- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- จีนปล่อยเรือสินค้าล่องแม่น้ำโขง สัญญาณ “พอใจ ” คืบหน้าคดีฆ่าหมู่ลูกเรือ 13 ศพ ?
จีนปล่อยเรือสินค้าล่องแม่น้ำโขง สัญญาณ “พอใจ ” คืบหน้าคดีฆ่าหมู่ลูกเรือ 13 ศพ ?
หลังจากเกิดเหตุการณ์ลูกเรือจีนในเรือสินค้า 2 ลำ ถูกสังหารหมู่ โยนศพทิ้งน้ำ 13 ศพอย่างโหดเหี้ยม เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ที่ผ่านมา พร้อมปมปริศนา พบยาบ้าในเรือทั้ง 2 ลำถึง 9 แสน 2 หมื่นเม็ด จีนสั่งให้เรือพาณิชย์ 26 ลำ ที่จอดอยู่ในแม่น้ำโขงที่ท่าเรือเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เดินทางกลับไปที่ท่าเรือกวนเหล่ย มณฑลยูนนาน ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม จนเกือบ 2 เดือนต่อมา จีนได้ปล่อยเรือพาณิชย์ขึ้นล่องค้าขายสินค้าได้ตามปกติแล้ว โดยทำพิธีปล่อยเรือลาดตระเวนคุ้มกันเรือพาณิชย์ ที่ท่าเรือกวนเหล่ย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ที่ผ่านมา ซึ่ง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นตัวแทนประเทศไทย เดินทางไปร่วมในพิธีร่วมกับผู้แทนจากพม่า ลาวและจีน
พิธีปล่อยขบวนเรือสินค้าจีนและเรือลาดตระเวนครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างทั้ง 4 ประเทศ เพื่อร่วมกันรักษาความปลอดภัย ป้องกันการก่ออาชญากรรมข้ามชาติ รวมไปถึงการการกระทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศเช่นการขนยาเสพติด การค้ามนุษย์และการครอบครองอาวุธสงคราม การลาดตระเวนจะอยู่ในเส้นทางแม่น้ำโขงจากจีน พม่า ลาว ไม่กินบริเวณมาถึงน่านน้ำเขตไทย
การที่จีนให้เรือสินค้าจีนเดินเรือในแม่น้ำโขงได้ตามปกติ โดยมีความตกลงของ 4 ประเทศให้มีเรือลาดตระเวนคุ้มกันเรือสินค้าจีนเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เนื่องจากก่อนหน้านี้จีนมีท่าทีแข็งขัน นอกจากเรียกเรือสัญาติจีนทุกลำกลับประเทศ ยังจี้ติดคดีลูกเรือจีนถูกสังหารหมู่ 13 ศพ โดยประสานงานมาถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ให้เร่งคลี่คลายคดี้อย่างรวดเร็ว มีการส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาประสานงานอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งปลายเดือนตุลาคม ทหารกองกำลังผาเมือง 9 นาย เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร 2 นาย เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาจากพนักงานสอบสวน ซึ่ง พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้ควบคุมคดีนี้ ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นและซ่อนเร้นอำพรางศพ
ถึงวันนี้ จีนปล่อยเรือสินค้าเดินเรือได้ตามปกติ โดยไม่มีการกล่าวถึงคดีนี้ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมของไทย หมายความว่าจีน “พอใจ”การเร่งคลี่คลายคดีจนได้ตัวผู้ต้องสงสัยว่ากระทำผิด ซึ่งล่าสุดสำนวนคดีนี้ถึงมืออัยการแล้วหรือไม่
