- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- ตามรอย บ.เหมืองแร่ไทย (ตอน 2 ) ยึดที่ชาวบ้าน-ละเมิดข้อตกลง
ตามรอย บ.เหมืองแร่ไทย (ตอน 2 ) ยึดที่ชาวบ้าน-ละเมิดข้อตกลง
“ที่ผ่านมา ปู่ย่าตายายเคยทำนายไว้ว่า วันหนึ่งที่นี่จะเปลี่ยนแปลง ความเจริญจะเข้ามา ปู่ ย่าตายายทำนายไว้อย่างนั้น มองดูวันนี้ เราคัดค้านกันก็จริง แต่วันหนึ่งมันก็คงต้องเป็นแบบนั้น มันมาถึงแล้ว วันที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตามคำทำนาย ถึงอย่างไร สักวันหนึ่งก็ต้องเป็นแบบนี้”
จากท่าเรือที่หมู่บ้านปองดอว์ หลังจากฟันฝ่าแก่งหินน้อยใหญ่และต้องใช้เวลาในการล่องเรือฝ่าสายน้ำเชี่ยวไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง ในที่สุด เราก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านกะตอว์นีอันแสนห่างไกลนี้ ที่ซึ่งไม่มีไฟฟ้าใช้ หากจำเป็นต้องใช้ไฟจริงๆ พวกเขาจะใช้เครื่องปั่นไฟที่เชื่อมต่อพลังงานจากแผงโซล่าเซลล์ หรือพลังงานแสงอาทิตย์
หากจะอาบน้ำ พวกเขานิยมอาบน้ำที่ริมลำธาร สายน้ำที่พวกเขากลัวว่าอีกไม่นาน คงไม่สามารถหล่อเลี้ยงชีวิต ไม่สามารถใช้ อาบ ดื่ม กิน ได้ดังเดิม
หลังจากพักผ่อนนอนเอาแรง วันรุ่งขึ้น พวกเขาสัญญาว่า จะพาเราไปดูต้นเหตุ ที่มาแห่งความกังวลนั้น
...
-1- เหมืองถ่านหิน
เมื่อเช้าตรู่มาถึง คณะของเราและเจ้าหน้าที่สมาคมพัฒนาทวาย Dawei Development Association (DDA ), กลุ่มเยาวชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยง หรือตากาปอว์ ( TAKAPAW YouthGroup ) รวมถึงชาวบ้านจำนวนหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังพื้นที่ขุดเจาะเหมืองถ่านหินที่บริษัท อีสท์สตาร์ เริ่มดำเนินการเป็นแห่งแรกในอาณาบริเวณ 60 เอเคอร์ จากพื้นที่สัมปทานทั้งหมดมากกว่าพันเอเคอร์ที่บริษัทอีสตาร์ได้รับ และพื้นที่แห่งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในพื้นที่สัมปทานขุดเจาะถ่านหินทั้งหมด ที่บริษัท May Flower Mining Enterprise ได้สัมปทานและเซ็นสัญญาร่วมกับ 2 บริษัทของไทย คือ อีสท์สตาร์ และไทยเอทเสทไมนิ่ง
เหมืองถ่านหินที่คณะของเราลงพื้นที่สำรวจแห่งนี้ มีที่ตั้งอยู่บริเวณคาบเกี่ยวระหว่างหมู่บ้านกะตอว์นีและหมู่บ้านกุซองยี ด้วยทำเลอันห่างไกลต่อการเข้าถึง และอาณาบริเวณทิวทัศน์รายรอบสองข้างทาง บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์แห่งนี้ ก่อนที่เหมืองถ่านหินจะถือกำเนิดขึ้น
