- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- พิมพ์เขียวพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้ 'เหล็ก-ปิโตรเคมี-นิวเคลียร์'เกิดยาก
พิมพ์เขียวพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้ 'เหล็ก-ปิโตรเคมี-นิวเคลียร์'เกิดยาก
โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ถูกจุดพลุขึ้นมาอีกครั้งโดย "สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ" หรือสภาพัฒน์ ที่มุ่งเน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เชื่อมโยงแหล่งอุตสาหกรรม การเกษตร และการท่องเที่ยวโฉมใหม่สองฝั่งทะเล หวังสร้างรายได้และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน
ปัจจุบันมูลค่าทางเศรษฐกิจของภาคใต้อยู่ที่ประมาณ 3.6 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.5% ของจีดีพีประเทศไทย ถูกมองว่าโครงสร้างเศรษฐกิจดังกล่าวยังต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริง หากมีการพัฒนาที่ถูกทิศทางจะช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนได้ดีขึ้น โดยรายได้ต่อหัวของคนในพื้นที่ภาคใต้เฉลี่ยอยู่ที่ 9.5 หมื่นบาทต่อปี ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนไทยทั้งประเทศอยู่ที่ 1.3 แสนบาทต่อปี
สภาพัฒน์มีการว่าจ้าง "บริษัท คอนซัลแทนท์ ออฟ เทคโนโลยี จำกัด" ทำการศึกษาเพื่อกำหนดรูปแบบในการพัฒนาเศรษฐกิจที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ รวมถึงการศึกษาความต้องการของประชาชนและสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อมิให้การพัฒนาสร้างปัญหาความขัดแย้งในภายหลัง
นายศักดิ์ชัย ประโยชน์วนิช ผู้จัดการฝ่ายผังเมือง บริษัท คอนซัลแทนท์ ออฟ เทคโนโลยี จำกัด ผู้รับผิดชอบโครงการนี้ กล่าวว่า โครงการศึกษาและจัดทำแผนพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ เป็นการศึกษาเพื่อให้สภาพัฒน์นำไปเป็นจุดเริ่มต้นของการทำโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ เกิดขึ้นจากการที่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ต้องการให้มีการทบทวนผลการศึกษาของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียหรือเอดีบี ที่่เคยศึกษาไว้ว่าภาคใต้ควรพัฒนาอุตสาหกรรมด้านใดบ้าง ซึ่งทางองค์กรพัฒนาเอกชนหรือเอ็นจีโออาจมีความกังวล เพราะผลศึกษาครั้งนั้น ครอบคลุมพวกอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ด้วย จึงอยากให้มีการทบทวนอีกรอบ
"ประเด็นก็อยู่ที่ว่า ศักยภาพของภาคใต้เป็นอย่างไร และข้อจำกัดในการยอมรับมีอะไรบ้าง เช่น โรงไฟฟ้า เขื่่อน นิวเคลียร์ ท่าเรือปาบารา จังหวัดสตูล เป็นอย่างไรบ้าง ส่วนเหตุการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัด เป็นอุปสรรคอย่างไร"นายศักดิ์ชัยระบุ
