- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- ตรวจแถว "คดีความ" ชนักติดหลัง "ทักษิณ"
ตรวจแถว "คดีความ" ชนักติดหลัง "ทักษิณ"
หลังการ”สับ ขา หลอก”ของรัฐบาลและพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกเรียกขานว่าคือ”ผู้นำรัฐบาลเพื่อไทย”ตัวจริง ต่อกระแสข่าวการจะเดินทางกลับประเทศไทย ผ่านการเป็น 1 ใน 26,000 นักโทษที่จะได้รับการพระราชทานอภัยโทษผ่านการออกพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ...
ทำให้สังคมสับสนไปช่วงหนึ่งว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะเดินทางกลับประเทศไทยในช่วงต้นเดือนธันวาคม ในฐานะผู้ได้รับสิทธิตามไปด้วยจากร่างพ.ร.ฎ.ดังกล่าว แต่สุดท้ายหลังปล่อยให้มีการวิพากษ์วิจารณ์และสร้างกระแสต่อต้านจากหลายกลุ่มเพราะรัฐบาลไม่ยอมชี้แจงเรื่องนี้ปล่อยให้เกิดความอึมครึมร่วม 6 วันหลังการประชุม”ลับ”คณะรัฐมนตรีเมื่อ 15 พ.ย. 2554
จนกระทั่งมีการแถลงยืนยันจากพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ว่าร่างพ.ร.ฎ.ที่กระทรวงยุติธรรมจะเสนอพ.ต.ท.ทักษิณจะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จะไม่มีชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ เป็น 1 ในนักโทษที่จะได้รับการพระราชทานอภัยโทษด้วย และรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีก็ได้ทูลเกล้าฯร่างพ.ร.ฎ.ดังกล่าวไปแล้วเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็สิ้นกระแสความไปแล้วในรอบนี้
กระนั้นยังพบความพยายามอีกหลายรูปแบบของแกนนำรัฐบาลและส.ส.พรรคเพื่อไทยที่พยายามจะหาช่องทางช่วยพ.ต.ท.ทักษิณให้พ้นผิด กลับประเทศไทยโดยไม่ต้องรับโทษติดคุก
ที่สำคัญคือการช่วยดังกล่าวต้องทำให้พ.ต.ท.ทักษิณเมื่อกลับมาแล้วต้องปลอดภัยไร้กังวล ไม่ต้องห่วงเรื่องคดีความ-การเดินขึ้นศาลสู้คดีอะไรให้ยุ่งยากใจอีก
ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การกลับไทยของพ.ต.ท.ทักษิณมีความล่าช้า เลื่อนไปมาหลายรอบ ทั้งที่น้องสาวคือนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นถึงนายกรัฐมนตรี กุมอำนาจรัฐทุกอย่างเบ็ดเสร็จ ก็เพราะ
”ชนักติดหลัง”
เรื่องคดีความและข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการกลับประเทศไทย จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่กลับประเทศไทยในช่วงนี้ก็เพราะต้องการหาทางเคลียร์ทุกอย่างให้แน่ใจก่อน ผ่านความช่วยเหลือที่นักการเมืองในพรรคเพื่อไทยกำลังหาช่องทางช่วยเหลืออยู่
อาทิการออกกฎหมายนิรโทษกรรมล้างความผิดทั้งหมด หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อล้มกระดานทุกอย่างทางการเมืองที่เกิดขึ้นหลัง 19 ก.ย. 2549 ตามโมเดลของนักวิชาการกลุ่มนิติราษฏร์
ที่ล่าสุดแกนนำรัฐบาลอย่างร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีก็ออกมาประกาศแล้วว่าจะเดินหน้าออกกฎหมายนิรโทษกรรมแต่กำลังหาจังหวะเหมาะสมอยู่ซึ่งขั้นตอนจะไม่ทำประชามติ หากถึงเวลาจะทำทันที
การนิรโทษกรรมดังกล่าวหากจะมีการทำขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณคงมุ่งหวังให้ล้มกระดานคดีความทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตัวเองหรืออาจไม่หมดแต่ก็ต้องทำให้มั่นใจว่าสามารถจะกลับมาต่อสู้คดีได้โดยมีโอกาสจะ
”ชนะ”มากกว่า”แพ้”
โดยจากการตรวจสอบของ”ทีมข่าวปฏิรูป”กับแหล่งข่าวในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และในสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)
