- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- เมื่อกฤษฎีกาชี้ขาดอำนาจนายกฯ สั่งลงโทษอดีตบิ๊กทอท.ไม่ได้ เหตุเกษียณพ้นความเป็นพนง.
เมื่อกฤษฎีกาชี้ขาดอำนาจนายกฯ สั่งลงโทษอดีตบิ๊กทอท.ไม่ได้ เหตุเกษียณพ้นความเป็นพนง.
"...เมื่อปัจจุบันกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าว ไม่มีบทบัญญัติให้อํานาจผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอํานาจแต่งตั้งถอดถอนดําเนินการลงโทษทางวินัยในกรณีนี้ไว้ และมาตรา 95 ดังกล่าวก็มิได้เป็นบทบัญญัติที่ให้นายกรัฐมนตรีมีอํานาจอื่นใดเพิ่มเติมจากที่มีอยู่แล้วตามกฎหมาย อีกทั้งกฎหมายที่มีอยู่ก็มิได้ให้อํานาจนายกรัฐมนตรีดําเนินการเป็นอย่างอื่นเพื่อให้ลงโทษทางวินัยแก่บุคคลดังกล่าวได้ดังนั้น นายกรัฐมนตรี จึงไม่อาจสั่งการเพื่อให้มีการดําเนินการกับผู้ถูกกล่าวหาอย่างใดได้อีก..."
ปรากฏเป็นกระแสข่าวมาก่อนหน้านี้ว่า อดีตผู้บริหารระดับสูงบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลทุจริตโครงการจ้างเหมาบริการรักษาความปลอดภัย สนามบินสุวรรณภูมิ ส่อรอดลงโทษทางวินัย หลังกฤษฎีกาตีความ ว่า ไม่มีกฎหมายรองรับอำนาจการลงทุน เนื่องจากเกษียณอายุและพ้นจากการเป็นพนักงานบริษัทฯ ไปแล้ว แม้ว่าจะมีการส่งเรื่องให้นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจสั่งการตามกฎหมายก็ตามที
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบบันทึกสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การสั่งการของนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 95 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 พบว่ามีการระบุถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน ปรากฏรายละเอียดดังต่อไปนี้
ข้อเท็จจริง
สํานักนายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือ ที่ นร 0106/31 ลงวันที่ 9 มกราคม 2561 ถึงสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า ด้วยสํานักงาน ป.ป.ช. ได้กราบเรียนนายกรัฐมนตรี ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาสํานวนเรื่องกล่าวหาเกี่ยวกับการทุจริตโครงการจ้างเหมาบริการ รักษาความปลอดภัย ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิแล้วมีมติว่าการกระทําของ นายบัญชา ปัตตนาภรณ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโส รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท ท่าอากศยานไทย จำกัด (มหาชน) และเรืออากาศโท ณรงค์ชัย ถนันช่างแสง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เจ้าหน้าที่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ดังกล่าว มีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ และมีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใดผู้หนึ่ง หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
จึงขอให้บริษัทฯ ในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอํานาจแต่งตั้งถอดถอน ลงโทษทางวินัยแก่บุคคลดังกล่าว แต่บริษัทฯ โดยความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) ในเรื่องเสร็จที่ 1300/2556 เห็นว่า เนื่องจากเจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้เกษียณอายุ และพ้นจากการเป็นพนักงานของบริษัทฯ จึงไม่มีระเบียบบริหารงานบุคคลใดให้บริษัทฯ ในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษทางวินัยแก่พนักงานที่เกษียณอายุไปแล้วได้
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติให้เสนอความเห็นกรณีการพิจารณาลงโทษทางวินัยแก่บุคคลทั้งสองดังกล่าวมายังนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการตามที่เห็นสมควร ตามนัยมาตรา 95 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542
สํานักนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วมีความเห็นว่า การพิจารณาลงโทษทางวินัยร้ายแรงแก่พนักงาน ทอท. ที่พ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน ทอท. ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลมานั้น ต้องดําเนินการให้เป็นไปตามระเบียบบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ว่าด้วยการบรรจุ การแต่งตั้ง การพ้นสภาพ วินัย การดําเนินการทางวินัย การลงโทษ และการอุทธรณ์ของพนักงาน พ.ศ. 2554 ซึ่งต้องลงโทษแก่พนักงาน ทอท. ที่ยังมีสภาพเป็นพนักงาน ทอท. หากแม้พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานแล้ว จะได้รับโทษทางวินัยก็ต่อเมื่อเป็นการพ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน ทอท. ตามข้อ 19 และข้อ 35 แห่งระเบียบบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ดังกล่าว
แต่การที่ผู้ถูกกล่าวหาพ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน ทอท. ด้วยการเกษียณอายุ จึงไม่มีระเบียบใดให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอํานาจแต่งตั้งถอดถอนพิจารณาลงโทษทางวินัยได้เช่นเดียวกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ว่า ระเบียบบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ดังกล่าว ไม่มีบทบัญญัติใดให้อํานาจผู้ใดในอันที่จะสั่งลงโทษบุคคลที่พ้นจากงานไปเพราะเกษียณอายุไว้
