่าไหร่ คนมองไม่เห็น และยังต้องไปเปลี่ยนแปลงชาวบ้าน เช่น เรื่องของการโยกย้ายที่ดินทำกินซึ่งไปๆมาๆจะเสียคะแนนเสียงด้วยซ้ำ"นายสุวัฒน์ระบุ
ประเทศไทยยังไม่เพียงแต่ขาดโครงการลงทุนด้านน้ำที่ดีพอเท่านั้น แต่การลงทุนในระบบป้องกันภัยพิบัติ ยังมีปัญหามีช่องโหว่ที่รัฐบาลต้องแก้ไข ตามรายงานในเอกสารของสภาพัฒน์ล่าสุดในเดือนก.ย.2554 เรื่อง "การจัดการภัยพิบัติแลการฟื้้นฟูบูรณะหลังการเกิดภัย" โดยหยิบยกกรณีมหาอุทกภัยเมื่อปลายปี 2553 และอุทกภัยในภาคใต้เมื่อต้นปี 2554 ยังพบการขาดเอกภาพในการปฏิบัตและการบริหารจัดการทั้งในระดับประเทศ ระดับจังหวัด และระดับท้องถิ่น พบว่าผู้มีอำนาจในการสั่งการได้ ไม่ครอบคลุมทุกหน่วยงาน ทำให้การประสานงานและการผนึกกำลังจากหน่วยงานอื่นๆ ในภาครัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน กองทัพ และอื่นๆไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
ผลการศึกษาของสภาพัฒน์ล่าสุดยังระบุด้วยว่า การจัดทำโครงการด้านสาธารณภัยยังมีลักษณะต่างฝ่ายต่างดำเนินการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และไม่มีการทำงานในลักษณะองค์รวม เพื่อประสานการทำงานในทิศทางเดียวกันและแก้ไขปัญหาระยะยาว
นอกจากนั้น ในการฟื้นฟูผลพวงจากอุทกภัยในช่วงที่ผ่านมา ยังมีระบบ ระเบียบการใช้เงินงบประมาณที่ไม่เอื้อต่อการดำเนินการ ทำให้การฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยเป็นไปอย่างล่าช้าส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพของประชาชน
เพราะเมื่อมองย้อนไปถึงการทำงานของรัฐบาลสหรัฐ มีการออกกฎหมายพิเศษในการฟื้นฟูความเสียหายจากเฮอร์ริเคนแคทรินา ส่วนรัฐบาลญี่ปุ่่นใช้แนวคิดประกาศให้พื้นที่ประสบภัยจากแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2554 เป็นเขตฟื้นฟูพิเศษ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างคล่องตัว
ขณะที่ประเทศไทยนั้น นายกรัฐมนตรี ประกาศใช้อำนาจ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 เพื่อเพิ่มอำนาจเด็ดขาดในการสั่งการ แต่ก็ไม่ปรากฎว่ามีความชัดเจนในการแก้ปัญหา ต่อมาก็มีการตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูการลงทุนระบบน้ำ 2 ชุด คือ กยอ. และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ หรือกยน. แต่ก็ยังเต็มไปด้วยข้อกังขาว่าจะทำให้เกิดการลงทุนที่โปร่งใสและแก้ปัญหาระยะยาวได้จริงหรือไม่ เป็นสิ่งที่สังคมต้องติดตามและตรวจสอบเพื่อไม่ให้ปัญหาเรื่องน้ำเป็นแค่ไฟไหม้ฟางแล้วก็หายไปเหมือนที่ผ่านมา