- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- น้ำมาพาจลาจล เยียวยาเป็นธรรมลดกดดัน
น้ำมาพาจลาจล เยียวยาเป็นธรรมลดกดดัน
การบริหารจัดน้ำที่ผิดพลาดจนทำให้มวลน้ำก้อนใหญ่ไหลเข้าท่วมหลายพื้นที่ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครที่เป็นเมืองหลวงของเมืองไทย ถือเป็นประเด็นหลักที่ทำให้สมาชิกรัฐสภา ทั้ง ส.ส.และ ส.ว.รุมกระหน่ำรัฐบาล ทั้งจากเวทีการอภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 เวทีร่วมรัฐสภา จนนำมาสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะ ผอ.ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.)
แม้เสียงส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฎรจะเทความไว้วางใจให้กับ พล.ต.อ.ประชา ในศึกอภิปรายครั้งนี้ ทว่าการบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐบาลก็ประจักษ์แต่สังคมไทย ดังจะเห็นได้จากมวลชนทุกสี ต่างได้รับทุกข์ระดมมหานทีไหลบ่าเข้าท่วมอย่างเสมอหน้า
นับวันการเรียกร้องให้เปิดประตูระบายน้ำ การบุกรื้อทำลายบิ๊กแบ๊กของคนหลังคันบิ๊กแบ๊กจะขยายวงไปเกือบทุกพื้นที่ที่จมน้ำ สาเหตุหลัก เป็นเพราะ “ความเหลืออด” ที่ต้องทนอยู่กับน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน ในขณะที่ “คนหน้าคันบิ๊กแบ็ก” กลับไม่ต้องเผชิญกับภาวะท่วมขังนาน
หลังผ่านศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจหมาดๆ ทีมงานไทยรีฟอร์มได้จับเข่าคุยกับ “รศ.ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง” นักรัฐศาสตร์จากรั้วจามจุรี หนึ่งในผู้ประสบภัยเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในจังหวัดนครปฐมที่ถือเป็นพื้นที่ฝั่งตะวันออกของพื้นที่กรุงเทพมหานครถึงปรากฎการณ์ความขัดแย้งภายในมวลน้ำ โดยเขาฟันธงว่า “แม้รัฐบาลจะสอบผ่านในเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจในรัฐสภา แต่นอกสภาถือว่า สอบตกอย่างสิ้นเชิง หลังจากนี้คงไม่มีใครเชื่ออีกแล้วว่า รัฐบาลจะสามารถจัดการน้ำและบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
“ประภาส” ขยายความเพิ่มเติมว่า การที่รัฐบาลไม่มีความเข้าใจมวลชนที่ออกมาชุมนุมเคลื่อนไหวในหลายพื้นที่ว่า พวกเขาชุมนุมกันเพราะอะไร เพื่ออะไร ทำให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาไม่ถูกจุด แต่เป็นการแก้ไขเฉพาะหน้าเท่านั้น ทั้งๆ ที่เหตุการณ์มีความแหลมคมและร้ายแรง ทั้งที่รัฐบาลควรจะมีคนที่สามารถจัดการมวลชนได้เป็นอยู่ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ แต่การแก้ไขปัญหากลับไม่ทำอย่างที่ควรทำ
“ปัญหาเหล่านี้มีรากเหง้ามาจากความเดือดร้อนที่ฝังลึกอยู่ในสังคมไทย ผสมกับความเดือดร้อนเฉพาะหน้า เพราะคนไม่สามารถอดทนอยู่กับภาวะน้ำท่วมได้นาน ทำให้พวกเขาใช้ชีวิตปกติต่อไปไม่ไหว เมื่อเกิดการชุมนุม ประท้วงจุดหนึ่ง แล้วได้รับความสนใจและปัญหาถูกแก้ไข หลายพื้นที่จึงใช้วิธีการเดียวกันเพื่อให้รัฐแก้ไขปัญหา”ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเมืองภาคประชาชน อธิบาย