พบว่าปัจจุบันคดีความของพ.ต.ท.ทักษิณมีทั้งที่ยื่นฟ้องแล้วและอยู่ระหว่างการสอบสวนเตรียมยื่นฟ้อง โดยในส่วนของคดีที่มีการยื่นฟ้องแล้ว แยกเป็น 2 ศาลดังนี้
1.ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
มีคดีความที่พ.ต.ท.ทักษิณตกเป็นจำเลยถูกยื่นฟ้องเอาผิดรวมกันทั้งสิ้น 4 คดีดังนี้
1.1) คดีอัยการสูงสุดยื่นฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำความผิดกรณีใช้อำนาจหน้าที่ทางการเมืองขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทชินคอร์ปผู้ประกอบการธุรกิจโทรคมนาคมผ่านการแปลงสัญญาสัมปทานธุรกิจโทรคมนาคม
คำฟ้องคดีดังกล่าวระบุความผิดของพ.ต.ท.ทักษิณไว้ว่ามีความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทที่รับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัด การหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อประโยชน์สำหรับตัวเองหรือผู้อื่น เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสีย หายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต
ทั้งหมดเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 152, 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4, 100, 122ที่อัยการสูงสุดได้มีความเห็นสั่งฟ้องตามการสอบสวนของคณะกรรมกาตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ที่สอบสวนและทำความเห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ใช้ตำแหน่งหน้าที่และอำนาจทางการเมืองผ่านช่องทางทั้งฝ่ายบริหารคือมติคณะรัฐมนตรี และนิติบัญญัติคือรัฐสภา ออกมาตรการเกี่ยวกับกิจการโทรคมนาคมเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทชินคอร์ปคือ
1)การแปลงสัญญาสัมปทานกิจการโทรคมนาคมด้วยการออกพระราชกำหนดภาษีสรรพสามิต ทำให้รัฐเสียหายกว่า 60,000 ล้านบาท
2)แก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า(prepaid card) เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท แอดวานซ์อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส บริษัทในเครือชินคอร์ป
3)พ.ต.ท.ทักษิณขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีส่วนแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วมหรือ Roaming และปรับลดอัตราค่าใช้จ่ายร่วมทำให้ภาระในการส่งรายได้ของเอไอเอสลดน้อยลง แต่มีรายได้เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2544-2549
4)มีการแก้ไขสัญญาดาวเทียมโดยมิชอบหลายกรณีคือการอนุมัติโครงการดาวเทียม IPSTAR หรือการแก้ไขสัญญาสัมปทานครั้งที่ 5 วันที่ 27 ตุลาคม 2547 ลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปในบริษัทชินแซทเทิลไลท์ ที่เป็นผู้ขออนุมัติสร้างและส่งดาวเทียมไทยคมและการอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปเข้าช่องสัญญาณต่างประเทศที่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทชินคอร์ป
โดยคดีนี้มีการฟ้องสมัยนายชัยเกษม นิติศิริ เป็นอัยการสูงสุด และศาลฎีกาฯได้มีคำสั่งรับฟ้องไว้แล้วแต่ได้จำหน่ายคดีออกจากสารบบชั่วคราวเนื่องจากอัยการไม่สามารถติดตามตัวพ.ต.ท.ทักษิณมายื่นฟ้องต่อศาลได้ เพราะหลบหนีคดีไปต่างประเทศ
ดังนั้นหากพ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทย ก็ต้องกลับมาสู้คดีตามปกติคือศาลก็จะเปิดทำการไต่สวนคดีโดยให้ทั้งฝ่ายโจทก์คืออัยการและจำแลยคือพ.ต.ท.ทักษิณสู้คดี โดยนำพยานหลักฐานมาหักล้างกัน
เว้นแต่มีกระบวนการทางการเมืองล้มคดีความทั้งหมดของพ.ต.ท.ทักษิณ การไต่สวนคดีก็จะไม่เกิดขึ้น!
