เรามิได้เป็นผู้มอบมรดกแผ่นดินนี้ให้ลูกหลาน...เราต่างหากที่ยืมแผ่นดินนี้มาจากลูกหลาน (2)
ผมขอเสนอความเห็นต่อในปรัชญาที่ว่า “เรามิได้เป็นผู้มอบมรดกแผ่นดินนี้ให้ลูกหลาน...เราต่างหากที่ยืมแผ่นดินนี้มาจากลูกหลาน” ซึ่งครั้งที่แล้วผมได้มีโอกาสพูดถึง หลักกว้างๆว่า ขอให้เรารักษาให้แผ่นดินไทยของลูกหลาน เป็นแผ่นดิน ที่ทรงคุณธรรม มีความสุข และ มีความรัก
ครั้งนี้ ผมก็อยากชวนให้คนไทยในรุ่นเรานี้ รับผิดชอบว่า แผ่นดินไทยที่เราขอยืมจากลูกหลานเรามานั้น น่าจะยังมีสิ่งดีๆดังต่อไปนี้
1. รักษาบ้านเมืองให้เป็นประชาธิปไตยแท้ เราทุกคนเชื่อกันว่า กับการปกครองบ้านเมือง ที่ประชาชนย่อมมีความคิดเห็นที่หลากหลาย ระบอบการปกครองที่ดีที่สุด ยังคงเป็นระบอบประชาธิปไตย
ความงดงามของประชาธิปไตย ต้องมีความครบถ้วนขององค์ประกอบ
1.1)การได้มาต้องได้มาจากเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งเราก็ได้แล้ว แม้จะถือว่า ประเทศไทยน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ถ้ามีการ “ดีเบต” เพื่อประกวดและประชันวิสัยทัศน์ เพื่อเปิดให้คู่แข่งขัน กลั่นกรองเอาแต่ความจริงมาเสนอประชาชนซึ่งครั้งนี้ขาดหายไป ก็ขอให้เราเตรียมให้พร้อมสำหรับครั้งต่อไป
1.2)เมื่อได้แล้ว เสียงผู้แทนส่วนใหญ่ก็จัดตั้งรัฐบาล แต่ต้องเป็นรัฐบาลของประชาชน “ทั้งประเทศ” เสียงส่วนน้อย ก็ทำหน้าที่ตรวจสอบ ที่เรียกกันว่า “ฝ่ายค้าน” ซึ่งก็ไม่ควรแค่ค้านทุกเรื่อง เรื่องดีก็สนับสนุน เรื่องไม่ดีก็ค้าน และค้านเพื่อประชาชน “ทั้งประเทศ” เช่นกัน
1.3)ฝ่ายรัฐบาล ก็ให้เกียรติกับการทำงานของ ส.ส. ฝ่ายค้าน เพราะเท่ากับเป็นการให้เกียรติกับประชาชนทั้งแผ่นดิน
1.4)ฝ่ายรัฐบาล ทำงานโดยเคารพกลไกการตรวจสอบขององค์กรอิสระ ไม่แทรกแซง เพื่อให้สังคมสบายใจว่า จะไม่มีใครวางตัวเหนือกฎหมายได้
ประชาธิปไตยได้พัฒนาในประเทศมานาน ผมอาจจะไม่ทันสมัยตุลา แต่ตั้งแต่พฤษภาทมิฬ 2535 เป็นต้นมา ผมก็มั่นใจว่า ไม่มีใครจะมาล้มล้างประชาธิปไตยไปจากบ้านเราได้ เว้นแต่ผู้แทนที่มาจากประชาธิปไตยเอง เป็นผู้เหยียบย่ำประชาธิปไตย ละเลยการถ่วงดุลอำนาจอันเป็นความงดงามของประชาธิปไตย เหมือนสมัย 5-6 ปีที่ผ่านมา ในที่สุด ก็ทำให้เกิดรัฐประหารซึ่งประชาชนก็ยอมรับได้ในระยะหนึ่ง แต่ก็เป็นเพียงยอมรับเพื่อให้การกระทำเหนือกฎหมายหมดไป ไม่ได้อนุญาตให้ถือโอกาสรัฐประหารเพื่ออำนาจที่ถาวร
2.รักษาบ้านเมืองให้เคารพเสรีภาพของสื่อมวลชน เพราะเสรีภาพของสื่อมวลชน จริงๆแล้ว ก็คือ เสรีภาพของ “ประชาชน” ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร
ดูอย่างในอารยประเทศ เมื่อมีเสียงเรียกร้องให้ทบทวนดูการบริหารงาน ซึ่งไม่สามารถลดการว่างงานลงจากระดับ 9% (ของไทยเราโชคดี ขณะนี้ ยอดว่างงานต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เหลือเพียงประมาณ 0.5% เท่านั้น) เขาก็พร้อมจะให้ประชาชนได้รับฟังความเห็นจากตัวแทนฝ่ายค้าน และเมื่อประธานาธิบดีโอบามา จะเสนอกฎหมายขยายเพดานเงินกู้ เขาก็พร้อมที่จะจัดให้มีการ “ดีเบต” กัน เพื่อให้ประชาชนได้ฟังมุมมองที่ครบถ้วน