เขายังกล่าวอีกว่า ปรากฎการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นแล้วกับการเรียกร้องของกลุ่มชาวนาชาวไร่ที่เรียกร้องให้รัฐแก้ไขปัญหาราคาพืชผลและปัญหาหนี้สิน โดยจะเห็นว่า ช่วงที่เกิดปัญหาขึ้นแรกๆ รัฐบาลมักจะไม่ให้ความสนใจ ไม่เข้าไปแก้ไขปัญหา กระทั่งปัญหาถูกหมักหมม ชาวบ้านรวมตัวกันปิดถนนเพื่อให้สื่อเข้าไปรายงานสถานการณ์และเกิดการต่อรองขึ้น รัฐบาลจึงหันมาสนใจ เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าและเป็นอย่างนี้มานานจนถึงปัจจุบัน
“แต่คราวนี้ปัญหาใหญ่กว่านั้น เพราะเกิดการปรากฎการณ์ว่า ใครเสียงดัง ใครร้องโหวกเหวกก่อนหรือใครมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังก็จะได้รับการแก้ไขปัญหาก่อน ผมคิดว่าการแก้ไขปัญหาแบบนี้จะทำให้เกิดวิกฤตครั้งใหม่เกิดขึ้น จนทำให้เกิดการจลาจลขึ้นได้ แต่ขณะนี้ขบวนการการเคลื่อนไหวยังไม่ถูกจัดรูปขบวนที่แน่นอน แต่เมื่อไหร่ที่ปัญหาสุกงอมและมีคนที่ไม่ได้รับการแก้ไขมากขึ้นๆ อาจจะนำไปสู่การก่อจลาจลขึ้นได้ เพราะตอนนี้เริ่มเห็นแล้วว่า ผู้บริหารประเทศได้ละเมิดจริยธรรมเกินกว่าที่จะยอมรับได้ และดูเหมือนว่าตอนนี้ผู้เดือนร้อนก็รอดูว่า กทม.จะยอมให้น้ำผ่านเข้าพื้นที่หรือไม่และรอน้ำทะเลที่หนุนเข้ามาผ่านไปก่อนเท่านั้น โดยสถานการณ์หลังจากนั้นคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด”นักรัฐศาสตร์ผู้นี้ วิเคราะห์
อาจารย์ประภาส กล่าวถึงรูปแบบการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เป็นการแก้ไขเป็นจุดๆ ของรัฐบาลว่า ยิ่งจะทำให้สะสมเป็นปัญหาใหญ่ขึ้น เพราะแก้ไขปัญหาผิดและไม่ได้ดูปัญหาที่รากเหง้าและปัญหาที่สำคัญที่เผชิญกันทั่วหน้า คือ การระบายน้ำที่ขณะนี้กรุงเทพมหานครก็ไม่ยอมให้น้ำผ่าน อีกทั้งไม่ได้เร่งมือระบายน้ำที่ท่วมขัง โดยเฉพาะม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่า กทม.ก็ไม่ได้เอาจริงเอาจังกับการแก้ไขปัญหา แต่ทำเพียงการป้องกันพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นในเท่านั้น การทำงานเช่นนี้จึงทำให้ผู้คนรู้สึกผิดหวังกับทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้เห็นรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นต้องมาต่อรองกันเองก็ยิ่งทำให้ปัญหานี้ยิ่งจะบานปลายไปมากกว่าเดิม
นักรัฐศาสตร์ผู้นี้ ยังบอกถึงสิ่งที่เลวร้ายที่เขาเห็นจากการบริหารงานของนักการเมือง โดยเฉพาะการที่เลือกช่วยคนที่สนับสนุนพรรคตัวเองก่อนที่จะช่วยประชาชนทั่วไปว่า ประเด็นนี้ยิ่งจะทำให้ปัญหาเกิดความซับซ้อนขึ้นไปอีก เพราะปัญหาการแบ่งแยกสี การแตกต่งทางความคิดถูกสะสมมาอยู่แล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งปัญหานี้อาจจะสั่งสมไปถึงสถานการณ์หลังน้ำลด โดยเฉพาะระหว่างการยียวยา ฟื้นฟู
ทั้งนี้เขาไม่ได้มองว่า การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นที่เลือกปกป้องพื้นที่เศรษฐกิจ แต่ปล่อยให้คนที่อาศัยอยู่ปริมณฑลเป็นเรื่องการจัดแบ่งความช่วยเหลือจากระดับของชนชั้น เพราะเขามองว่า คนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดปริมณฑลก็มีคนชนชั้นกลางอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากและไม่คิดไปไกลว่า เป็นเรื่องไพร่หรืออำมาตย์ แต่เป็นเรื่องของการจัดการและการบริหารน้ำที่ผิดพลาดของผู้มีอำนาจอย่างเห็นได้ชัด