พะตี กะบู กล่าวว่า “การทำเหมืองนี้ไม่มีการศึกษาผลกระทบ ไม่มีการมาขอคำปรึกษาจากชาวบ้าน บริษัทเขามาทำโดยไม่ปรึกษา ไม่มีการพูดคุยกันว่า การทำเหมืองถ่านหินนี่ดี หรือไม่ดี และเขาก็ไม่ทำตามสัญญาที่ชาวบ้านต้องการ เราเคยมีข้อตกลงกันว่า อย่าให้เกิดผลกระทบกับที่อยู่อาศัย อย่าทำให้เกิดผลกระทบกับแหล่งน้ำ อย่าทำลายพื้นที่ที่ชาวบ้านใช้ทำมาหากิน บริษัทเขาเคยทำสัญญาไว้ เป็นข้อตกลงที่ทำไว้กับชาวบ้าน”
เขากล่าวว่า ชาวบ้านเคยมีโอกาสได้เห็นเอกสาร ข้อตกลงร่วมกันระหว่างเคเอ็นยู และบริษัทอีสต์สตาร์ แม้ชาวบ้านไม่มีเอกสารตัวจริงเก็บไว้ แต่เขาก็ตระหนักว่าสิ่งที่บริษัทกำลังดำเนินการอยู่นี้ ละเมิดข้อตกลงที่เคยให้ไว้
“บริษัทอีสตาร์ เขามาทำโดยไม่ปรึกษาชาวบ้าน ที่นี่เป็นพื้นที่ของชาวบ้านมาก่อน มีต้นไม้อุดมสมบูรณ์ พอบริษัททำไปแล้ว ชาวบ้านจึงต้องมาเรียกร้องค่าเสียหาย ที่เห็นอยู่นี้ เป็นพื้นที่ขุดเจาะที่แรก 60 เอเคอร์ ส่วนนี้เป็นส่วนแรกที่เขาเริ่มเข้ามาขุดเจาะ พื้นที่ 60 เอเคอร์ นี้ เป็นพื้นที่ของชาวบ้านทั้งหมด ก่อนจะต้องยอมขายให้บริษัท”
ด้าน พะทอ กล่าวว่า เมื่อชาวบ้านมาพบว่าที่ดินตนเองถูกบริษัททำเป็นพื้นที่ขุดเหมืองถ่านหิน พวกเขาจึงเรียกร้องค่าเสียหาย นำไปสู่การทำสัญญาซื้อขายที่ดินในเวลาต่อมา ระหว่างเจ้าหน้าที่บริษัทอีสท์สตาร์ และชาวบ้านเจ้าของพื้นที่ในบริเวณ 60 เอเคอร์ซึ่งมีเจ้าของอยู่ร่วมกัน 4 คน เนื่องจาก พื้นที่ดังกล่าวครอบคลุมที่ดินของชาวบ้าน ถึง 4 คน
ด้าน ซอม พอ มี หนึ่งในแกนนำชาวบ้านกะตอว์นีบอกว่า บริษัท อีสสตาร์ เริ่มดำเนินการเปิดหน้าดินในปี ค.ศ. 2010 เมื่อชาวบ้านพยายามมาบอกบริษัทว่าเป็นพื้นที่ชาวบ้าน บริษัทก็ไม่รับรู้ ไม่สนใจ
-2- ความกังวลต่อเหมืองถ่านหิน
รายงานจากสมาคมพัฒนาทวายระบุว่าเคเอ็นยู อนุญาตให้ดำเนินการเหมืองถ่านหิน เมื่อ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2554
ขณะที่กรมเหมืองแร่ กระทรวงเหมืองแร่ รัฐบาลพม่า อนุญาตให้บริษัท May Flower Mining Enterprise ได้รับอนุญาตให้ทำเหมืองใน 6 พื้นที่
โดยการดำเนินการในพื้นที่ที่ 1, 2 และ 3 บริษัท May Flower Mining Enterprise ได้เซ็นสัญญาร่วมกับ บริษัท อีสท์สตาร์และใช้เส้นทางขนส่งโดยใช้ถนนที่สร้างโดยบริษัทอิตาเลียนไทยฯ เพื่อเชื่อมต่อ จ.กาญจนบุรี
