- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- กยอ.ยึดโมเดลญี่ปุ่น-เนเธอร์แลนด์ วางแผนลงทุนสู้อุทกภัย 100 ปี
กยอ.ยึดโมเดลญี่ปุ่น-เนเธอร์แลนด์ วางแผนลงทุนสู้อุทกภัย 100 ปี
เปิดพิมพ์เขียวลงทุนบริหารจัดการน้ำ ชุด วีรพงษ์ รางมางกูร เน้นฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรม 7 แห่งสร้างความเชื่อมั่นญี่ปุ่น คาดใช้เงิน 1.5 หมื่นล้าน พร้อมพลิกวิฤตเป็นโอกาส ปรับพื้นที่รับน้ำสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจเหมือนเกาหลีโมเดล
คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ที่มีนายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้มีการสรุปกรอบ "มาตรการฟื้นฟูความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนต่างชาติ" ให้แก่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อลบภาพฝันร้ายทางเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะกับนักลงทุนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ของประเทศนั้น นายวีรพงษ์ พร้อมด้วย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ได้ให้ความสำคัญพิเศษ บินไป "โรดโชว์" เมื่อปลายเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา
เนื้อหาหลักของแผนจะมีทั้งระยะสั้นและระยะยาว ที่จะดำเนินการควบคู่กันไป
โดยในระยะสั้น จะเร่งสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและนักลงทุนก่อนว่า ฤดูฝนปี 2555 จะมีการบริหารจัดการนำเพื่อมิให้เกิดวิกฤตอุทกภัยอีก และรัฐมีการลงทุนที่จำเป็น เพื่อป้องกันความเสียหายใน "พื้นที่เสี่ยง" และมีผลกระทบทางเศรษฐกิจสูง เช่น พื้นที่อุตสาหกรรมสำคัญ พื้นที่เมืองและชุมชนหนาแน่น
ทั้งนี้ แผนระยะสั้นจะเสร็จภายใน 3 เดือน เพื่อให้เกิดยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาเร่งด่วนในช่วง 1 ปีข้างหน้า พร้อมประสานกับผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมเพื่อสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมภายในนิคมอย่างน้อย 7 แห่งในพื้นที่ภาคกลาง ซึ่งรัฐจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำพิเศษในวงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท
รวมถึงซ่อมแซมถนน สะพาน และสาธารณูปโภคให้กลับสู่ปกติโดยเร็ว เนื่องจากเส้นทางเหล่านี้ใช้ในการลำเลียงผลผลิต วัตถุดิบ และสินค้าจากโรงงาน กระจายไปส่งยังท่าเรือหรือสนามบิน
ส่วนเป้าหมายระยะยาว ได้แก่ การพัฒนาประเทศเพื่อลดความเสี่ยงอุทกภัยอย่าง "ถาวร" ซึ่งอาจใช้วงเงินลงทุนหลายแสนล้านบาท ทุ่มลงไปในระบบการบริหารจัดการน้ำ โครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาเมืองและพื้นที่อุตสาหกรรม การปรับระบบการผลิตภาคอุตสาหกรรมและเกษตร การปรับปรุงกฎระเบียบภาครัฐที่เกี่ยวข้อง การจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อให้เหมาะสมกับวินัยการคลัง การดูแลให้เกิดการลงทุนและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ การสื่อสารและประชาสัมพันธ์ให้สาธารณชนและนักลงทุนมั่นใจในแผนการสร้างอนาคตของประเทศอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการจัดหาแหล่งเงินทุนนั้น นายวีรพงษ์ มองว่า ไม่จำเป็นต้องพึ่งพางบประมาณแผ่นดินเพียงอย่างเดียว แต่ควรมีทางเลือก เช่น การระดมทุนจากตลาดทุน ผ่านกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) การออกกฎหมายพิเศษกู้เงินเพื่อการพัฒนา การพิจารณาการใช้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ เพื่อร่วมลงทุนกับเอกชนในโครงสร้างที่่มีผลตอบแทนเชิงพาณิชย์ เป็นต้น
ในส่วนการช่วยผู้ประกอบการขณะนี้ มีเงินอัดฉีดจากธนาคารออมสินให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำฟื้นฟูสภาพคล่อง 5 หมื่นล้านบาท และสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัยอีก 1.5 หมื่นล้านบาท สำหรับนิคมอุตสาหกรรม 7 แห่งที่ประสบภัย ต้องการสร้างแนวเขื่อนถาวร รวมถึงระบบการระบายน้ำที่ดีขึ้น
หลังจากที่ผ่านมาจะเห็นการสู้กับน้ำของบรรดานิคมอุตสาหกรรมเหล่านี้ เป็นไปตามยถากรรม คือการใช้กระสอบทรายและคันดิน กั้นน้ำที่ไหลบ่าเข้ามาทางตรง แต่ไม่สามารถหยุดยั้งน้ำที่ไหลเข้ามาทางระบบท่อได้
พร้อมกันนั้น กยอ.เห็นว่า รัฐบาลอาจจำเป็นต้องมีการตั้งองค์กรถาวรขึ้นมาเพื่อผลักดันแนวทางตามยุทธศาสตร์ และประสานกับหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐ เอกชน และต่างประเทศ เบื้องต้น ให้อยู่กับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ไปก่อน