โดยเขาเสนอว่า การแก้ไขปัญหาตอนนี้ไม่ใช่การเกี่ยงงานแต่เป็นการร่วมงานกันเพื่อเร่งระบายน้ำที่มีอยู่ขณะนี้ให้ออกไปให้เร็วที่สุด เมื่อเข้าสู่การเยียวยาและฟื้นฟูรัฐบาลควรชดเชยอย่างเป็นธรรมและตามความเป็นจริง และไม่ควรใช้หลักเกณฑ์ปกติในการเยียวยา
“รัฐบาลควรมองถึงการชดเชยค่าเสียโอกาสในการทำงาน ในกรณีผู้ที่ขาดรายได้ระหว่างต้องเป็นผู้ประสบภัย ส่วนชาวไร่ชาวนาก็ควรพิจารณาถึงค่าเสียโอกาสในกรณีที่น้ำท่วมขังนานจนทำให้พวกเขาไม่สามารถเพาะปลูกได้ตามฤดูกาล โดยเฉพาะชาวนาภาคกลางที่ไม่สามารถหว่านดำได้ในช่วงนี้และอาจต้องรอถึงเดือนกุมภาพันธ์จึงจะสามารถเพาะปลูกได้ เสนอให้รัฐบาลพิจารณาการชดเชยโดยจำแนกประเภทการชดเชยตามชนิดของพืชที่ได้รับความเสียหาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น”รศ.ดร.ประภาส เสนอแนะ
นอกจากนี้ยังมีความเห็นจาก รศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ นักวิชาการจากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถึงปรากฎการณ์การจัดการมวลน้ำทุ่งและน้ำท่าของ ศปภ.ภายใต้การกำกับของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ประชาว่า การทำงานของคนใน ศปภ.ที่ไม่เข้าใจปัญหาและไม่มีประสบการณ์การทำงาน ทำให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่เกิดขึ้น ทั้งที่ไม่ควรเกิด ส่วนหนึ่งก็เกิดมาจากการสั่งการของผู้บริหารประเทศที่ไม่สามารถสั่งการข้าราชการได้
“วิกฤตครั้งนี้ทำให้เห็นความล้มเหลวของระบบราชการไทย ที่ต้องใช้อำนาจในการบังคับถึงจะทำงาน จึงไม่แปลกหากสถานการณ์เช่นนี้จะมีคนคิดถึงผู้นำอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือแม้กระทั่ง สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่สามารถใช้อำนาจสั่งการให้ข้าราชการทำงานได้”เขากล่าว
นักวิชาการผู้นี้ยังกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ความไม่มีประสบการณ์ของคณะผู้บริหาร ไม่เพียงทำให้การบริหารน้ำเกิดความผิดพลาดเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงการบริหารความช่วยเหลือผิดพลาดด้วย โดยเฉพาะการจัดการสิ่งของยังชีพเพื่อให้ถึงมือประชาชนก็เกิดปัญหาว่า แจกจ่ายให้เฉพาะพรรคพวกของตน ทั้งที่เหตุการณ์ความช่วยเหลือช่วงแรกๆ ของสถานการณ์น้ำท่วมเป็นไปด้วยดี ทุกคนต่างให้ความช่วยเหลือกันและกันอย่างเต็มที่ แต่เมื่อเกิดการเลือกสีเกิดขึ้นในวิกฤตก็ยิ่งทำให้เกิดสถานการณ์ที่แย่เกิดขึ้นตามมาด้วย ซึ่งการแสดงความเห็นแก่ตัวนี้เกิดขึ้นในพื้นที่ใกล้กรุงเทพมหานคร
“ประเด็นนี้ผมมองว่า จะกลายเป็นปัญหาในระยะยาว เพราะนักการเมืองมองปัญหาแบบสายตาสั้น ไม่มองคนอื่นเป็นเพื่อนมนุษย์ที่ควรได้รับความช่วยเหลืออย่างเสมอภาคกัน จากสถานการณ์ครั้งนี้ผมมองว่า พรรคเพื่อไทยจะสูญเสียมวลชนที่เป็นทั้งผู้สนับสนุนพวกเขาและผู้ที่ไม่ได้สนับสนุนเขาก็จะพาลไม่ชอบมากขึ้นด้วย”รศ.ดร.อรรถจักร์ กล่าว
