อีกมุมมองของการตายจากหัวใจวายกะทันหัน
บทความเรื่องมุมมองทางฟิสิกส์นี้ เพื่อตอบคำถามว่า หัวใจวายกะทันหันเกิดได้อย่างไร? ในวงการแพทย์ยังไม่เคยมีงานวิจัยมาสนับสนุน เพราะแรงกระทำนั้น ไม่ทิ้งร่องรอยไว้ให้พิสูจน์ แต่สิ่งที่ผู้เขียนต้องการชี้ให้ตระหนักก็คือ ปัญหาสุขภาพบางอย่างที่เรายังอธิบายสาเหตุไม่ได้นั้น ความจริงยังมีปัญหาทางฟิสิกส์ทับซ้อนอยู่ การรู้ทันจะช่วยไม่ให้ตกเป็นเหยื่อรายต่อไป
การตายอย่างกะทันหันในวงการแพทย์ไม่ใช่เรื่องใหม่ เกิดขึ้นได้ตั้งแต่เด็กทารกที่อายุต่ำกว่าหนึ่งปี ที่เรียกว่า SIDS ( Sudden Infant Death Syndrome ) ซึ่งยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง แต่เชื่อว่าสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะท่านอนคว่ำมีส่วนสำคัญทำให้เกิด หรือกรณีของคนงานไทยไหลตาย ซึ่งวงการแพทย์พยายามอธิบายว่าเป็นการผิดปกติของเกลือแร่(โปแตสเซี่ยม)ในช่วงนอนกลางคืน แต่ไม่มีคำอธิบายกลไกว่า เกิดเฉพาะตอนนอนได้อย่างไร
แม้แต่ในนักฟุตบอลล์ที่ตายคาสนามก็เกิดบ่อยขึ้น หรือในคนวัยกลางคนที่แข็งแรงก็เกิดได้ เราคงจำ ย.โย่ง นักพากย์กีฬาชื่อดังของวิก7สี ตายกะทันหันขณะเล่นเทนนิส เช่นเดียวกับที่เกิดกับนายแพทย์ชื่อดัง ทั้งที่ศิริราชและจุฬาที่หัวใจหยุดเต้นขณะเล่นเทนนิสเหมือนกันแต่รอดตายมาได้เพราะเกิดเหตุในโรงพยาบาล จึงได้รับการปฐมพยาบาลช่วยชีวิตได้ทัน ต่างไปจากกรณีของท่านอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศที่เกิดการสูญเสียอย่างกะทันหัน
การเขียนถึงมุมมองในเรื่องนี้ เริ่มมาจากดูข่าวการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหารแล้วได้ยินคำถามในข่าวที่ไม่มีใครตอบ คือ หัวใจวายกะทันหันเกิดได้อย่างไร? ซึ่งเป็นคำถามในเชิงสุขภาพ แต่เข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องคดี จึงไม่ควรแสดงความคิดเห็นจนกว่าคดีจะเสร็จก่อน แต่พอมีข่าวของท่านอดีตรัฐมนตรี จึงถือเป็นโอกาสแสดงความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับ “ปัญหาสุขภาพในมุมมองฟิสิกส์” (ตามที่ผมเคยเขียนไว้เมื่อ 4, 11 และ21สิงหาคม 60) น่าจะนำมาเชื่อมโยงและพอเห็นคำอธิบายถึงปัญหาที่ซ่อนอยู่ได้บ้าง เพราะปกติในคนที่หัวใจวายกะทันหัน เรามักมองหาปัญหาไปที่หัวใจว่ามีโรคอยู่ก่อน พยายามหาคำอธิบายแล้วสักพักก็ลืม ซึ่งที่จริงแล้วในคนที่แข็งแรงมาตลอด ต้องมีเรื่องอื่นที่ไม่ปกติไปกระตุ้นให้เกิดความขัดข้องในการทำงานจนทำให้หัวใจหยุดเต้นได้
