- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- เอ็กซ์เรย์ SME ‘รอด-ดับ’ หลังปรับค่าจ้าง 300 บาท
เอ็กซ์เรย์ SME ‘รอด-ดับ’ หลังปรับค่าจ้าง 300 บาท
ไม่ว่าจะ ‘เห็นด้วย’ หรือ ‘คัดค้าน’ กับนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท แต่ ณ วันนี้ นายจ้างใน 7 จังหวัด กรุงเทพฯ ภูเก็ต นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร ก็ต้องยอมควักกระเป๋าจ่ายอย่างเสียไม่ได้ เพราะเป็นไปตามนโยบายภาครัฐที่มีตัวบทกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจน
เส้นทางธุรกิจต่อจากนี้ จึงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่มีแต้มต่อน้อยกว่ารายใหญ่
ปิดฉาก รอด หรือสาหัส
นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บจก.ไทย คาเนตะ ผู้ผลิตเสื้อเชิ้ตส่งออก ย่านทุ่งสองห้อง กรุงเทพฯ ประกาศตัวเสียงดังฟังชัดว่าเขาคือ เอสเอ็มอีตัวจริง ที่ผ่านมาก็สู้ไม่ถอย ฝ่าฟันอุปสรรคหลายอย่างเพื่อให้ธุรกิจยืนอยู่ได้
“ผมพยายามหาจุดเด่นเป็นของตนเอง วางตลาดสินค้าใหม่ โดยไปค้าขายแข่งกับตลาดอิตาลี ฮ่องกง ญี่ปุ่น แทนที่จะเลือกแข่งขันกับประเทศที่ผลิตสินค้าราคาถูกอย่างจีน เวียดนาม เพื่อหวังสร้างอำนาจต่อรองให้กับตัวเอง” เขาเล่าสั้นๆ ถึงส่วนหนึ่งของการปรับตัวในเชิงธุรกิจ
แต่เมื่อมีปัจจัยภายนอก นั่นคือ ‘นโยบายค่าจ้าง 300 บาท’ ที่เขาเห็นว่า มาจากวิธีการแทรกแซงทางการเมือง โดยใช้นโยบาย300 บาทมาเป็นตัวนำในการหาเสียง ก็เริ่มออกอาการกลัวๆ ว่า อนาคต ใครอยากชนะก็เป็นอย่างนี้เรื่อยไป ออกนโยบายหาเสียง โดยไม่ได้ทำวิจัยก่อนว่า จะส่งผลกระทบต่อประเทศ หรืออุตสาหกรรมอย่างไร
“หากวิเคราะห์ในเชิงลึก ปัจจุบันจังหวัดที่มีค่าแรงต่ำกว่า 175 บาทมีอยู่ประมาณ 50 จังหวัด ซึ่งหมายความว่า การปรับค่าจ้างครั้งนี้ขึ้นทีเดียวมหาศาล และถ้าย้อนไปดูนโยบายในบ้านเราจะพบว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่มักถูกเชื้อเชิญไปตั้งโรงงานในต่างจังหวัด เพื่อกระจายงาน กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น โดยใช้วิธีกำหนดค่าจ้างที่ถูกกว่า ชดเชยกับอัตราค่าขนส่ง ซึ่งเมื่อบวกลบต้นทุนแล้ว บริษัทยังสามารถประคองธุรกิจต่อไปได้”
เท่านั้นยังไม่พอ เขายังมองการปรับขึ้นค่าจ้างของไทย เทียบเคียงกับประเทศเพื่อนบ้านไว้อย่างน่าสนใจว่า เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ฟิลิปปินส์ เคยขึ้นค่าแรงทีเดียวหลายสิบเปอร์เซ็นต์ คล้ายคลึง หรืออาจมากกว่าไทยในเวลานี้ แต่ผลสุดท้ายประเทศกลับถดถอย เกิดความสูญเสียในการพัฒนาประเทศไปหลายปี...