จากสถานการณ์ครั้งนี้เขาเห็นว่า ผู้ประสบภัยส่วนใหญ่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่รัฐต้องยื่นมือเข้าไปอำนวยความสะดวกในบางด้าน อาทิ การหาเรือให้คนไปขายในพื้นที่เพื่อไม่ให้เกิดภาวะการขาดอาหาร เพราะผู้คนเหล่านั้นสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้กับภาวะน้ำท่วม หากมีการจัดการที่ดีพอ แต่รัฐกลับเลือกใช้วิธีการส่งอาหารไปให้ เอาถุงยังชีพไปให้ทำให้ผู้ประสบภัยต้องรอคอยความช่วยเหลืออย่างเดียวจนเกิดการเรียกร้องว่า ความช่วยเหลือไปไม่ถึงเกิดขึ้นในทุกพื้นที่
นอกจากนี้ รศ.ดร.อรรถจักร์ ยังได้สะท้อนถึงการนำถุงทรายขนาดยักษ์หรือบิ๊กแบ็กมากั้นเป็นคันกั้นน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลเข้าท่วมหลายเขตที่เป็นกรุงเทพมหานครชั้นในและพื้นที่เศรษฐกิจอื่นๆ โดยเฉพาะเขตอุตสาหกรรมว่า ถือเป็นการมองปัญหาอย่างแยกส่วน ที่ดูเฉพาะการป้องกันเขตเศรษฐกิจเป็นตัวตั้ง ไม่ได้มองปัญหาอย่างมีมนุษยธรรมอย่างที่ควรจะเป็น
“น้ำท่วมครั้งนี้คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ คนจน คนที่อยู่ในสลัม เพราะชีวิตพวกเขาแทบจะต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่ หลังจากที่น้ำซัดเข้าท่วมบ้าน เพราะพวกเขาไม่สามารถหนีไปไหนได้ ต้องอยู่กับน้ำท่วม ในขณะที่เจ้าของกิจการขนาดใหญ่และคนชั้นกลางกลับหนีน้ำท่วมไปพักผ่อนที่พัทยาหรือสถานที่ตากอากาศ ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”นักวิชาการด้านสังคมผู้นี้ กล่าว
คงไม่แปลกหากเขาจะไม่ให้รัฐบาลชุดนี้สอบผ่าน ทั้งที่เพิ่งเข้ามาบริหารประเทศและทำงานภายใต้ภาวะวิกฤตมากว่า 2 เดือน และเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ก็ไม่สามารถดึงความสนใจให้เขาฟังการชี้แจงของพล.ต.อ.ประชา และ การอภิปรายของฝ่ายค้านได้ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเขามองว่า ท้ายที่สุด นักการเมืองเหล่านั้นก็ต่างโยนความผิดให้อีกฝ่าย โดยเฉพาะถ้อยคำที่บอกว่า การบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ก็ใช้แนวทางเดียวกับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
สถานการณ์หลังน้ำลดเขาก็เห็นไม่แตกต่างจากไปจากคนอื่นๆ ในสังคมไทยที่ต้องการให้ทุกภาคส่วนกลับมาทบทวนและวางแผนการแก้ไขการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน รวมทั้งกระบวนการเยียวยาต้องชดเชยโดยคำนึงถึงความจริงให้มากที่สุด กระบวนการนี้ถือว่า มีความสำคัญมากต่อการแก้ไขปัญหามวลชน โดยเสนอว่า รัฐบาลควรงดโครงการที่เป็นเมกกะโปรเจกส์ใหญ่ๆ อาทิ โครงการแจกแท็บเลต การแจกบัตรเครดิตน้ำมัน เป็นต้น เพื่อนำเงินเหล่านี้มาช่วยเหลือเยียวยา ที่จะเป็นการรักษาแผลใจและบรรเทาความเจ็บปวดของผู้ประสบอุทกภัยได้
ถือเป็นข้อเสนอจากสองนักวิชาการที่สะท้อนให้เห็นภาพใหญ่ของปัญหา ดังจะเห็นว่า ทั้งสองคนมองตรงกันว่า รัฐบาลนอกจากจะบริหารจัดการน้ำไม่มีประสิทธิภาพแล้ว ยังไม่สามารถจัดการมวลชนที่อยู่หน้าด่านของความเดือดร้อนได้
ประเด็นนี้น่าจับตาว่า จะกลายเป็นความขัดแย้งในระยะยาวได้หรือไม่ แต่หากรัฐบาลมีมาตรการที่เหมาะสมในการเยียวยาผู้คนหลังน้ำลด สถานการณ์ทุกอย่างอาจจะดีขึ้นก็ได้