- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- เปิดรายงาน คอป.3 : ถึง “ยิ่งลักษณ์”บรรยากาศปรองดองยังไม่เกิด-ต้องอดทน
เปิดรายงาน คอป.3 : ถึง “ยิ่งลักษณ์”บรรยากาศปรองดองยังไม่เกิด-ต้องอดทน
ส่วนหนึ่งของรายงานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.).ที่นำเสนอ รบ.ยิ่งลักษณ์ 30 มี.ค. ระบุว่าขอให้ทุกฝ่ายประคับประคองสถานการณ์ในบรรยากาศความปรองดองที่จะยังไม่เกิดขึ้นนี้อย่างระมัดระวัง บนพื้นฐานประชาธิปไตย
ขณะเดียวกันได้วิเคราะห์รากเหง้าของปัญหาความขัดแย้ง 5 ประการประกอบด้วย โครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน การจัดการด้านความมั่นคงและจิตสำนึกของทหาร บริบทของสังคม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และอัตลักษณ์ การบังคับใช้กฎหมาย และ สื่อในฐานะเครื่องมือผลิตซ้ำทางความคิด
การศึกษาวิจัยถึงสาเหตุและรากเหง้าของปัญหาความขัดแย้ง
คอป.ได้มีการจัดประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะ ในประเด็นปัญหาต่าง ๆ และมีการพูดคุย ปรึกษาหารือกับนักวิชาการ ผู้แทนหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยได้สังเคราะห์ข้อมูลและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นพบว่ามีมูลเหตุหลักที่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหารากเหง้าของความขัดแย้งที่นำไปสู่ความรุนแรงอย่างน้อย ๕ ประการ คือ
๑) โครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน
๒) การจัดการด้านความมั่นคงและจิตสำนึกของทหาร
๓) บริบทของสังคม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และอัตลักษณ์
๔) การบังคับใช้กฎหมาย และ
๕) สื่อในฐานะเครื่องมือผลิตซ้ำทางความคิด คอป. จึงได้กำหนดกรอบแนวคิดของการวิจัยชุดโครงการศึกษาปัญหารากเหง้าของ ความขัดแย้งและแนวทางสู่ความปรองดอง จำนวน ๕ เรื่อง และจัดทำเอกสารสังเคราะห์สรุปรากเหง้าของความขัดแย้งสู่ทางออกเพื่อความปรองดอง จำนวน ๑ เรื่อง สรุปแนวคิดหลักในแต่ละเรื่องได้ดังนี้
๑ เรื่องโครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน
เป็นการศึกษา และหาข้อสรุปของปัญหาและวิกฤติทางการเมืองที่เกิดขึ้น โดยอธิบายจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างเครือข่ายและกลุ่มอำนาจทางสังคมต่าง ๆ จากทฤษฎีสังคมวิทยาการเมือง ว่าด้วยอำนาจทางสังคมที่เสนอโดยไมเคิล แมนน์ (Michael Mann, The Sources of Social Power) โดยมีแนวคิดว่าสังคมประกอบด้วยเครือข่ายอำนาจมากมายหลากหลายที่ทับซ้อนเหลื่อมล้ำและตัดกัน ไปมา โดยที่ไม่มีปัจจัยสังคมอันหนึ่งอันใดที่สามารถกำหนดหรือเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดสังคมได้หมด หากแต่ลักษณะสังคมจะมาจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างเครือข่ายทั้งหลายที่เหลื่อมล้ำซ้อนกัน สังคมเครือข่ายต้องจัดตั้งกันขึ้นมา พัฒนามาเป็นสถาบันที่สามารถสร้างความหมายและคุณค่าในสังคมขึ้นมาได้ จึงจะสามารถตอบสนองความต้องการของบุคคลในเครือข่ายนั้นได้ โดยคาดว่าผลการศึกษาจะนำไปสู่การมีข้อเสนอแนะทางนโยบายต่อปัญหาและวิกฤตทางการเมืองในประเด็นปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม การสร้างและใช้อำนาจรัฐ การพัฒนาระบบเศรษฐกิจและการผลิต รวมถึงระบบข้อมูลข่าวสารและการยกระดับการศึกษา
๒ การปฏิรูปองค์การด้านความมั่นคง