ดังนั้น เมื่อนายบัญชาฯ และเรืออากาศโท ณรงค์ชัยฯ เกษียณอายุและพ้นจากการเป็นพนักงานของ ทอท. ไปแล้ว ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอํานาจแต่งตั้งถอดถอนจึงไม่สามารถพิจารณาลงโทษนายบัญชาฯ และเรืออากาศโท ณรงค์ชัยฯ ได้อีก จึงเห็นควรที่จะสั่งการให้การดําเนินการทางวินัยของ ทอท. เป็นไปตามระเบียบบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ดังกล่าว ในแนวทางเดียวกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ได้มีคําสั่งให้สํานักนายกรัฐมนตรีขอความเห็นจากสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า นายกรัฐมนตรีจะพิจารณาสั่งการตามที่เห็นสมควรตามมาตรา 95 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ได้เพียงใด
ความเห็นทางกฎหมาย
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) ได้พิจารณาข้อหารือของสํานักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว โดยมีผู้แทนสํานักนายกรัฐมนตรี (สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี) ผู้แทนกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลางและสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) ผู้แทนสํานักงาน ป.ป.ช. และผู้แทน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่า มาตรา 951 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 บัญญัติไว้แต่เพียงว่า ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหาไม่ดําเนินการทางวินัยตามมาตรา 932 หรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่าการ ดําเนินการทางวินัยของผู้บังคับบัญชาตามมาตรา 93 ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอความเห็นไปยังนายกรัฐมนตรี และให้นายกรัฐมนตรีมีอํานาจสั่งการตามที่เห็นสมควร เท่านั้น แต่กรณีตามข้อหารือนี้เป็นกรณีที่ ทอท. ไม่สามารถดําเนินการพิจารณาลงโทษทางวินัยตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. แก่นายบัญชาฯ และเรืออากาศโท ณรงค์ชัยฯ ซึ่งเป็นพนักงาน ทอท. ที่พ้นจากงานไปเพราะเกษียณอายุ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 93 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวได้ เนื่องจากไม่มีบทบัญญัติใดในระเบียบบริษัทท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ว่าด้วย การบรรจุ การแต่งตั้ง การพ้นสภาพ วินัย การดําเนินการทางวินัย การลงโทษ และการอุทธรณ์ของพนักงาน พ.ศ. 2554 ให้อํานาจผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอํานาจแต่งตั้งถอดถอนที่จะสั่งลงโทษทางวินัยแก่พนักงาน ทอท. ที่พ้นจากงานไปด้วยเหตุเกษียณอายุไว้
ทั้งนี้ ตามความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) ในเรื่องเสร็จที่ 1300/25563 ดังนั้น กรณีนี้ จึงไม่ใช่การไม่ดําเนินการทางวินัยตามมาตรา 934 หรือเป็นการดําเนินการทางวินัยตามมาตรา 93 ที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ตามที่มาตรา 955 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ บัญญัติไว้แต่อย่างใด สําหรับการพิจารณาสั่งการของนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 95 ตามที่มีการหารือ นั้น เมื่อปัจจุบันกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าว ไม่มีบทบัญญัติให้อํานาจผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอํานาจแต่งตั้งถอดถอนดําเนินการลงโทษทางวินัยในกรณีนี้ไว้ และมาตรา 95 ดังกล่าวก็มิได้เป็นบทบัญญัติที่ให้นายกรัฐมนตรีมีอํานาจอื่นใดเพิ่มเติมจากที่มีอยู่แล้วตามกฎหมาย อีกทั้งกฎหมายที่มีอยู่ก็มิได้ให้อํานาจนายกรัฐมนตรีดําเนินการเป็นอย่างอื่นเพื่อให้ลงโทษทางวินัยแก่บุคคลดังกล่าวได้ ดังนั้น นายกรัฐมนตรี จึงไม่อาจสั่งการเพื่อให้มีการดําเนินการกับผู้ถูกกล่าวหาอย่างใดได้อีก
อย่างไรก็ดี การดําเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในกรณีตามข้อหารือนี้ ปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมตามคําชี้แจงของผู้แทน ทอท. และผู้แทนสํานักงาน ป.ป.ช. ว่า คดีดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล โดยในคดีแพ่งที่ ทอท. เป็นโจทก์ ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการกระทําของผู้ที่ถูกชี้มูลความผิดตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. นั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องคดี และคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ส่วนในคดีอาญา ที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. นั้น ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
ทั้งหมดนี่ คือ ความเห็นทางกฎหมายของกฤษฎีกาต่อกรณีนี้ และน่าจะเป็นบรรทัดฐานให้กับอีกหลายคดีในอนาคต!