ส่วนพื้นที่ 4, 5 และ 6 นั้น บริษัท May Flower Mining Enterprise ร่วมกับบริษัท Thai Asset Mining และจะใช้ถนนที่เชื่อมกับหมู่บ้านเซดอว์ (Sedaw) ในเมืองตาเยะชอง (Thayetchaung)
นอกจากนี้ รัฐบาลแคว้นตะนาวศรี อนุญาตให้ (บริษัท Thai Asset Mining Co.ltd (TAM) สร้างถนนลูกรังไปสู่เหมืองแร่
สมาคมพัฒนาทวายรายงานด้วยว่า บริษัท Thai Asset Mining ไม่มีสำนักงานที่ทวาย แต่มีพาหนะที่มีโลโก้ TAM วื่งเข้า-ออกในทวาย
เหล่านี้ คือข้อมูลเบื้องต้นที่สมาคมพัฒนาทวายรวบรวมไว้เพื่อติดตามผลกระทบจากการทำเหมืองถ่านหินแห่งนี้
ขณะที่ชาวบ้านกะตอว์นี แม้พวกเขาไม่รับรู้เบื้องลึกโครงข่ายสัญญาสัมปทานและบริษัทร่วมทุน แต่ข้อเท็จจริงที่พวกเขาพบเจอก็สะท้อนถึงปัญหาที่สร้างผลกระทบต่อวิถีชีวิตและหมู่บ้านของพวกเขา
พะทอ เล่าว่าในหมู่บ้านมีทั้งคนที่คัดค้านและสนับสนุน เขากล่าวด้วยว่านอกจากพื้นที่แรกที่เริ่มมีการขุดเจาะ 60 เอเคอร์แล้ว บริษัทอีสต์สตาร์ยังได้ไปต่อรองซื้อที่เพิ่มจากชาวบ้าน 1 ใน 4 คนนี้ อีก 9 เอเคอร์
"บริษัทไปต่อรองกับชาวบ้านเอง ซื้อที่กัน รู้เห็นกันแค่ 2 ต่อ 2 แล้วเขาก็ไปชี้อเอาเลย กระบวนการซื้อที่ดินเพิ่ม 9 เอเคอร์ ไม่มีสัญญาอะไรเลย เจ้าหน้าที่บริษัทกับชาวบ้านเซ็นชื่อกันเอง 2 คน ไม่มีใครเคยเห็นสัญญานั้น”
พะทอ, พะตีกะบู และซอม พอ มี ยืนยันตรงกันว่า แม้ที่ดินผืนที่บริษัทนำไปทำเหมือง บริษัทจะสามารถเจรจราต่อรอง กับชาวบ้านเจ้าของพื้นที่ได้แล้ว แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมาที่จะส่งผลกับทั้งแม่น้ำของชาวหมู่บ้านกะตอว์นีและหมู่บ้านกุซอง ยี บริษัทก็ควรที่จะต้องรับผิดชอบ
"กรณีที่เกิดขึ้นกับ 60 เอเคอร์ และ 9 เอเคอร์ นี้ เราไม่มีโอกาสได้คัดค้านก่อนที่เขาจะทำ เพราะเขาทำไปแล้วเราเพิ่งมารู้ แต่เราก็อยากให้จบลงแค่ตรงนี้ แค่ 69 เอเคอร์นี้ ไม่อยากให้มีการทำเหมืองเพิ่มมากไปกว่านี้อีก"
สำหรับ การเซ็นสัญญาซื้อขาย ที่ดิน 60 เอเคอร์จากชาวบ้าน ภายหลังชาวบ้านคัดค้านและไม่พอใจที่บริษัทบุกรุกที่ดินนั้น ทั้งชาวบ้านอย่าง พะทอ , พะตีกะบู, ซอม พอ มี และ โจ ก๊ะ ก๊ะ เจ้าหน้าที่กลุ่มเยาวชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (ตากอปอว์) ยืนยันว่า พวกเขาเก็บเอกสารการซื้อขายที่ของชาวบ้าน 2 ใน 4 คน เก็บเป็นหลักฐานไว้เพื่อยืนยันถึงวันที่ซื้อขาย ที่เกิดขึ้นหลังปี 2010 ที่มีการเปิดหน้าดิน พวกเขากล่าวด้วยว่าพื้นที่บริเวณ 60 เอเคอร์ของการทำเหมืองนั้น บริษัทมีการทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับชาวบ้าน หลังจากถูกชาวบ้านร้องเรียน แต่พื้นที่ 9 เอเคอร์ ที่มีการซื้อขายเพิ่มขึ้นมานั้น ไม่มีใครเคยเห็นสัญญาซื้อขายฉบับดังกล่าว