นอกจากนั้น ยังมีการศึกษาด้วยว่า อุตสาหกรรมเกษตร การขนส่ง ท่องเที่ยว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน นาข้าว มีศักยภาพเพียงใด ซึ่งทางบริษัทคอนซัลแทนท์ฯวางกรอบไว้สองส่วน คืออุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและประชาชนต้องการด้วย ถ้าได้ตามนี้ก็ "ติดดาว" ให้เลย แต่ถ้าเป็นความต้องการชาวบ้าน แต่พื้นที่จริงไม่มีศักยภาพ ก็ต้องติดเอาไว้ก่อน เช่น เมืองยาง ที่ตำบลฉลุง จังหวัดสงขลา อย่างนี้ ก็ต้องเบรกไว้ก่อน แต่ก็ต้องคิดไว้ว่า ถ้าต่อไปชาวบ้านยอมรับจะเดินหน้าอย่างไร
เรามีการประชุมกลุ่มย่อย พยายามตระเวนจัดสัมนาให้ครบถ้วน คราวแรกประชุมที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และจังหวัดชายแดนใต้ทั้งหมด รวมทั้งในจังหวัด พัทลุง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ตรัง พังงา มาจบที่ระนอง มีคนมาร่วมประชุมทั้งสิ้น 536 คน
“เราจะแบให้ชาวบ้านดูว่าพื้นที่คุณมีศักยภาพอะไรบ้าง เช่น การเพาะปลูกยางพารา ปาล์มน้ำมัน ในบางพื้นที่ไม่เหมาะสม เช่น ที่ศึกษามาพบว่า พื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง ลุ่มน้ำทะเลสาบ สงขลา เหมาะปลูกนาข้าว แต่นาข้าวกลับหายไปอย่างน้อย 4 แสนไร่ และมีพื้นที่ปลูกยางพาราขยายตัวขึ้นมา 1 ล้านไร่ แปลว่าส่วนที่หายไป 5 แสนไร่คือป่าไม้ แสดงว่ามีการบุกรุกป่า พบมากในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งยะลา นราธิวาสไม่ใช่น้อย และอีกส่วนคือพื้นที่ป่าแถวสุราษฎร์ นครศรีฯ ที่เป็นที่ราบเชิงเขา เป็นต้น"นายศักดิ์ชัยกล่าว
ตามรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า พื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งมีพื้นที่ปลูกยางพารารวมกันประมาณ 9.6 ล้านไร่ หรือ 79.3% ของพื้นที่ปลูกยางพาราทั้งประเทศ และ มีผลผลิตประมาณ 79.5% ของผลผลิตทั้งประเทศ โดยจังหวัด ท่ีมีพื้นที่ปลูก ยางพารามากที่สุด ได้แก่จังหวัดสุราษฎร์ธานี 1.7ล้านไร่ สงขลา 1.2ล้านไร่ นครศรีธรรมราช 1.2ล้านไร่ ตรัง 1.1 ล้านไร่ ยะลา และนราธิวาส 0.9 ล้านไร่
ผู้จัดการฝ่ายผังเมือง บริษัท คอนซัลแทนท์ ออฟ เทคโนโลยี จำกัด กล่าวอีกว่า เราได้ศึกษาและแจ้งแก่ชาวบ้านไปว่า พื้นที่ปลูกยางพาราที่ดีต้องมีความลาดเอียงไม่เกิน 15% และความสูงของพื้นที่ไม่เกิน 600 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง เราทำแผนที่จีไอเอสให้ดูว่าพื้นที่ของชาวบ้านมีศักยภาพมีอะไรบ้าง เช่น อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ศูนย์กลางยางพาราครบวงจร คลัสเตอร์อุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ท่องเที่ยว อุตสาหกรรมเกษตร เราชี้แจงให้ดูหมด
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พบคือชาวบ้านจำนวนหนึ่งจะไม่เอาอุตสาหกรรมหนัก ยกเว้นที่ปัตตานี ซึ่งสถาบันเหล็กศึกษาว่าเป็นพื้นที่เหมาะสม ก็มีการยกตัวอย่างขึ้นมาว่า ถ้ามีเหล็กต้นน้ำ จะช่วยอุตสาหกรรมอาหารกระป๋อง ยานยนต์ ให้ลดต้นทุนการผลิตได้ เพราะอุตสาหกรรมเหล่านี้ต้องมีเหล็กต้นน้ำมารองรับ ซึ่งก็มีทั้งชาวบ้านที่ยอมรับและไม่ยอมรับ สุดท้ายเราต้องบูรณาการทั้งสองอย่างว่ามีความเป็นไปได้ตามศักยภาพและชาวบ้านยอมรับ เช่น กรณีท่องเที่ยวนั้นชัดเจน หรืออุตสาหกรรมอาหารก็ชัดเจน
