ต้องแชร์..ทำข่าวเชิงอุบัติเหตุ อย่างไรให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ฉบับ 'ดร.รุ่งทิพย์'
“...ต้องเข้าใจว่าการทำข่าวของสำนักข่าวต่างประเทศจะไม่ได้ทำเฉพาะเวลาเกิดอุบัติเหตุ หรือว่าเกิดการชนเท่านั้น เพราะฉะนั้นเขาก็เห็นว่าการชนบนท้องถนนและความสูญเสียเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นหนึ่งในห้าอันดับของคนเสียชีวิตทั่วโลก ปีละประมาณหนึ่งล้านสามแสนคน ความสูญเสียเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว จะให้ความสำคัญมากกับการป้องกันเป็นอันดับหนึ่งเลย ไม่ใช่วัวหายล้อมคอก..."
เมื่อวันที่ 23 ก.ค. 60 ที่ผ่านมา ที่โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว ฟอร์จูน กรุงเทพฯ มูลนิธิความปลอดภัยทางถนน (ThaiRoad) ร่วมด้วยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) แผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุระดับจังหวัด (สอจร.) ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) และสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดโครงการอบรมพัฒนาศักยภาพการผลิตและรายงานช่าวเชิงวิเคราะห์ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายด้านความปลอดภัยทางถนน ให้กับสื่อมวลชนหลากหลายสำนักทั้งจากกทม.และภูมิภาค
ในตอนหนึ่งดร.รุ่งทิพย์ โชติณภาลัย วิทยากรที่ผ่านการเข้าร่วมโครงการ “ดับเบิลยูเอชโอเฟลโลว์ชิป” (The WHO Fellowship) จัดโดยองค์การอนามัยโลก ได้แบ่งบันประสบการณ์การเข้าร่วมประชุมเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนในระดับนานาชาติส่งเสริมการต่อยอดประเด็นให้กับผู้เข้ารับการอบรมได้แลกเปลี่ยนแสดงความเห็น
ดร.รุ่งทิพย์ เล่าว่า ได้เข้าร่วมอบรมกับโครงการดับเบิลยูเอชโอเฟลโลว์ชิปมาหลายรอบ โดยเขียนโครงการส่งไปเพื่อเสนอขอทุนว่าจะรายงานข่าวอย่างไรประชากรในไทยจึงจะตื่นตัวกับเรื่องการชนบนท้องถนน ซึ่งส่วนตัวเล็งเห็นว่าประเทศไทยเกิดการชนมากเป็นอันดับสองของโลกจึงตั้งใจว่าจะชูประเด็นนี้
ขณะที่การอบรมทำให้เห็นว่าสถานการณ์ของแต่ละชาติเป็นอย่างไร และสามารถดำเนินการได้อย่างไร นอกจากนี้ยังมีการอบรมแนวทางการใช้งานข้อมูลเชิงสถิติ มีการบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการต่อยอดประเด็นต่าง ๆ
“เราก็คิดว่าทำยังไงเรื่องจึงจะสานต่อไปได้ ไม่หยุด ไม่ใช่เฉพาะปีใหม่หรือสงกรานต์ที่มีการชนเยอะ ๆ แล้วมีการสูญเสีย เราต้องเอาตัวเลขและสถิติพวกนี้มาเปรียบเทียบกัน เริ่มเอามาจับประเด็น เขาสอนให้เราทำให้น่าสนใจ ใกล้ตัวคน เอามาจับให้มันเรียงได้”
“การอบรมจะทำให้เราสร้างสรรค์มากขึ้น ถ้าดูตามรายงานของพี่จะเห็นว่ามีเทคโนโลยีใหม่เต็มไปหมด เช่น เวียดนามมีหมวกกันน็อกรูปตรงปรับไปตามมวยผมชาวไทยใหญ่ หรือเทคโนโลยีหยุดรถอัตโนมัติ”
@ ความปลอดภัยบนท้องถนนกำลังเป็นประเด็นโลก
ดร.รุ่งทิพย์ ระบุว่า ได้เข้าร่วมการประชุมในระดับรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2552 ที่มีการประกาศรับรองปฏิญญามอสโกอันมีเจตนารมณ์ส่งเสริมความปลอดภัยบนท้องถนน และการประชุมในครั้งต่อมาที่บราซิลซึ่งก็ทำให้เห็นความคืบหน้าของแต่ละประเทศในการลดการเกิดเหตุ