1.2.คดีปล่อยเงินกู้ของเอ็กซิมแบงค์หรือธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
สำหรับคดีนี้คตส.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเองต่อศาลฎีกาฯหลังอัยการไม่ฟ้อง อันมีพ.ต.ท.ทักษิณเป็นจำเลยเพียงคนเดียวและศาลได้จำหน่ายคดีออกจากสารบบชั่วคราวเช่นกันจากเหตุที่พ.ต.ท.ทักษิณหนีคดีไปต่างประเทศ
มูลความผิดแห่งคดีเกิดจากการที่คตส.สอบสวนและมีความเห็นในคดีว่า การปล่อยเงินกู้ของเอ็กซิมแบงก์วงเงินกว่า 4 พันล้านบาทให้กับรัฐบาลทหารพม่าซึ่งเกิดขึ้นสมัยพ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี คตส.ได้ระบุในคำฟ้องว่าการปล่อยกู้ดังกล่าวเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย
เพราะผลการตรวจสอบพบว่า รัฐบาลทหารพม่านำเงินกู้ดังกล่าวไปทำสัญญาซื้อดาวเทียมไอพีสตาร์จากบริษัทชินแซทเทิลไลท์ ในเครือชินคอรป์ที่พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นผู้บริหารรวมถึงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ก่อนที่ต่อมาจะมีการโอนหุ้นให้กับบุตรชายและบุตรสาวหลังเข้ามาเล่นการเมือง
คตส.จึงเห็นว่าการปล่อยกู้ดังกล่าวเท่ากับว่าคนในตระกูลชินวัตรของพ.ต.ท.ทักษิณที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในชินคอร์ปได้ประโยชน์จากการปล่อยกู้ดังกล่าว แต่กลับทำให้รัฐเสียเปรียบ
เช่น มีการปล่อยกู้ในวงเงินแค่ 3 เปอร์เซนต์ทั้งที่ต้นทุนดอกเบี้ยของธนาคารอยู่ที่ 4.3 % ซึ่งส่วนต่างของต้นทุนดอกเบี้ยดังกล่าว กระทรวงการคลังจะต้องเป็นผู้รับภาระชดเชยให้กับเอ็กซิมแบงก์ ซึ่งคิดเฉพาะค่าดอกเบี้ยส่วนเกินเป็นเงินกว่า 700 ล้านบาท จึงมีความเห็นให้เอาผิดพ.ต.ท.ทักษิณจนเป็นที่มาของคดีเอ็กซิมแบงก์
1.3)คดีปกปิดบัญชีทรัพย์สินหนี้สินอันเป็นเท็จ หรือคดีซุกหุ้นชินคอร์ป
คดีดังกล่าวทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ได้ยื่นฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณต่อศาลฎีกาฯ หลังจากที่ศาลฎีกาฯได้มีคำตัดสินยึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำนวน 46,373,687,454.70 บาทเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2553
ซึ่งในคำตัดสินคดียึดทรัพย์ได้มีการระบุไว้ว่า ศาลพิเคราะห์จากพยานหลักฐานแล้วเชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ชินวัตร อดีตภริยา คือเจ้าของหุ้นชินคอร์ปที่แท้จริงในช่วงที่พ.ต.ท.ทักษิณดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งถึงตอนที่ตระกูลชินวัตรขายหุ้นชินคอร์ปทั้งหมดให้กับกลุ่มเทมาเส็กได้เงิน 7.3 หมื่นล้านบาท จึงเท่ากับว่าพ.ต.ท.ทักษิณปดปิดบัญชีทรัพย์สินต่อป.ป.ช.
หลังศาลฎีกาฯตัดสินดังกล่าว ป.ป.ช.จึงยื่นฟ้องเอาผิดพ.ต.ท.ทักษิณฐานปกปิดบัญชีทรัพย์สินตามความผิดของพระราชบัญญัติป.ป.ช.พ.ศ.2542 ตามมาตรา 119 ที่บัญญัติว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายในเวลาที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้กำหนด
หรือจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความ อันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ซึ่งคดีนี้ก็เหมือนกับอีกสองคดีข้างต้นคือ ศาลไม่สามารถดำเนินการไต่สวนอะไรได้เพราะพ.ต.ท.ทักษิณหลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ จึงมีการจำหน่ายคดีออกจากสารบบชั่วคราวไว้ก่อนจนกว่าจะมีการติดตามตัวพ.ต.ท.ทักษิณมายื่นฟ้องต่อศาลได้
1.4)คดีทุจริตการออกหวยบนดิน 2 ตัวและ 3 ตัว
คดีนี้จะแตกต่างจาก 3 คดีก่อนหน้านี้เพราะคดีหวยบนดิน ศาลฎีกาฯได้ตัดสินจบไปแล้วหลังคตส.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ กับพวกรวม 47 คน ในความผิดอาญาและให้ชดใช้ค่าเสียหาย 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งศาลได้ยกฟ้องจำเลยเป็นส่วนใหญ่โดยเฉพาะคณะรัฐมนตรีที่ร่วมประชุมเห็นชอบให้มีการออกหวยบนดิน