ผมสังเกตว่า เมื่อใดที่สภาทำงานได้ สื่อมวลชนยังมีเสรีภาพ การเมืองก็อยู่ในระบบ บ้านเมืองก็มีสันติสุข เหมือนพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีต่อนายกฯหญิงของเราว่า โลกวุ่นวายมาพอแล้ว เมืองไทยก็วุ่นวายมาพอแล้ว หากผู้มีอำนาจ ใช้อำนาจในกรอบที่กระบวนการตรวจสอบทำงานได้ ปัญหาก็คงจะไม่มีครับ
3.รักษาบ้านเมืองให้ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ประเทศไทยโชคดีที่มีในหลวง พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย เศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งในรอบนี้ ต้องถือว่า เกิดจากการยึดมั่นในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกันมาอย่างเข้มแข็ง หนี้ภาครัฐน้อย หนี้ภาคเอกชนน้อย หนี้ภาคสถาบันการเงินปรกติ หนี้ภาคครัวเรือนลดลง ทำให้แม้โลกจะผันผวนน่ากลัว เศรษฐกิจไทยดูจะมีภูมิคุ้มกันที่ดี จึงควรที่จะรักษาหลักเศรษฐกิจพอเพียง ให้เป็นคุณธรรมประจำชาติอีกด้านหนึ่ง อย่าให้คนโลภมากเกินไป ก่อหนี้ง่ายเกินไป ประชาชนจะได้มีฐานะที่เข้มแข็ง และมั่นคงยั่งยืน
4.รักษาบ้านเมืองให้รู้รักสามัคคี อย่าเอาอำนาจของตัวบุคคลเป็นที่ตั้ง ตัวอย่างที่ผ่านมา เมื่อสภาเลือกนายกรัฐมนตรีที่ไม่ใช่พวกของตน ก็ก่อการจลาจลทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ก็เป็นตัวอย่างของคนไม่มีน้ำใจนักกีฬา ไม่เคารพกติกา มาบัดนี้ เมื่อผลเลือกตั้งเป็นเช่นนี้ ก็ถือว่าดีที่ทุกฝ่ายก็ยอมรับผลการเลือกตั้ง และให้โอกาสพิสูจน์ผลงานกันเต็มที่ เพราะคนไทย พึงรู้รักสามัคคี หากแบ่งฝ่ายทะเลาะกัน ยื้อแย่งกันเท่ากันเท่านั้น ก็คงเป็นดังพระราชดำรัสคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า “ไม่ต้องสนใจหรอกว่าใครชนะ หากคนไทยสู้กัน ประเทศไทยก็แพ้แล้ว”
5.รักษาบ้านเมืองให้รักษา “ความจริง” ที่ “รัฐบาลมาเพื่อแก้ปัญหาประชาชน ไม่ใช่เพื่อคนกันเอง” ปัญหา “ของแพง” ที่ผ่านมา ก็เป็นที่ยอมรับกันว่าเกิดจากราคาโภคภัณฑ์ทุกประเภทสูงขึ้น ราคาน้ำมันสูงขึ้น ราคาพืชพลังงานสูงขึ้น ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น แต่นายกรัฐมนตรีของเราก็ได้อาสาว่า จะมีวิธีแก้ไข เข้ามาแล้วก็น่าจะแก้ไขได้เลย ก็เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประชาชนทั่วไป และหากทำได้ ก็เป็นผลงานที่ใครๆต้องศรัทธา
ในช่วงนี้ ของกลับแพงขึ้น ผมก็อยากชวนให้ทุกท่านเข้าใจว่า ด้วยเป็นเทศกาลสาร์ทจีน จะแก้ปัญหาของแพงได้เพียงใด ก็คงต้องให้โอกาสกันต่อไป
ขณะนี้ ชาวบ้านก็กำลังรอคอยการแก้ไขปัญหาปากท้องตามที่ได้ร่วมใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมา และเมื่อผลงานแรกๆ เป็นเรื่องพาสปอร์ต เรื่องวีซา ก็หวังว่า เรื่องปากท้องของประชาชนจะได้เป็นเรื่องที่ได้เห็นกันในไม่ช้า
ผมยังรักปรัชญา “เรามิได้เป็นผู้มอบมรดกแผ่นดินไทยนี้ให้ลูกหลาน...เราต่างหากที่ยืมแผ่นดินนี้มาจากลูกหลานชาวไทยทั้งแผ่นดิน” นี้ และอยากชวนให้เราคนไทยในรุ่นนี้ ช่วยกันรักษาประชาธิปไตย เสรีภาพสื่อมวลชน หลักเศรษฐกิจพอเพียง และหลักความรู้รักสามัคคี และ “ความจริง” ที่รัฐบาลอาสาเข้ามาเพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อคนกันเอง ก็จะช่วยทำให้ประเทศมีแต่ความสงบสุขแท้ และจะเจริญรุ่งเรืองยั่งยืนตลอดไปครับ