“ประทับใจการประชุมระดับรัฐมนตรีที่มอสโกที่มีประกาศปฏิญญามอสโกจะลดการชนทางถนนให้เหลือครึ่งหนึ่ง ปี 2020 ตอนนั้นเราเพิ่งจับเรื่องนี้ เมืองไทยมีคนทำน้อยมากตอนนั้น แล้วเราก็ทำเรื่อย ๆ จนการประชุมที่บราซิลก็เอาเรื่องนี้มาเล่นต่อเพราะมันยังไปไม่ถึงไหน แต่ก็เห็นความร่วมมือมากขึ้น เริ่มมีหน่วยงานที่เป็นเอ็นจีโอมาเข้าร่วมทั่วโลก นอกจากนี้ก็ได้เห็นความพยายามในการป้องกันที่บราซิล เช่นเวลานั่งเท็กซี่บราซิลก็ต้องให้คาดเข็มขัดนิรภัย”
@ สื่อตื่นตัวได้ รัฐบาลต้องเอาจริง
ดร.รุ่งทิพย์ ยืนยันว่า รัฐบาลเป็นตัวแปรสำคัญในการกระตุ้นให้สื่อทำหน้าที่ในการสร้างความรู้ความเข้าใจ โดยสื่อต่างประเทศมีแนวทางการทำข่าวเชิงป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ ไม่ใช่เพียงทำหลังจากเกิดความสูญเสียแล้วเท่านั้น
“สื่อมีบทบาทสูงมาก แต่คนที่บทบาทสูงกว่าสื่อคือรัฐบาล พอรัฐบาลเอาจริง สื่อเลยต้องจับประเด็นแล้วสานต่อ สื่อมีบทบาทอยู่แล้ว เพียงแต่การรายงาน การสร้างความเข้าใจเกิดขึ้น”
“ต้องเข้าใจว่าการทำข่าวของสำนักข่าวต่างประเทศจะไม่ได้ทำเฉพาะเวลาเกิดอุบัติเหตุ หรือว่าเกิดการชนเท่านั้น เพราะฉะนั้นเขาก็เห็นว่าการชนบนท้องถนนและความสูญเสียเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นหนึ่งในห้าอันดับของคนเสียชีวิตทั่วโลก ปีละประมาณหนึ่งล้านสามแสนคน ความสูญเสียเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว จะให้ความสำคัญมากกับการป้องกันเป็นอันดับหนึ่งเลย ไม่ใช่วัวหายล้อมคอก ยกตัวอย่างเช่นฟินแลนด์ เมื่อก่อนฟินแลนด์มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเยอะ เค้าก็ตั้งเป้าเป็นสิบปีแล้วว่าจะลดให้มันเหลือศูนย์ เขาก็ทำได้ มีการชนเกิดขึ้นน้อยมาก”
@ เน้นต้องย้ำประเด็นให้คนจำได้ บรรณาธิการและสถานีต้องเห็นความสำคัญ
ดร.รุ่งทิพย์ ชี้ว่า ปัญหาหลักในการรายงานข่าวการชนบนท้องถนนในประเทศไทย คือ ความสนใจอยู่ในกรอบระยะเวลาเพียงสั้น ๆ เท่านั้น
โดยทั้งบรรณาธิการและสถานีต้องทราบความสำคัญของข่าวความปลอดภัยบนท้องถนน และตัวนักข่าวเองก็ต้องมีความรู้เพื่อต่อรองให้มีการรายงานข่าวด้วย
“เราอยากให้เมื่อรายงานข่าวไปแล้วเกิดแรงกระเพื่อมแรง แต่คนจำได้บางเรื่อง เราต้องเสนอแล้วย้ำเรื่องเดิม เอาเรื่องใหม่ไปนิดนึง เราจะไปต่อเลยไม่ได้ เพราะเรื่องนี้คนจะสนใจเป็นพักๆ นี่เป็นจุดอ่อน จุดแข็งคือเวลาคนสนใจมาก ๆเราทำไม่ทันเลย ช่วยปีใหม่สงกรานต์”
“บก.ต้องเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ก่อน เพราะเป็นเรื่องสุขภาพเรื่องความสูญเสีย ถ้าไม่เกิดกับคนใกล้ตัวคุณคุณจะไม่เข้าใจ ถ้ามันใกล้เข้ามาแล้วคุณรู้ว่านี่มันใกล้ตัวเรา การขับรถเราหยั่งใจคนไม่ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถนนเองก็มีส่วนมาก ต้องเข้าใจว่าเป็นเรื่องสำคัญและสถานีก็ต้องรู้ความสำคัญด้วย”
“ตัวนักข่าวเองต้องมีข้อมูลมากพอที่จะเอาไปต่อรองกับบก. ไม่ใช่คนตายแล้วคุณจึงจะเล่น คุณเล่นได้ตลอดเวลา”
สุดท้าย ดร.รุ่งทิพย์ โชติณภาลัย กล่าวว่า นักข่าวควร “ตั้งใจ เข้าใจ ทำให้ต่อเนื่อง” เพื่อให้การรายงานข่าวสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนได้อย่างแท้จริง