"ในผลการศึกษาของเราจึงเสนอเรื่องแบบนี้เป็นตัวตั้ง คือเป็นการพัฒนาไม่ให้เกิดความขัดแย้งเพิ่ม เราเสนออุตสาหกรรมที่ทำให้เกิดการพัฒนายั่งยืน อุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์ และทำให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 67(2) ตามรัฐธรรมนูญต้องทำการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ"นายศักดิ์ชัยระบุ
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาการท่องเที่ยวจะมีการเชื่อมโยงสองฝั่งทะเลนั้น จะมีการเชื่อมโยงโครงการท่าเรือน้ำลึกด้วย ซึ่งทางกระทรวงคมนาคม ยืนยันแนวคิดการพัฒนาที่ปากบารา จังหวัดสตูล ในฝั่งอันดามัน ซึ่งคิดว่ายังจำเป็น เพราะเราต้องพ่ึ่งตัวเองให้มาก แม้จะมีท่าเรือที่ทวาย ที่บริษัทอิตาเลียนไทย ไปลงทุน อยู่่ในประเทศพม่า แต่ปัญหาคือถ้าพม่าปิดประเทศจะทำอย่างไร หรือที่กระบี่จะมีการพัฒนาท่าเรือท่องเที่ยวเพื่อต่อยอดการท่องเที่ยวฝั่งอันดามันได้หรือไม่
ขณะที่ "นิคมอุตสาหกรรม" ตามแผนก็ยังมีเมืองยางพาราหรือ "รับเบอร์ซิตี้" ที่อำเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีฯ เรามีตัวอย่างการใช้พื้นที่เบื้องต้นและมีพื้นที่ขององค์การสวนยางอีก 3 หมื่นกว่าไร่ สามารถพัฒนาอุตสาหรรม มีระบบโลจีสติกส์ขนส่งไปยังอุตสาหกรรมต่อเนื่องได้
ในส่วนของ ท่อส่งกาซ ตอนนี้มีโครงการขึ้นมาที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา อยู่แล้ว ขณะนี้ชาวบ้านรอบอำเภอจะนะ ได้ขอค่าชดเชยจากรัฐเพิ่มครอบครัวละ 5,000 บาท ตรงนี้ถือเป็นอีกประเด็นที่สำคัญ คือการมีส่วนร่วมของประชาชนในการรับข้อมูลจากภาครัฐ และ การชดเชยของรัฐต้องคุ้มค่ากับความสูญเสียในชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน
นอกจากนั้น การรับประโยชน์ต้องทำให้เกิดการพัฒนาแก่ท้องถิ่น ไม่ว่าจะมุ่งด้านท่องเที่ยวหรืออุตสาหกรรมที่มีอยู่ เพราะบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่อยู่ที่กรุงเทพ รายได้ภาษีไม่ได้กลับไปให้ท้องถิ่น จึงมีข้อเสนอว่า ถ้าจดทะเบียนในท้องถิ่นเองจะดีกว่าหรือไม่ รวมถึงต้องเป็นอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์ และมี "พื้นที่กันชน" ป้องกันมลพิษถึงตัวชาวบ้าน ให้สอดคล้องกับแนวคิดของคณะกรรมการแก้ปัญหามลภาวะทีี่มาบตาพุด จังหวัดระยอง หากเป็นไปตามนี้้ก็จะสอดคล้องกับวิถีชุมชน
"เท่าที่รับฟัง พบว่า ประชาชนกังวลปัญหาของอุสาหกรรมหลัก มีบทเรียนสำคัญกรณีของมาบตาพุด ไม่อยากให้เกิดกับภาคใต้ ดังนั้น การศึกษาของเราจึงเน้นไปที่เรื่องของอุตสาหกรรมการเกษตร ยางพารา ปาล์ม"นายศักดิ์ชัยระบุ