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกยอ. ซึ่งมาจากผู้ทรงคุณวุฒิในหลายภาคส่วน ยังมีความเห็นหลากหลายต่อการฟื้นฟูสภาพความเสียหายครั้งนี้ อาทิ การผลักดันวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการวางแผนใช้พื้นที่รับน้ำเป็นแหล่งสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว เหมือนที่สาธารณรัฐเกาหลีดำเนินการภายใต้โครงการ Four Rivers Project
นอกจากนั้น ในการพิจารณาลงทุนสำหรับอนาคต ควรวางแผนในระยะเวลาที่ยาวกว่าแผนทั่วไป เช่น กรณีของญี่ปุ่นและเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ใกล้ทะเล และพื้นที่ค่อนข้างต่ำ จะวางแผนเพื่ออนาคต 50-100 ปี ด้วยซ้ำ เพราะหลังจากนี้ สถานการณ์น้ำท่วมจะเกิดในประเทศไทยบ่อยครั้งขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
ขณะเดียวกัน ควรมีการปรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ , แผนบริหารราชการแผ่นดิน และแผนปฏิบัติราชการกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ เนื่องจากแผนเหล่านี้จัดทำขึ้นก่อนเกิดวิกฤตมหาอุทกภัย หากไม่แก้ไขจะทำใหกลไกการทำงานไม่สอดประสานกัน
สิ่งที่กยอ.หวั่นเกรงต่อมาก็คือเรื่่องการต่ออายุประกันภัย เนื่องจากวิกฤตครั้งนี้บริษัทประกันภัยในประเทศและประกันต่อต่างประเทศ เสียหายต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนจำนวนมาก
ปัญหาเฉพาะหน้าขณะนี้คือผู้ประกอบการไม่สามารถต่ออายุกรมธรรม์ทั้งฉบับ ต้องมีการแยกส่วนกรมธรรม์อุทกภัยออกมา และใช้วิธีการกำหนดสัดส่วนวงเงินเอาประกันขึ้นกับการตกลงกัน ซึ่งเท่ากับว่าผู้เอาประกันจะจ่ายเบี้ยแพงขึ้นและได้รับการชดเชยที่ต่ำลง
ภาครัฐจึงต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่บริษัทประกันภัยขนาดใหญ่ด้วยว่าจะไม่ทำให้ความเสี่ยงจากน้ำท่วมใหญ่เกิดขึ้นอีก โดยเฉพาะในนิคมอุตสาหกรรม 7 แห่งที่มีผู้ประกอบการและนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้ทำให้บริษัทประกัน "เจ็บหนัก"
โดยจากการสำรวจของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) พบว่า ภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือนมีจำนวนเงินเอาประกันทั้งสิ้น 745,353 ล้านบาท ซึ่งเบื้องต้น คาดว่า ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย 30% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย คิดเป็น่าสินไหมทดแทนจำนวน 217,000 ล้านบาท
แบ่งออกเป็น ภาคอุตสาหกรรมทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรม มีจำนวนเงินเอาประกันภัย 688,926 ล้านบาท ประมาณการค่าสินไหมทดแทนจำนวน 200,000 ล้านบาท และภาคครัวเรือน ซึ่งประกอบด้วยประกันภัยรถยนต์ บ้าน และร้านค้าพาณิชยกรรม มีจำนวนเงินเอาประกันภัย 56,572 ล้านบาท ประมาณการค่าสินไหมทดแทนจำนวน 17,000 ล้านบาท
จากการหารือระหว่างผู้บริหารคปภ.และบริษัทประกันวินาศภัย 68 แห่ง พบว่า การรับประกันภัยในประเทศไทยได้มีการทำสัญญาประกันภัยต่อกับต่างประเทศ มากกว่า 90% ซึ่งจากสัญญาประกันภัยต่อทั้งหมด ได้มีการประกันภัยต่อกับญี่ปุ่น 60% โดยบริษัทประกันภัยต่อญี่ปุ่นได้ยืนยันการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญากรมธรรม์อย่างรวดเร็ว สำหรับบริษัทประกันภัยรายอื่น คาดว่าจะไม่มีปัญหาในการจ่ายค่าสินไหมทดแทน
อย่างไรก็ตาม คปภ. เชื่อว่า ในปี 2555 จะมีภาคครัวเรือนและเอสเอ็มอี ต้องการทำประกันอุทกภัยมากขึ้น ขณะที่ผู้รับประกันภัยจะคิดเบี้ยประกันสูงขึ้น จนเกินกว่าเพดานเบี้ยมาตรฐานที่ทางคปภ.กำหนดไว้ พร้อมจำกัดขอบเขตความรับผิดชอบหากเกิดความเสียหาย หรือ "เลวร้ายที่สุด" คือบริษัทประกันปฏิเสธการรับทำประกันประเภทนี้
ดังนั้น คปภ.จึงต้องการให้ภาครัฐควรเข้ามามีส่วนร่วมในกลไกการรับประกันภัย เพื่อให้อัตราเบี้ยประกันอยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งขณะนี้คปภ. ได้ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง พิจารณารูปแบบใหม่อยู่
โมเดลการแก้ฟื้นฟูปัญหาอุทกภัยครั้งนี้ จะสำเร็จหรือไม่คงไม่ต้องประเมินกันทุก 3-6 เดือน หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมเข้ามาจ่อคอหอยประชาชนและภาคธุรกิจอย่างทั่วหน้า แต่ปัญหาคือแนวทางของคณะกรรมการชุดนี้จะมีผลในทางปฏิบัติเร็วแค่ไหนเท่านั้น