ที่มาที่ไปของคดีสังหารหมู่ลูกเรือจีน 13 ศพ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 11 นาฬิกา วันที่ 5 ตุลาคม 2554 เมื่อหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขงเขตเชียงราย (นรข.) และทหารหน่วยปฏิบัติการพิเศษ กองกำลังผาเมือง ได้รับคำสั่งให้เข้าตรวจค้น ควบคุมเรือสินค้าสัญชาติจีนชื่อ “หยู่ ซิง 8”บรรทุกกระเทียมกับผลไม้ กับเรือบรรทุกน้ำมันชื่อ “หัว ปิง” ซึ่งมีรายงานมาก่อนหน้านั้นว่ามียาเสพติดบรรทุกมากับเรือ และจะเข้ามาในน่านน้ำเขตไทยที่ด้านบ้านสบรวก อ.เชียงแสน มีเสียงปืนดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวกว่า 10 นาที หลังเสียงปืนสงบ ทหารกองกำลังผาเมืองขึ้นตรวจสอบบนเรือพบศพผู้เสียชีวิต 1 คน พร้อมอาวุธปืนอาร์ก้า บนเรือบรรทุกน้ำมัน และพบยาบ้าบนเรือทั้ง 2 ลำ รวม 9 แสน 2 หมื่นเม็ด
ต่อมา พล.ต. ปราการ ชลยุทธ ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง แถลงข่าวการจับกุมยาเสพติดที่ลักลอบมากับเรือทั้ง 2 ลำ สรุปว่า เช้าวันนั้น กองกำลังผาเมืองได้รับรายงานว่ามีเรือสินค้าสัญชาติจีน 2 ลำ ถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่ายปล้นและพยายามควบคุมเรือในแม่น้ำโขง บริเวณเขตบ้านสามพู จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า กับบ้านหลวงสินใจ เขตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ห่างจากสามเหลี่ยมทองคำไปทางทิศเหนือประมาณ 25 กิโลเมตร จึงสั่งการให้ นรข.เขตเชียงราย พร้อมกำลังเตรียมให้การช่วยเหลือ พบเรือดังกล่าวแล่นเข้ามาในบริเวณเกาะดอนซาว ในเขตประเทศลาว ถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่ายในเรือเร็วใช้อาวุธยิงเรือสินค้าทั้ง 2 ลำ กองกำลังไม่ทราบฝ่ายหนีลงเรือเร็วหลบหนีขึ้นไปทางทิศเหนือของสามเหลี่ยมทองคำ คาดว่าเป็นกลุ่มโจรสลัดน้ำจืด“หน่อคำ” ได้ปล้นเรือสินค้าแล้วนำยาเสพติดมากับเรือที่จะนำเข้าไทย
วันที่ 7 และ 8 ตุลาคม พบศพผู้เสียชีวิต 12 ศพ เป็นชาย 10 คนหญิง 2 ลอยอืดอยูในแม่น้ำโขง เป็นลูกเรือจีนทั้ง 2 ลำ สภาพศพถูกทำร้ายอย่างทารุณ บางศพถูกใส่กุญแจมือ มีผ้าเทปกาวปิดตา สันนิษฐานว่าเสียชีวิตมาประมาณ 2 วัน คือประมาณวันที่ 5 ตุลาคม วันเกิดเหตุ การพิสูจน์หลักฐานบนเรือพบร่องรอยกระสุนปืนหลายแห่ง
การสังหารหมู่ลูกเรือจีน ทำให้รัฐบาลจีนประสานงานมายังรัฐบาลไทยให้คลี่คลายคดีนี้โดยตรงถึงนายกรัฐมนตรี ส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมสังเกตุการณ์ชันสูตรศพ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่งตั้งชุดคลี่คลายคดี มี พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นผู้ควบคุมคดี ปลายเดือนนั้นเอง ทหารกองกำลังผาเมือง 9 นาย ซึ่งเป็นชุดปฏิบัติการในวันนั้น เข้ารับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นและซ่อนเร้นอำพรางศพ ทั้งหมดให้การปฏิเสธ แต่ยอมรับว่ามีการยิงปืนขึ้นฟ้าระหว่างการเข้าตรวจค้น
ใครฆ่าลูกเรือจีนและฆ่าทำไม
ตามข่าวที่ออกมา ทั้งฝ่ายทหารและตำรวจไทย รวมทั้งสื่อมวลชนพม่าและจีน ระบุตรงกันว่าปฏิบัติการปล้นเรือสินค้าจีนเป็นฝีมือของ “หน่อคำ”ชาวไทยใหญ่ โจรสลัดน้ำจืดซึ่งเคยก่อเหตุเรียกค่าคุ้มครองเรือสินค้าจีน และเคยยิงตำรวจลาดตระเวนจีนบาดเจ็บมาแล้ว ก่อนเกิดเหตุครั้งนี้ กลุ่มติดอาวุธของ “หน่อคำ”เคยบุกขึ้นเรือจับลูกค้าบ่อนการพนันคิงส์ โรมัน ของกลุ่มลงทุนชาวจีนฝั่งประเทศลาว ตรงข้าม อ.เชียงแสน ไปเรียกค่าไถ่ ทำให้นายจ้าว เหว่ย ผู้บริหาร ต้องนำเงินหลักหลายล้านบาทไปเสียค่าไถ่ตัวลูกค้า