เว้นแต่จำเลยบางคนที่ศาลเห็นว่ากระทำผิดตามฟ้องเช่น นายวราเทพ รัตนากร อดีตรมช.คลัง -นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลังและอดีตประธานบอร์ดกองสลากฯ ที่ศาลให้จำคุกคนละ 2 ปี แต่ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลย
เหตุที่พ.ต.ท.ทักษิณหากกลับประเทศไทยยังต้องมารายงานตัวต่อศาลฎีกาฯในคดีนี้อีกก็เพราะในช่วงการไต่สวนคดีหวยบนดิน ปรากฏว่าตอนนั้นพ.ต.ท.ทักษิณที่ถูกคตส.ยื่นฟ้องเป็นจำเลยที่ 1 ในฐานะหัวหน้าคณะรัฐบาลที่เห็นชอบให้มีการทำโครงการหวยบนดิน 2 ตัว 3 ตัว ได้หลบหนีคดีไปต่างประเทศแล้ว
ทำให้ศาลจำหน่ายชื่อพ.ต.ท.ทักษิณออกจากกระบวนการไต่สวนคดีเอาไว้แต่ได้ไต่สวนคดีจำเลยที่เหลือทั้งหมด ดังนั้นหากพ.ต.ท.ทักษิณเดินทางกลับประเทศไทยก็ต้องมารายงานตัวต่อศาลฯในคดีหวยบนดินเช่นกันซึ่งก็ขึ้นอยู่กับศาลว่าจะเห็นควรอย่างไรแต่กระบวนการไต่สวนคดีจะมีความแตกต่างไปจากคดีเอ็กซิมแบงก์-คดีแปลงสัญญาสัมปทานธุรกิจโทรคมนาคมและคดีปกปิดบัญชีทรัพย์สินแน่นอน
2) คดีในชั้นศาลอาญา –คดีก่อการร้าย
สำหรับคดีของพ.ต.ท.ทักษิณในชั้นศาลอาญา ซึ่งมีการเอาผิดยื่นฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณเป็นจำเลยด้วยแต่ยังไม่มีการเปิดศาลพิจารณาคดีในตอนนี้ เพราะยังไม่ถึงกำหนดนัดของศาล
ก็คือคดีที่เกิดขึ้นในช่วงการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงปี 2553 ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษได้สอบสวนดำเนินคดีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรกับแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)รวม 25 คนประกอบด้วย
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
นายวีระ มุสิกพงษ์
นายจตุพร พรหมพันธ์
นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ
นพ.เหวง โตจิราการ
พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์
นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง
นายอดิศร เพียงเกษ
นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์
นายก่อแก้ว พิกุลทอง
นายขวัญชัย ไพรพนา หรือขวัญชัย สาราคำ
นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก
นายนิสิต สินธุไพร
นายการุณ โหสกุล
นายพายัพ ปั้นเกตุ
นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย
นายภูมิกิตติ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง
นายสุขเสก พลตื้อ
นายจรัญ ลอยพูล
นายอำนาจ อินทโชติ
นายชยุต ใหลเจริญ
นายสมบัติ มากทอง หรือผู้กองแดง
นายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์
ส.ท.ราชต หรือกบ วงค์ยอด
นายยงยุทธ ท้วมมี
ในความผิดฐานร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด หรือสนับสนุนให้มีการกระทำผิดฐานก่อการร้าย ด้วยการมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้น กระทำการเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินและก่อความวุ่นวายในบ้าน เมือง โดยผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก และฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548
จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 , 135/2 , 135/3 ประกอบมาตรา 83 , 84 , 85 และมาตรา 86 ฐาน
คดีก่อการร้าย ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษยังได้เอาผิดพ.ต.ท.ทักษิณเพิ่มอีกหนึ่งข้อหาคือ ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร ข้อหาเพื่อให้เกิดเหตุร้ายแก่ประเทศจากภายนอกประเทศ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 127 ประกอบ มาตรา 4 , 5 , 6 และ 7
โดยเมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษสอบสวนคดีนี้เสร็จสิ้นลง ก็ได้ส่งสำนวนให้อัยการและต่อมาอัยการคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุดก็ได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาเมื่อ 11 สิงหาคม 2553 เอาผิดบุคคลทั้งหมดตามการสอบสวนของดีเอสไอ
แต่เนื่องจากในช่วงการฟ้องคดีต่อศาลอาญาตอนแรก ผู้ต้องหาหลายคนที่เป็นแกนนำนปช.หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ ดีเอสไอไม่สามารถติดตามตัวมาฟ้องได้ อัยการจึงมีการยื่นฟ้องในรอบแรกไป 19 คนก่อนอาทินายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ที่เหลือจึงมีการนำตัวไปยื่นฟ้องในภายหลังเมื่อแกนนำนปช.หลายคนเดินทางกลับประเทศไทยหลังจากที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งเช่น นายพายัพ ปั้นเกษ, นายอดิศร เพียงเกษ ,พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แต่ก็ยังมีอีกบางคนที่ยังไม่ไปมอบตัวสู้คดีอาทิ นายอริสมันต์ รวมถึงพ.ต.ท.ทักษิณด้วย
โดยคดีนี้จะเริ่มมีการเปิดห้องพิจารณาคดีกันในปีหน้า และแม้ดีเอสไอจะไม่สามารถนำตัวพ.ต.ท.ทักษิณมายื่นฟ้องต่อศาลได้แต่กระบวนการพิจารณาคดีก็จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เหมือนเช่นการไต่สวนคดีหวยบนดิน 2 ตัว 3 ตัวที่พ.ต.ท.ทักษิณหลบหนีคดีไปต่างประเทศแต่ก็ไม่ได้ทำให้การพิจารณาคดีชะงัก
อีกทั้งต้องไม่ลืมว่าการพิจารณาคดีของศาลยุติธรรมมีด้วยกัน 3 ศาลคือศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา และการพิจารณาคดีใช้เวลาที่ยาวนานกว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ซึ่งแม้รัฐธรรมนูญปัจจุบันจะเปิดโอกาสให้จำเลยอุทธรณ์คดีได้แต่ก็ทำได้ยากหากไม่มีข้อเท็จจริงใหม่มาสู้คดีเพื่อขออุทธรณ์ในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ
คดีก่อการร้าย หลายคนจึงมองว่าพ.ต.ท.ทักษิณไม่หนักใจมากนัก เมื่อเทียบกับคดีในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ที่เคยตัดสินว่าทักษิณทำผิดมาแล้วในคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯและคดียึดทรัพย์
นอกจากนี้ จากการติดตามของ”ทีมข่าวปฏิรูป”ยังพบว่า คดีที่ป.ป.ช.รับไม้มาจากคตส.ที่หมดวาระลงและส่งมอบสำนวนการสอบสวนต่อให้ป.ป.ช.พบว่าคดีที่มีการสอบสวนเอาผิดพ.ต.ท.ทักษิณและป.ป.ช.เห็นยืนตามสำนวนของคตส.คือเห็นควรให้ยื่นฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ ต่อศาลฎีกาฯ ตอนนี้ที่มีความคืบหน้าที่สุดก็มี 2 คดีสำคัญที่กำลังรอจ่อฟ้องศาลฎีกาฯอยู่
คือ1.คดีทุจริตการปล่อยเงินกู้ของธนาคารกรุงไทยให้กับ นักการเมือง และผู้บริหารกับกลุ่มกฤษดามหานคร ผ่านบริษัท โกลเด้นเทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค วงเงิน 9,900 ล้านบาท
และ2.คดีทุจริตโครงการจัดซื้อจัดจ้างปรับเปลี่ยนสายพานลำเลียงกระเป๋า สัมภาระผู้โดยสารและเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด (ซีทีเอ็กซ์ 9000) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ที่ป.ป.ช.เตรียมจะให้ทีมทนายความจากสภาทนายความยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯ หลังจากป.ป.ช.มีความเห็นขัดแย้งกับอัยการทั้งสองคดีนี้ เนื่องจากอัยการเห็นว่าไม่สมควรสั่งฟ้องเพราะ”พบข้อไม่สมบูรณ์”ในคดี จึงเห็นควรให้ยุติคดี แต่ป.ป.ช.ที่มีอำนาจฟ้องได้เองแม้อัยการจะไม่ยื่นฟ้องเห็นว่าสำนวนสมบูรณ์ดีแล้วสามารถยื่นฟ้องได้จึงเตรียมจะยื่นฟ้องศาลเองในเร็วๆนี้ อันเป็นสองคดีที่จะมีพ.ต.ท.ทักษิณเป็นจำเลยด้วยหากศาลประทับรับฟ้อง พลิกปูม2 คดีจ่อฟ้องทักษิณ หลังอัยการหักป.ป.ช.