นอกจากนี้ ในเรื่องสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่เดิมภาครัฐมีแผนที่จะใช้พื้นที่ในภาคใต้เป็นจุดยุทธศาสตร์ลงทุน แต่ยังไม่ได้กำหนดว่าเป็นจังหวัดใด ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่จะกลัวกรณีแผ่นดินไหวที่เมืองเซนได ประเทศญี่ปุ่น ทำให้เราทำงานได้ยากขึ้น ทั้งที่ศักยภาพของภาคใต้มีมากกว่าพื้นที่อื่น และจริงๆแล้วถ้าสร้างในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา หรือเวียดนามที่กำลังจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แล้วเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมา ก็จะเกิดผลกระทบที่ประเทศไทยด้วยอยู่ดี
ตรงนี้คงต้องให้ความรู้ความเข้าใจในโครงการของรัฐมากกว่า ขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดจุดตายตัว เราเป็นแค่ทีมศึกษา แต่โครงการต่างๆที่จะเกิดขึ้นนั้น สภาพัฒน์หรือส่วนราชการคงต้องดูแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ควบคู่ไปด้วย และเราคงต้องดูให้สอดคล้องกับแผนนานาชาติเช่นเดียวกัน
นายศักดิ์ชัย เชื่อว่า หากแผนพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้เกิดขึ้นจริง จะเป็นตัวที่จะยกระดับรายได้ ในพื้นที่มีปัญหาหนักๆคือจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะภาคใต้มีสัดส่วนคนจนมาก เช่น จังหวัดนราธิวาส มีคนจนจำนวน 27% ปัตตานีีมีคนจนถึง 16% หลักๆคือปัญหาจากการขาดที่ดินทำกิน มีหนี้สิน โดยเฉพาะพวกชาวนา ชาวประมงพื้นบ้าน โดยอายุเฉลี่่ยของประมงพื้นบ้านและชาวนาอยู่ที่ 55 ปีถือว่าสูงมาก จนถึงขั้นขาดแคลนแรงงาน และระยะหลังมีปัญหาน้ำท่วมด้วย อีกอย่างคือปัญหาขาดที่ดินทำกินทำให้เกิดการบุรุก ตัดไม้ทำลายป่า ที่ลาดเชิงเขาปลูกยางพารา ทำให้ฝนตกน้ำท่วมในระยะหลังบ่อยขึ้น ถี่ขึ้น
"หากเดินหน้าตามแผนพัฒนาภาคใต้น่าจะทำให้รายได้ดีขึ้น เราก็พยายามยกระดับรายได้ของคนใน 3 จังหวัด และบางส่วนของจังหวัดสงขลา เช่น นิคมอุตสาหกรรมฮาลาล อาจขยับจากจังหวัดปัตตานี ซึ่งไปไม่ได้ มาที่อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นอาณาเขตที่ติดกันและมีท่าเรืออยู่ด้วย หากทำได้จะเกิดการจ้างงานพัฒนาคนทั้งสองจังหวัดได้"นายศักดิ์ชายกล่าว
ในการพัฒนาภาคเกษตรเราเน้นเรื่องการลดต้นทุนการผลิต การหาตลาด การสร้างรายได้ให้สูงขึ้น เช่น สร้างศูนย์จักรกลการเกษตรเพื่อการทำนาที่พัทลุง เพื่อลดต้นทุนการดำนา เก็บเกี่ยว และแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน หรืออย่างเรื่องผลิตภัณฑ์ยางพารา ที่ต้องใช้แรงงานมากกว่าสวนปาล์มสองสามเท่าตัวก็ต้องเร่งพัฒนาอย่างครบวงจร เราต้องขายได้มากกว่ายางแผ่น และเพิ่มปริมาณการผลิตจากปัจจุบัน 3.8 ตันต่อไร่ ขณะที่มาเลเซียคู่แข่งเราทำได้ 4 ตันต่อไร่ เพราะมาเลเซีย มีศูนย์วิจัยมีพันธุ์ปาล์มและยางพาราที่ได้รับการยอมรับ
ผู้จัดการฝ่ายผังเมือง บริษัท คอนซัลแทนท์ ออฟ เทคโนโลยี ในฐานะผู้ศึกษาโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ทิ้งท้ายไว้ว่า ปัญหาที่พบส่วนหนึ่งในการศึกษาและพัฒนาคือเอ็นจีโอบางส่วนยังไม่เชื่อมั่น บางส่วนยังมีความพยายามล้มโต๊ะการสัมนาหรือการมีส่วนร่วมของประชาชน เพียงเพราะไม่พอใจบางอย่าง แต่เราในฐานะบริษัทที่ปรึกษาเรามีจรรยาบรรณวิชาชีพ นำเสนอตามหลักวิชาการอย่างตรงไปตรงมาแน่นอน