และเพื่อมองแบบใจเป็นกลาง ผู้จัดการหนุ่มรายนี้ ได้หยิบยกการปรับขึ้นค่าจ้างของจีน ที่ปรับฐานขนานใหญ่ แต่ทำแล้วรอด!! ว่า เป็นเพราะเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดี จัดสรรอุตสาหกรรมอย่างเหมาะสม พวกที่ใช้แรงงานเข้มข้นก็ย้ายไปอยู่ในท้องที่ที่ค่าแรงเพิ่มขึ้นไม่มาก พร้อมกับจัดสวัสดิการช่วยเหลือ เพื่อให้ผู้ประกอบการอยู่รอดได้ และประเทศเดินหน้าต่อไป
ขณะที่เส้นทางของประเทศไทยนั้น “สุวรรณชัย” ไม่ได้สรุป เพียงแต่ให้ลองนึกภาพเองว่า...ทิศทางของบ้านเรากำลังเดินเข้าไปใกล้กับประเทศใดมากกว่ากัน?
แต่ตัวเขาเผยความในใจทิ้งท้ายคือ 7 จังหวัด น่าจะพอแล้ว ส่วนที่เหลืออย่าไปแตะเลย...
ขึ้นค่าจ้าง แถมเงินให้กับ ‘ข้างบ้าน’ ฟรีๆ
ไม่ต่างกันกับผู้คว่ำหวอดในแวดวงอาหารแช่แข็ง ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานบริหาร บจก. ซีแวลู ที่มองว่า การขึ้นค่าจ้างครั้งนี้เป็นไปแบบมัดมือชก เพื่อตอบสนองภาคการเมือง โดยไม่ได้ดูว่า เอกชนจะอยู่อย่างไร
“ค่าจ้างขั้นต่ำเดิมอยู่ที่ 215 บาท วันนี้มาเปลี่ยนเป็น 300 บาท ที่นี้โรงงานผมใช้มีดขูดเกล็ดปลาทูน่า ผมบวกค่าใช้มีดแล้ว 15 บาท ค่ายืนทำงานอีก 20 บาท ทำงานในห้องร้อนก็บวก ทำงานในห้องทำความเย็นก็บวกเพิ่มอีก รวมกับโอทีที่ทุกคนต้องทำอีก 2 ชั่วโมง ตกแล้วหนึ่งวันต้องจ่ายเกือบ 500 บาท ปวช. ปวส. ปริญญาตรีรุ่นเก่าหลบไปเลย ส่วนปริญญาตรีรุ่นใหม่ไม่ต้องพูดถึง ไม่รับเท่านั้นเอง” เขาแจกแจง
พร้อมมองต่อไปว่า การปรับค่าแรงครั้งนี้ จะเป็นการไปแถมเงินให้กับ ‘ข้างบ้าน’ ฟรีๆ ราวปีละ 1.2 แสนล้านบาท เนื่องจากมีข้อมูลระบุว่า มีแรงงานต่างด้าวที่ถูกและไม่ถูกกฎหมายในประเทศไทยประมาณ 4 ล้านคน และจากประสบการณ์ที่สัมผัสกับลูกจ้างต่างด้าว พบว่า คนเหล่านี้ใช้เงินในประเทศไทยไม่เกิด 40% ที่เหลือโอนกลับบ้านหมด
ซึ่ง ดร.พจน์ การันตีได้ว่า ค่าแรงที่เพิ่มขึ้น จะไม่ได้ถูกนำมาใช้จับจ่ายในประเทศไทย แต่จะถูกส่งกลับไปให้ ‘ข้างบ้าน’ ใช้สร้างความแข็งแกร่ง สร้างจีดีพี รวมทั้งสร้างโรงงานอุตสาหกรรมแข่งกับประเทศไทย!! พร้อมมองด้วยว่า การปรับค่าแรงครั้งนี้ จะการเกิดลูกระนาดขึ้นมาในสังคม เพี้ยนทั้งระบบตั้งแต่หัวถึงหาง
อย่างไรก็ตาม เมื่อค่าจ้าง 300 เกิดขึ้นแล้ว ในสายตาของเขา ได้แต่มองว่า สิ่งที่ดีที่สุดตอนนี้คือ ‘ทำใจ’
“ภาคธุรกิจต้องมานั่งจัดโครงสร้างงานใหม่ ปรับตัว ไม่ต้องสนใจเรื่องคนตกงาน จะตัดขั้นตอน ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพของคนอย่างไรเป็นเรื่องสำคัญกว่า เพราะหวังจะไปปรับราคาขาย พูดได้คำเดียวว่า ‘ขี้โม้’ ความเป็นจริงไม่ง่ายขนาดนั้น
พร้อมฝากทิ้งท้ายสั้นว่า ขอเป็นครั้งสุดท้าย ขั้นตอนต่อจากนี้ ภาคการเมืองอย่างเข้ามาแทรก หรือเอาผลทางการเมือง”