สำหรับคดีทุจริตการปล่อยเงินกู้ของธนาคารกรุงไทย ในชั้นการสอบสวนของคตส.และป.ป.ช.พบว่าควรเอาผิดบุคคล 3 กลุ่ม
คือ 1.กลุ่มนักการเมืองและคนใกล้ชิด เช่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายพ.ต.ท.ทักษิณ
2.อดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย เช่น นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย
3.กลุ่มผู้บริหารกลุ่มกฤษดามหานคร เป็นต้น
อย่างไรก็ตามการยื่นฟ้องเอาผิด ทางฝ่ายกฎหมายของป.ป.ช.และสภาทนายความกำลังดูอยู่ว่าจะต้องทำอย่างไรต้องมีการแยกฟ้องหรือไม่ เพราะผู้ถูกเอาผิดบางคนก็ไม่ได้เป็นนักการเมือง อาจต้องยื่นฟ้องต่อศาลอาญาไป
สำหรับเหตุที่มีการเอาผิดพ.ต.ท.ทักษิณในคดีนี้เนื่องจากการสอบสวนของคตส.พบว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวกรวม 31 ราย กระทำความผิดเกี่ยวกับการอนุมัติสินเชื่อของธนาคารกรุงไทยให้กับบริษัทใน เครือกฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน)
อันเป็นการร่วมกันหรือสนับสนุนในการกระทำความผิดอันเข้าข่ายเป็นพนักงานปฏิบัติหรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ธนาคารกรุงไทย ฯ ผู้ถือหุ้น และประชาชน ผู้หนึ่งผู้ใดและ/หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นกรรมการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของธนาคารกรุงไทยฯ กระทำความผิดหน้าที่ของตนโดยการกระทำการและหรือไม่กระทำการโดยทุจริต
จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของธนาคาร กรุงไทยฯ ผู้ถือหุ้นและประชาชน ผู้ฝากเงินและ/หรือให้ความช่วยเหลือให้ความสะดวกในการกระทำความผิด
อันเป็นความผิดตามพรบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วย งานของรัฐ พ.ศ.2502 ,พรบ.ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 ,พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ,พรบ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2535 และประมวลกฎหมายอาญา
มหากาพย์CTX ป.ป.ช.ก็ฟ้องเอง
ขณะที่คดีทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นคดีซึ่งมีการเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมกับนักการเมืองอีกบางส่วนอาทิ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.คมนาคม
รวมถึงอดีตบอร์ดและผู้บริหารบริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ (บทม.) และบริษัทการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) และกลุ่มกิจการร่วมค้า ITO ซึ่งเป็นนิติบุคคลภาคเอกชนที่เป็นคู่สัญญากับรัฐ ซึ่งในชั้นคตส.และป.ป.ช.มีการเอาผิดบุคคลต่างๆ รวมทั้งสิ้น 25 ราย
ในความผิดฐานกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 , เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มาตรา 157
และความผิดฐานโดยทุจริตหลอกหลวงผู้อื่นด้วยข้อความ หรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกโดยการหลอกหลวงนั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจาก บุคคลที่สามผู้นั้นมีความผิดฐานฉ้อโกง มาตรา 341 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86 และ 90 พ่วงด้วยความผิดตาม พรบ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ( ฮั้วประมูล ) พ.ศ. 2542 มาตรา 5, 11, 12 และ 13 และพรบ. ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 3 และ 11
โดยมีการสรุปในสำนวนการสอบสวนว่าทั้งหมดมีพฤติการณ์ผู้ถูกกล่าวร่วมกันเสนอค่าจ้างปรับเปลี่ยนสายพานลำเลียงและติด ตั้งเครื่องตรวจวัตถุระเบิดแพงกว่าความเป็นจริง 1,714.846 ล้านบาท เป็นเหตุให้รัฐได้รับความเสียหาย
จากชนักติดหลังทั้งหมดที่พ.ต.ท.ทักษิณต้องเผชิญ แม้บางคดีดูแล้วมีโอกาสที่พ.ต.ท.ทักษิณจะสู้คดีพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ แต่ก็มีบางคดีซึ่งสุ่มเสี่ยงหากจะกลับมาสู้คดีในชั้นศาลอีกรอบหลังก่อนหน้านี้แพ้มาแล้วทั้งคดียึดทรัพย์และคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ
จึงไม่แปลกที่พ.ต.ท.ทักษิณ จะพยายามเคลียร์เส้นทางทั้งหมดก่อนจะกลับประเทศไทย จะได้ไม่ต้องหนีออกนอกประเทศอีกครั้งหากกลับมา