“ส่วนพื้นที่ 9 เอเคอร์ ตอนนี้ก็มีการขุดเจาะทำเหมืองแล้ว ก็อยู่ติดกันกับพื้นที่ 60 เอเคอร์นี้ และเราก็กลัวว่าฝุ่น ถ่านหิน สิ่งสกปรกจากการทำเหมืองจะไหลลงลำห้วยเล็กๆ ที่เป็นต้นน้ำก่อนไหลลงแม่น้ำบาน เรากลัวผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนี้" พะทอระบุ
-3- พลังอันน้อยนิด
หลังเดินทางกลับจากการสำรวจเหมืองถ่านหินที่รอยต่อหมู่บ้านกะตอว์นี-กุซองยี ชาวบ้านมากกว่า 10 ชีวิต ที่คัดค้านการทำเหมืองถ่านหินได้มารวมตัวที่บ้านพักของเราที่กะตอว์นี พวกเขาร่วมกันวาดแผนที่หมู่บ้านริมแม่น้ำบานและผลกระทบจากการทำเหมืองที่จะส่งต่อเป็นลูกโซ่ถึงวิถีชีวิตริมน้ำ
พวกเขายอมรับว่า
“หมู่บ้านที่ชาวบ้านร่วมกันคัดค้านก็มีแค่ กะตอว์นี, กุซองยี ส่วนหมู่บ้านอื่นยังมีน้อย ที่กุซองยีร่วมคัดค้านกับเรา ก็เพราะว่าเป็นพื้นที่ที่ขนถ่านหิน ผ่านหมู่บ้านของเขา”
พะทอเล่าว่า หมู่บ้านกุซองยี มีประมาณ 70 ครัวเรือน เดิมพื้นที่ที่กลายเป็นเหมืองไป 60-69 เอเคอร์นั้น ชาวบ้าน เอาไว้ปลูกหมาก ปลูกต้นไม้พื้นถิ่น เมื่อบริษัทมาทำเหมือง ชาวบ้านก็ปลูกต้นไม้ไม่ได้ ทำให้เขาสูญเสียรายได้จากการขายหมากและพืชผลการเกษตร เขากล่าวว่า พื้นที่สัมปทานของ 2 บริษัท คือ บริษัท อีสต์สตาร์ กับ ไทยเอทเสท ไมนิ่ง มีบริษัทละ 3 แปลง รวมเป็น 6 แปลง
"บริเวณที่ไปดูเหมืองถ่านหินที่รอยต่อหมู่บ้านกุซองยี เป็นของอีสท์สตาร์ ส่วนหมู่บ้านกะตอว์นี เป็นพื้นที่สัมปทานของไทยเอทเสทไมนิ่ง" พะทอ ระบุ ก่อนกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทไทยเอทเสท ไมนิ่ง ได้พื้นที่สัมปทานถ่านหินของหมู่บ้านกะตอว์นี
"ปัจจุบัน มีนายหน้าของบริษัทไทยเอทเสท ไมนิ่ง เข้ามาเป็นคนไทย แต่ชาวบ้านไม่ต้อนรับ เขาพูดภาษาไทย แต่เขามีล่ามมาด้วย ที่กะตอว์นีนี้ มี 2 แปลงที่เป็นของไทยเอทเสท ไมนิ่ง รวม 400 เอเคอร์ แล้วก็มีหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ข้างบนเขาขึ้นไปอีก รวมแล้วทั้ง 3 แปลงนี้ เป็นของไทยเอทเสท เขาจะเข้ามาขุดก็ต่อเมื่อชาวบ้านยินยอม