“ หน่อคำเกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วย ส่วนเรื่องเรียกค่าไถ่จากจ้าว เหว่ย ก็เป็นเรื่องจริง แต่ไม่รู้ว่าจ่ายครบตามที่เรียกร้องหรือเปล่า ” แหล่งข่าวซึ่งคลุกคลีอยู่ในพื้นที่เชียงแสนและในบ่อนคิงส์ โรมัน ยืนยันกับผู้สื่อข่าว สำนักข่าวอิศรา
“ จ้าว เหว่ย เกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือไม่ เรื่องนี้รู้กันว่า ก่อนจะเกิดเหตุฆ่าลูกเรือจีน ตำรวจจีนกับลาวได้บุกค้นในพื้นที่ของคิงส์ โรมัน ได้ยาบ้าจำนวนมาก แต่ตามข่าวรู้กันว่ายาบ้ามาจากแหล่งผลิตของพวกว้า ซึ่งหน่อคำสนิทสนมกัน จนพูดกันว่ายาบ้าที่ถูกจับได้เป็นของหน่อคำแต่ไปถูกจับในพื้นที่ของจ้าว เหว่ย ” แหล่งข่าวคนเดิมกล่าว
เหตุการณ์สังหารหมู่ลูกเรือจีน จึงมีข้อสันนิษฐานหนึ่งว่า กลุ่ม “หน่อคำ”โกรธแค้นจ้าว เหว่ย เรื่องหักหลังกันไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง โดยหน่อคำค้ายาเสพติด มีนาย จ.ชาวไทยลื้อใน อ.แม่สาย ร่วมขบวนการอยู่ด้วย นาย จ.ก็สนิทกับจ้าว เหว่ย เคยคลุกคลีอยู่ในบ่อนคิงส์ โรมัน
“คนวงในใกล้ชิดในบ่อนคิงส์ โรมัน รู้ว่ากลุ่มคนพวกนี้รู้จักกัน ไม่ใช่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแล้วมีเรื่องกัน”แหล่งข่าวกล่าว
จากข้อมูลของหลายฝ่ายตรงกันว่า ปฏิบัติการสังหารโหดลูกเรือจีนเกี่ยวข้องแน่นอนกับกลุ่ม “หน่อคำ” รวมทั้งทางการจีนเองก็ให้ข่าวผ่ายสื่อมวลชนเหมือนกัน ทำให้เกิดความสงสัยกันมากว่า ทหารกองกำลังผาเมือง 9 นาย ซึ่งรับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นและซ่อนเร้นอำพรางศพไปเกี่ยวข้องได้อย่างไร และทำไมเมื่อมีการดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัยแล้ว ทางการจีนจึงไม่มีปฏิกริยาใดๆอีกเลย และปล่อยเรือสินค้าจีนขึ้นล่องในแม่น้ำโขงตามปกติ โดยสิ่งที่เปลี่ยนไปที่เป็นผลพวงตามมาคือการร่วมมือกันของ 4 ชาติ ในการร่วมกันรักษาความปลอดภัยในแม่น้ำโขง มีเรือตำรวจน้ำจีนติดอาวุธลาดตระเวนคุ้มครองเรือสินค้าในแม่น้ำโขงจากเชียงรุ้งและแม่น้ำโขงช่วงที่แบ่งกั้นประเทศลาว-พม่า
ทหารไทย 9 นายเกี่ยวข้องอย่างไร
ย้อนกลับไปก่อนที่ทหารกองกำลังผาเมืองจะเข้ารับทราบข้อกล่าวหาจากพนักงานสอบสวน การยึดยาเสพติดจำนวนมากถึง 9 แสน 2 หมื่นเม็ด มูลค่าประมาณร้อยล้านบาทถ้าส่งมาขายในตลาดในประเทศไทย ซึ่งมีรางวัลนำจับให้ผู้จับกุมด้วย มีการแถลงข่าวการยึดยาเสพติดได้ในครั้งนั้นว่าเป็นผลงานชิ้นสำคัญของเจ้าหน้าที่ แต่ภายหลังการแจ้งข้อกล่าวหาทหารกองกำลังผาเมืองชุดปฏิบัติการ จึงเป็นเรื่องที่ต้องสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร เนื่องจากในคดีอาญา เจ้าพนักงานสอบสวนคือตำรวจต้องมีพยาน หลักฐาน หนาแน่นพอที่จะดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้ และในคดีนี้เกี่ยวข้องกับทหารซึ่งเป็นข้าราชการ เป็นผู้มีหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาระดับสูงอีกด้วย อาจกระทบกระเทือนภาพลักษณ์สถาบันทหารไปด้วยก็ได้
แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า ในคดีสำคัญและอยู่ระหว่างการดำเนินคดียังไม่ถึงชั้นศาล จะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของคดีต่อสาธารณะ ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่นในเรื่องหลักกฎหมายที่ว่า “ในคดีอาญาถือว่าผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าคดีจะเสร็จสิ้น” การให้รายละเอียดเผยแพร่ออกไปก่อนจะมีการดำเนินคดีในชั้นศาล เสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาท ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงได้ในภายหลังหากคำพิพากษาเป็นว่า “จำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง” หรือการเผยแพร่รายละเอียดอาจทำให้ “เสียรูปคดี” หรือพยานอาจจะไม่ได้รับความปลอดภัย อย่างไรก็ตามในคดีนี้ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนสั้นๆ ในวันที่ทหารกองกำลังผาเมือง 9 นาย รับทราบขอกล่าวหาซึ่งเป็นข่าวไปแล้วว่า เป็นการกระทำของกลุ่ม “หน่อคำ” ส่วนที่ทหาร 9 นายเกี่ยวข้องเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มบุคคล ไม่ใช่สถาบันทหาร
จากพยานและหลักฐานที่ปรากฎระหว่างทหารชุดปฏิบัติการตรวจค้นเรือสินค้าจีนทั้ง 2 ลำและพบยาเสพติดจำนวนมาก เชื่อกันว่าเหตุการณ์สังหารลูกเรือจีนเกิดนอกเขตน่านน้ำไทย เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าว ผู้ก่อเหตุไม่มีเวลามากพอในการลงมือสังหารคนทั้งหมด ด้วยการทรมานและโยนศพทิ้งน้ำได้ทัน สอดคล้องกับสภาพศพที่ลอยขึ้นอืดไม่ห่างจากที่มีการขึ้นไปตรวจค้นเรือ ซึ่งถ้าเป็นการฆ่าตรงกันจุดนั้น ศพจะลอยไปไกลเพราะเป็นช่วงที่แม่น้ำโขงไหลแรง การสังหารคนทั้งหมดจึงน่าจะอยู่นอกประเทศ ถ้าตรงกับการแถลงข่าวก็หมายความว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นห่างออกไปจากเขตไทยทางเหนือตามลำแม่น้ำโขงประมาณ 25 กิโลเมตร ถ้าทหารซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาลงมือก็หมายความว่าต้องลงมือนอกประเทศนั่นเอง
นอกจากนั้น ยาเสพติดที่พบในเรือ 9 แสน 2 หมื่นเม็ด ซึ่งตามหลักฐานว่ามาจากแหล่งผลิตกลุ่มว้า ขึ้นเรือมาได้อย่างไร เพราะบริเวณที่เกิดเหตุยึดเรือเป็นพื้นที่อิทธิพลของกลุ่ม “หน่อคำ” ถ้าหน่อคำเกี่ยวข้องกับการขนยาเสพติดและการสังหารหมู่ครั้งนี้ ทหารผู้ตกเป็นผู้ต้องหาเกี่ยวข้องกับกลุ่ม “หน่อคำ”อย่างไร และเมื่อเกิดเหตุการณ์ฆ่าทิ้งคนในเรือแล้ว ทำไมเรือทั้ง 2 ลำจึงแล่นมาได้ตามแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนว่าเรือที่ไม่มีใครบังคับจะแล่นมาได้เอง แล้วคนบังคับเรือมาเป็นใคร เรือกองกำลังติดอาวุธที่ประกบเรือสินค้ามาแล้วหายไปอย่างลึกลับเป็นเรือของกลุ่มใด
ประเด็นเหล่านี้ยังเป็นปริศนาในสาธารณะ ซึ่งยังต้องค้นหาคำตอบกันต่อไปในการพิจารณาคดีในศาล หากอัยการยื่นฟ้องตามสำนวนของพนักงานสอบสวน แต่สิ่งที่น่าสังเกตุก็คือภายหลังจากมีการแจ้งข้อกล่าวหา มีผู้ต้องหาแล้ว จีนไม่แสดงปฏิกริยาไม่พอใจ ตรงกันข้าม จีนแสดงความขอบคุณรัฐบาลไทยผ่านสื่อมวลชน และให้เรือสินค้าจีนมาต้าขายได้ตามปกติ ซึ่งเป็นผลดีต่อไทยที่มีมูลค่าการค้าขายในพื้นที่นี้ปีละนับพันล้านบาท
เวลานี้จึงถือได้ว่า จีนพอใจการคลี่คลายคดีของไทยแล้วในระดับหนึ่ง ส่วนในเรื่องของคดีก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม จึงไม่มีใครตอบได้ ณ เวลานี้ว่าเหตุการณ์จริงๆที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไรแน่ พยานหลักฐานต่างๆ ทั้งพยานบุคคล พยานวัตถุจากการพิสูจน์หลักฐาน รายงานผลการชันสูตรศพ และสภาพแวดล้อมในที่เกิดเหตุ กับการสู้คดีแก้ข้อกล่าวหา การหักล้าง และคำตอบสุดท้ายคือ “คำพิพากษา” คือความจริงที่น่าเชื่อถือที่สุด แต่คงต้องใช้เวลารอคอยกันอีกนาน