เป็นการศึกษาถึงองค์การที่มีอำนาจและหน้าที่ในการรับผิดชอบด้านความมั่นคงแห่งรัฐอันประกอบไปด้วย สภาความมั่นคงแห่งชาติ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยเฉพาะประเด็นโครงสร้างและจิตสำนึกของกองทัพไทยในการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงบทบาทของกองทัพไทยจากอดีตสู่ปัจจุบันในเรื่องการรักษา ความมั่นคงภายใน ความสำคัญและความจำเป็นของการปฏิรูปหน่วยงานด้านความมั่นคง การศึกษาตัวอย่างการประยุกต์ใช้ SSR (Security Sector Reform) ในต่างประเทศ รวมถึงแนวทางการประยุกต์ใช้ SSR (Security Sector Reform) กับกองทัพไทย
๓ ความรุนแรงทางการเมือง : พลวัตสังคมและวัฒนธรรม และแนวทางแก้ไข
เป็นการศึกษาโครงสร้างทางสังคม ความเหลื่อมล้ำและความสัมพันธ์ระหว่างเมืองและชนบท รวมทั้งที่มาของความขัดแย้งและพลวัตของการเมืองอัตลักษณ์ในบริบทประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ตลอดจนความเสี่ยงต่อความรุนแรงในสังคมระยะเปลี่ยนผ่าน โดยใช้ทฤษฏี เรื่อง การแปรเปลี่ยน ความขัดแย้ง (conflict - transformation) ที่มีแนวคิดว่าความแตกต่างและความขัดแย้งในสังคมนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาของสังคม โดยในบริบทที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและเร่งรุด โอกาสที่จะเกิดความแตกต่างก็จะมีมากขึ้น และเมื่อเกิดความแตกต่าง แตกแยกหรือความขัดแย้งแล้วได้รับการพิจารณาอย่างไรจากฝ่ายที่มีอำนาจหรือฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่จะส่งผลให้สามารถช่วยแก้ไขหรือผ่อนคลายความขัดแย้ง หรือในทางตรงกันข้ามไปเพิ่มพูนและขยายความขัดแย้งนั้น ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงลักษณะและธรรมชาติของความขัดแย้ง ตลอดจนมูลเหตุและพลวัตของความขัดแย้งจึงเป็นพื้นฐานของการแก้ไขปัญหา ตลอดจนแนวทางป้องกันในอนาคต
๔ กระบวนการยุติธรรมกับสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความรุนแรง : ปัญหาและแนวทางแก้ไข
เป็นการศึกษาปัญหาของกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย เฉพาะกระบวนการยุติธรรมทางมหาชนและทางอาญา เนื่องจากมูลเหตุแห่งความรุนแรงที่ผ่านมาเกิดจากปัญหาในกระบวนการยุติธรรมทางมหาชนและทางอาญาเป็นหลัก โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบกับต่างประเทศ และเสนอ แนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากกระบวนการยุติธรรมซึ่งจะนำไปเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหา ความขัดแย้งและสร้างความปรองดองของคนในชาติ
นอกจากนี้ยังศึกษาความเป็นไปได้ของการดำเนินการตามหลักกระบวนการยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านเพื่อสร้างความปรองดองในระยะเริ่มแรกและเพื่อเป็นฐานที่มั่นคงในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นระบบต่อไป
๕ ขอบเขตการใช้เสรีภาพของสื่อมวลชนในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย
เป็นการศึกษาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ เฉพาะในส่วนของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของสื่อมวลชน ศึกษาหลักเกณฑ์การจำกัดการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนที่มีอยู่ในกฎหมายระดับพระราชบัญญัติอื่นที่มีผลใช้บังคับในปัจจุบันที่เกี่ยวข้อง ศึกษาวิเคราะห์ถึงแนวความคิด ปรัชญา ตลอดจนหลักเกณฑ์ที่กำหนดของกฎหมายและมาตรฐานจรรยาบรรณวิชาชีพของสื่อมวลชน ของไทยและต่างประเทศที่มีผลใช้บังคับในปัจจุบัน ศึกษาบทบาท อำนาจหน้าที่ขององค์กรที่มีอำนาจตามกฎหมายในการควบคุมกำกับการใช้เสรีภาพของสื่อมวลชน ตลอดจนมาตรฐานจรรยาบรรณวิชาชีพของสื่อมวลชนและกลไกการควบคุมกันเองของสื่อมวลชนโดยองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน เพื่อนำหลักการดังกล่าวมาอธิบายเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ๒๕๕๓ โดยจำกัดผลการศึกษาเฉพาะกรณีสื่อหลักอันได้แก่ สื่อวิทยุกระจายเสียง สื่อวิทยุโทรทัศน์ และสื่อหนังสือพิมพ์เท่านั้น ๖ รากเหง้าของความขัดแย้งสู่ทางออกเพื่อความปรองดอง