แต่ตอนนี้เขาได้สัมปทานจากรัฐบาลพม่าแล้ว แต่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากเคเอ็นยู แต่ชาวบ้านไม่ยอมเขาก็ยังมาขุดไม่ได้ ส่วนเคเอ็นยู ก็บอกว่าแล้วแต่ชาวบ้าน ตอนนี้ เคเอ็นยูยังไม่ให้ไทยเอทเสทไมนิ่งเข้ามา แต่เพราะเคเอ็นยูยอมให้อีสต์สตาร์ขุดเหมืองได้แล้ว เมื่อไม่ให้ไทยเอทเสทฯ ไทยเอทเสทฯ เขาก็ไม่พอใจ" พะทอ ระบุ
ด้าน ทันซิน เจ้าหน้าที่สมาคมพัฒนาทวาย ตั้งข้อสังเกตว่า “บริษัทไทยเอทเสท ไมนิ่งทำได้แค่สร้างถนนในการขนถ่านหิน ยังรอการอนุญาตสัมปทานอยู่ แต่แม้ยังไม่มีการอนุญาตจากเคเอ็นยูอย่างเป็นทางการ แต่การทำถนนที่เกิดขึ้น ก็อาจยืนยันความเป็นไปได้ว่ามีการตกลงกันอ้อมๆ แล้ว เพียงแต่ยังไม่ออกมาสู่สาธารณะ เพราะการสร้างถนน ก็บอกได้อยู่แล้ว ว่าไทยเอทเสท ไมนิ่ง น่าจะได้รับการอนุญาตให้ทำเหมืองที่หมู่บ้านกะตอว์นีในอนาคตอันใกล้”
…
“เดิมที ที่นี่มีความบริสุทธิ์อยู่มาก เพราะการเดินทางเข้ามาที่นี่ลำบาก ผู้คนยังมีวิถีชีวิตดั้งเดิม ผู้หญิงหลายคน ยังทอผ้าซิ่นใส่เอง ยังมีผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยังเล่นเครื่องดนตรีดั้งเดิมของหมู่บ้านนี้ที่ทำจากไม้ไผ่ ที่นี่ยังบริสุทธิ์ มีปลาในน้ำมากมาย บางช่วงของแม่น้ำ เราก็ตกลงกันไว้ว่าให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์น้ำ ห้ามจับปลา ที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์ เราใช้ชีวิตกันมาแบบนี้ ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้”
คำบอกเล่าของคุณยายคนหนึ่ง สะท้อนภาพชีวิตที่เคยเป็นมา ขณะที่คำกล่าวของพะตีกะบู ตอกย้ำถึงความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า
“ที่ผ่านมา ปู่ย่าตายายเคยทำนายไว้ว่า วันหนึ่งที่นี่ก็จะเปลี่ยนแปลง ความพัฒนา ความเจริญจะเข้ามา ปู่ ย่า ตายาย ทำนายไว้อย่างนั้น มองดูวันนี้ เราคัดค้านกันก็จริง แต่วันหนึ่งมันก็คงต้องเป็นแบบนั้น มันมาถึงแล้ว วันที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตามคำทำนาย ถึงอย่างไร สักวันหนึ่งก็ต้องเป็นแบบนี้”
...
( อ่านประกอบ : ตามรอย บ.เหมืองแร่ไทย รุกวิถีป่า-น้ำ-ฅน บนเทือกเขา “ตะนาวศรี” (ตอน1) )
( อ่านประกอบ : สมาคมพัฒนาทวาย ชี้ กลุ่มทุนแห่รุกป่า ทำเหมือง หลังสนธิสัญญาหยุดยิง )
( อ่านประกอบ : ผลกระทบหลังสัญญาพักรบ "พม่า - เคเอ็นยู" เมื่อนายทุนไทยรุกทำเหมือง? )