ด้าน นางสาวพลอย นราธัศจรรย์ กรรมการผู้จัดการ บจก.วีแอนด์พีจิวเวลรี่ ผู้ผลิตและส่งเครื่องประดับ ทองคำฝังเพชร และอัญมณีไปทั่วโลก เปิดเผยว่า สำหรับธุรกิจประเภทนี้ มีรายได้ 95% จากการส่งออก ขณะที่แรงงานส่วนใหญ่เป็นช่างฝีมือที่ต้องฝึกทักษะ 10-15 ปีกว่าจะเชี่ยวชาญ โดยภาพรวมเมื่อบริษัทเป็นเอสเอ็มอีที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก ใช้แรงงานประมาณ 200 คน การขึ้นค่าแรง 300 บาทจึงไม่ได้กระทบมากนัก เพราะแรงงานฝีมือเหล่านี้มีค่าแรงมากว่า 300 บาทอยู่แล้ว
“บริษัทเรามีแรงงานขั้นต่ำ ซึ่งเป็นเด็กฝึกงาน ที่ต้องปรับขึ้นค่าแรงไม่ถึง 5 คน ประกอบกับภาวะปัญหาเศรษฐกิจ ราคาทองคำ ราคาเพชรเพิ่มขึ้น ทำให้ธุรกิจจิวเวลรี่หยุดชะงัก เราจึงไม่ได้รับพนักงานใหม่” เธออธิบาย พร้อมบอกว่า
แม้ฟังดูผิวเผินเหมือนกับธุรกิจอัญมณีไม่ได้รับผลกระทบจากค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ แต่จริงๆ แล้วกระทบ เมื่อปรับฐานทั้งหมด ต่อไปเราคงต้องปรับเงินเดือนให้แก่พนักงานในระบบด้วย เพราะถูกบีบจากฐานค่าแรงด้านล่างที่ปรับขึ้น
อย่างไรก็ตาม เธอฉายภาพให้ฟังด้วยว่า ธุรกิจจิวเวลรี่บ้านเรานั้น กำลังถูกตีตื้นและแย่งชิงลูกค้า โดยอิตาลี ฮ่องกง ที่ผลิตและขายสินค้าในราคาไม่ต่างจากเรามากนัก ตราสินค้าจึงดึงดูดใจมากกว่า หรืออินเดียที่เริ่มพัฒนาตนเองดีขึ้น ค่าแรงถูก รวมทั้งรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างแท้จริง ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างมาก
“ตรงนี้ต่างจากบ้านเรา นอกจากไม่มีนโยบายชัดเจนมาสนับสนุนอุตสาหกรรมแล้ว ยังมีวิกฤตการเมือง และเรื่องต่างๆ ที่มาทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก ถูกดึงถอยหลัง” เธอตัดพ้อ และบอกด้วยว่า ไม่ว่าวิกฤตเล็กหรือใหญ่ วิกฤตต้มยำกุ้ง แฮมเบอร์เกอร์ รวมถึงค่าจ้าง 300 บาท เชื่อว่าผู้ประกอบการสามารถผ่านไปได้ แต่อยากให้รัฐบาลผลักดันประเทศไปให้ถูกทาง จะส่งเสริมหรือพัฒนาด้านใด รัฐบาลต้องหันกลับมามองความสามารถของประเทศ แล้วเราจะเดินหน้าต่อไปได้
รีดภาษีคืนจากรัฐ เอาตัวรอดในทางที่ถูก
ส่วนเรื่องเงินๆ ทอง ๆ ที่ต้องนับนิ้วนับผลประโยชน์ นางสุปราณี กิตติกรณ์ ที่ปรึกษาด้านภาษีอากรเครือธนาคารกสิกรไทย ระบุว่า เรื่องนโยบายการเมือง เป็นเรื่องปวดหัว อย่าไปแตะ แต่เราในฐานะผู้ประกอบการ ต้องรู้จักหนามยอก เอาหนามบ่ง ต้องรู้จักใช้ในสิ่งที่รัฐให้ เช่น การลดภาษีนิติบุคคล การจัดฝึกอบรมและนำค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า สิ่งเหล่านี้ต้องทำมาใช้ให้หมด
โดยเธอมองว่า “ถ้ารัฐรีดจากเรา เราก็ต้องรีดจากรัฐ” แต่จากประสบการณ์คาดการณ์ได้เลยว่า เรารีดจากรัฐไม่เป็น ได้แต่บ่นเก่ง ต่อไปต้องจัดกระบวนใหม่ สิ่งที่รัฐให้ต้องใช้ เพราะวิธีการดังกล่าวเป็นการเอาตัวรอดในทางที่ถูก ไม่ได้เอาเปรียบรัฐ หรือแรงงานต่างด้าวแต่อย่างใด
ตัวเลขผู้ประกอบกิจการเอสเอ็มอีในประเทศไทย
ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำนวน 2.9 ล้านกิจการ คิดเป็นร้อยละ 99 ของผู้ประกอบการในประเทศไทย มีการจ้างแรงงานกว่า 10.5 ล้านคน ธุรกิจเอสเอ็มอีสร้างจีดีพีให้ประเทศ 3.75 ล้านล้านบาท เอสเอ็มอีจึงเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเจริญก้าวหน้า ขณะเดียวกัน ผลการศึกษาของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) พบว่า ต้นทุนค่าจ้างแรงงานของเอสเอ็มอี โดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 16.2 เมื่อปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำร้อยละ 40 ทั่วประเทศ ต้นทุนการเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 หากแยกย่อยเป็นรายสาขา ภาคการผลิต เช่น กลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ต้นทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 กลุ่มธุรกิจเจียระไน อัญมณี ต้นทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 กลุ่มธุรกิจเครื่องนุ่งห่ม ต้นทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 ธุรกิจฟอกย้อม ต้นทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 ภาคบริการ ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ต้นทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.0 ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ต้นทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.8 และธุรกิจขนส่ง ต้นทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.0 โดยภาพรวมพบว่า ธุรกิจบริการมีต้นทุนเพิ่มขึ้นมากที่สุด เนื่องจากใช้แรงงานเข้มข้นมากกว่าธุรกิจประเภทอื่น อย่างไรก็ตาม หากมองธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีการส่งออกมากที่สุดใน ปี 2553 อัญมณี เครื่องประดับ ถือเป็นอันดับหนึ่ง และในส่วนนี้มีแรงงานอยู่ที่ประมาณ 5-6 แสนคน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่มีทักษะฝีมือ ได้รับค่าจ้างสูงกว่า 300 บาทอยู่แล้ว จึงไม่เป็นปัญหา ขณะที่อุตสาหกรรมสิ่งทอนั้น เน้นใช้แรงงานจำนวนมาก คิดเป็น 20% ของต้นทุนการผลิต เมื่อมีการปรับค่าจ้างจึงได้รับผลกระทบมาก แต่ถ้าเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีการปรับตัวใช้เทคโนโลยี เครื่องจักรมารองรับ น่าจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และค่าจ้างในขณะนี้น่าจะสูงกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไปแล้ว แต่สำหรับเอสเอ็มอีการปรับตัวมีน้อย จึงต้องเร่งพัฒนาศักยภาพการผลิต ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น โดยรัฐบาล และกระทรวงแรงงาน ได้มีมาตรการเข้าไปช่วยเหลือ ทั้งการลดภาษีนิติบุคคล ลดเงินสมทบประกันสังคม ธุรกิจสามารถจัดฝึกอบรม โดยนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า จัดหาแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ ที่มา: นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ปาฐกถาในงานสัมมนาผลกระทบการขึ้นค่าแรงงานที่มีต่อ SME จัดโดยธนาคารกสิกรไทย |