เป็นการสังเคราะห์องค์ความรู้จากผลงานวิจัยทั้ง ๕ เรื่องข้างต้น และประสบการณ์ การจัดการความขัดแย้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเสนอแนวทางให้แก่รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องในการสร้างความปรองดองให้แก่สังคมต่อไปยุทธศาสตร์เพื่อการปรองดอง
เพื่อบรรลุเป้าหมายอันสำคัญยิ่ง คือการนำประเทศก้าวข้ามความขัดแย้งสู่การปรองดอง คอป. ได้มุ่งเน้นบทบาทในการเป็นตัวกลางสำคัญที่จะเสริมหรือประสานงานเปิดสร้างพื้นที่ให้ทุกฝ่าย ทั้งกลุ่ม บุคคล องค์กร เครือข่ายบุคคลต่างๆ และโดยเฉพาะคู่ขัดแย้ง หรือผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความปรองดองในชาติให้สามารถเจรจา หรือพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ โดยสันติวิธี ผ่านการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ และผ่านการจัดงานประชุมเสวนา เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา ความขัดแย้งร่วมกัน อย่างสันติ และสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน รวมทั้งนำเสนอแนวทางที่เป็นรูปธรรมในการป้องกันไม่ให้ความรุนแรงเกิดขึ้นอีกหรือขยายตัว เพื่อนำมาซึ่งความปรองดองอย่างยั่งยืนในประเทศไทย
นอกจากจะเป็นตัวกลางในการประสานฝ่ายต่างๆ ในสังคมไทย คอป. ตระหนักดีว่าความขัดแย้งและความรุนแรงทางการเมืองที่ผ่านมา มีผลกระทบใหญ่หลวงอย่างประเมินค่ามิได้ในสังคมไทย และยังส่งผลกระทบต่อสังคมนานาชาติอีกด้วย
คอป. จึงได้พยายามหาแนวทางและการดำเนินงานเพื่อสร้างความปรองดองของประเทศโดยสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดย ศาสตราจารย์ ดร. คณิต ณ นคร ประธาน คอป. และนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ กรรมการ คอป. และประธานคณะอนุกรรมการด้านยุทธศาสตร์เพื่อการปรองดอง ได้เดินทางเข้าพบและหารือร่วมกับ Mr. Kofi Annan อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ และ Mr. Martti Ahtisaari อดีตประธานาธิบดีฟินแลนด์ ซึ่งทั้งสองท่านเคยได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ และเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านการประสานความร่วมมือทางการทูต การเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเพื่อนำไปสู่สันติภาพ และการจัดการภายหลังความขัดแย้ง ในระหว่างวันที่ ๑๘ - ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๔ ณ ประเทศสาธารณรัฐฟินแลนด์และประเทศสหพันธรัฐสวิส เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะต่อการดำเนินงานของ คอป. และแนวทางการสร้างความปรองดองที่ยั่งยืนในประเทศไทย หลังจากนั้น คอป. ได้เรียนเชิญ Mr. Kofi Annan และ Mr. Martti Ahtisaari มาเยือนประเทศไทยในฐานะแขกของ คอป. ในช่วงระหว่างวันที่ ๑๖ – ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เพื่อ.ร่วม ประชุมหารือแนวทางการสร้างความปรองดองในประเทศไทยร่วมกับ คอป. และพบปะกับกลุ่มตัวแทนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้นำรัฐบาล ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กลุ่มผู้แทนเหยื่อผู้ได้รับความเสียหาย กลุ่มผู้แทนนักธุรกิจ กลุ่มผู้แทนผู้นำศาสนา กลุ่มผู้แทนภาคประชาสังคม กลุ่มผู้แทนสื่อมวลชน กลุ่มสตรี รวมถึงกลุ่มผู้แทนเยาวชนคนรุ่นใหม่จากภาคต่าง ๆ โดยผลการประชุมครั้งนี้จะเป็นข้อมูลสำคัญประกอบการดำเนินการของ คอป. ให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการนำสังคมไทยก้าวข้ามความขัดแย้งและส่งเสริมให้เกิดความปรองดองต่อไปข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะ
ของ คอป.ในรายงานฉบับนี้เป็นการเน้นย้ำและติดตามการดำเนินการตามข้อเสนอแนะที่ผ่านมาของ คอป. ในประเด็นสำคัญต่าง ๆ ซึ่ง คอป. เห็นว่ายังคงมีปัญหาในการดำเนินการ หรือไม่ได้รับความร่วมมือจากรัฐบาล หน่วยงาน และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเท่าที่ควร ดังนี้
๑ ตามที่ คอป. เคยมีข้อเสนอแนะในรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานของ คอป. ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๔ ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในความขัดแย้ง และผู้ที่มีส่วนในการสร้างความปรองดองในชาติทุกฝ่ายใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งยวดในการกระทำการใดๆ ซึ่งอาจเป็นการกระทบกระเทือนต่อบรรยากาศในการปรองดองของชาตินั้น คอป. เห็นว่า ในขณะนี้ ปัญหาความขัดแย้งยังคงดำเนินอยู่และบรรยากาศของความปรองดองยังไม่เกิดขึ้นในสังคมไทย คอป. จึงขอเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งรัฐบาล นายกรัฐมนตรี ผู้นำฝ่ายค้าน พรรคการเมือง กลุ่มการเมือง ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำกับและควบคุมการใช้อำนาจรัฐ สื่อมวลชน กลุ่มบุคคล และองค์กรต่าง ๆ ร่วมกันประคับประคองสถานการณ์ความขัดแย้ง และให้ความสำคัญต่อการสร้างบรรยากาศของความปรองดองในชาติ โดยยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง มีความอดทนอดกลั้น รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างจากทุกฝ่าย และไม่กระทำการใดที่อาจสร้างความขัดแย้งครั้งใหม่ให้เกิดขึ้น
กระบวนการปรองดองเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยเวลา ความอดทน และการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายและทุกภาคส่วนในประเทศ เครื่องมือและกลไกต่าง ๆ ในการสร้างความปรองดอง เช่น การเปิดเผยความจริงและรากเหง้าของปัญหาความขัดแย้ง การเยียวยาฟื้นฟูผู้ที่ได้รับผลกระทบ การอำนวยความยุติธรรมแก่เหยื่อ การฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดซึ่งต้องเป็นไปอย่างถูกต้องและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ
การเจรจาไกล่เกลี่ย และการจัดทำเวทีประชาเสวนาเพื่อนำไปสู่ความเข้าใจร่วมกันในสังคม โดยการสนับสนุนของรัฐ ล้วนแต่ต้องอาศัย “เวลา” ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขที่สำคัญอย่างยิ่งของการปรองดอง ด้วยเหตุนี้ คอป. จึงเห็นว่าการดำเนินการใดๆ ของผู้ที่เกี่ยวข้องโดยพยายามที่จะรวบรัดหรือเร่งรัดกระบวนการปรองดองนั้นเป็นการกระทำที่ไม่เอื้อต่อบรรยากาศของการปรองดอง ทำให้สังคมเกิดความหวาดระแวงและไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน และถือเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อความพร้อมในการเจรจาร่วมกันเพื่อหาทางออกไปสู่ความเข้าใจที่ดีของคนในสังคมและการปรองดองในชาติต่อไป
ดังนั้น การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการปรองดองจึงต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง รอบคอบ โปร่งใส และตั้งอยู่บนหลักประชาธิปไตยโดยการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย
หมายเหตุ- เนื้อหาข้างต้น เป็นส่วนหนึ่งของ “รายงานความคืบหน้าคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)ครั้งที่ ๓ (กรกฎาคม ๒๕๕๔ – มีนาคม ๒๕๕๕)ที่นำเสนอต่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2555
ภาพประกอบจาก : http://www.chaoprayanews.com/