ผมจะลองหาคำอธิบายโดยเริ่มในเด็กทารก การนอนคว่ำในขณะที่กระดูกคอยังไม่แข็ง (คนที่อุ้มเด็กอ่อนเป็น จะต้องใช้มือช้อนรองต้นคอเด็กเสมอ) ถ้าปล่อยให้นอนคว่ำหน้าจมลงในเบาะ เด็กยังไม่สามารถหันคอเพื่อหายใจได้เอง เด็กจะขาดอากาศจนตายได้ การนอนนอนคว่ำจึงต้องบิดคอเพื่อมีอากาศหายใจ การที่กระดูกคอยังไม่แข็ง การบิดอาจทำให้คออยู่ในลักษณะงอพับหรือบิดมากเกินได้ ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้หัวใจวายกะทันหัน เพราะในทฤษฎีทางฟิสิกส์ที่ผมเขียน การทำงานของทุกอวัยวะ รวมถึงหัวใจด้วย ต้องมีพลังงานในลักษณะคำสั่งจากสมอง(Power signalling) ซึ่งผ่านมาทางไขสันหลังผ่านกระดูกคอ
การที่คอหักขณะนอน จะเกิดแรงรบกวนระบบคำสั่ง กระตุ้นให้หัวใจเต้นผิดปกติจนถึงหยุดเต้นได้ ในเด็กอ่อนอายุไม่ถึง6เดือนและเด็กคลอดก่อนกำหนด ที่ถูกจับนอนคว่ำแบบผิดๆประจำจึงมีแนวโน้มเกิดการตายได้มากขึ้น ปัจจุบันห้ามเด็กทารกนอนคว่ำแล้ว
ส่วนคนงานไทยที่ไหลตาย ยังขาดข้อมูลในเรื่องการนอน การอธิบายจึงใช้วิธีคาดเดาถึงความเป็นไปได้ คนงามกลุ่มนี้ทำงานหนักมาก เพื่อเร่งหาเงินมาให้พอใช้หนี้ที่กู้มา การนอนหลับในขณะที่เหนื่อยมากอาจอยู่ในท่าที่คอหักพับ เช่น นอนหงายบนหมอนขิกอีสานที่แข็งและสูงมาก ซึ่งในคนปกติที่ไม่เหนื่อยมาก พอนอนไปสักพักจะรู้ตัวและขยับเปลี่ยนท่านอนเป็นตะแคง ทำให้แรงกดทับที่รบกวนคำสั่งพลังงาน(Power signalling) ลดลงได้ แต่ถ้าไม่ขยับเลยเพราะเหนื่อยอ่อนจนหมดสภาพ ถ้านอนผิดมากและซ้ำหลายๆวันจนนานพอ อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ ในคนที่หัวใจเต้นผิดปกติ ( Arrhythmia )ที่ชอบเกิดในเวลากลางคืนตอนนอน ก็มาจากสาเหตุเดียวกันนี้
คุณ ย.โย่ง เกิดหัวใจหยุดเต้นขณะเล่นเทนนิส แต่ไม่รู้รายละเอียดของท่าทางขณะเกิดเหตุว่า เอี้ยวก้ม หรือยืนอยู่เฉยๆ แต่มีข้อมูลว่าเป็นคนที่ดูแลสุขภาพดีมากคนหนึ่ง และเพิ่งไปเช็คสุขภาพมาด้วย จึงไม่น่าเกิดจากโรคหัวใจ แต่ในกรณีของแพทย์ใหญ่ของโรงพยาบาลจุฬา สามารถบอกรายละเอียดได้เลยว่า ขณะเอี้ยวตัวไปรับลูก แล้วหมดสติไปเลย หัวใจหยุดเต้นไปนาน7นาที มารู้ตัวอีกทีที่ไอซียู แสดงว่าขณะเกิดเรื่องมีแรงกระทำจากการเอี้ยวคอ จึงพออธิบายด้วยทฤษฎีคำสั่งพลังงาน(Power signalling)ได้ว่า ในคนที่ข้อต่อกระดูกคอไม่แข็งแรงอยู่ก่อน จากการใช้ชีวิตประจำวันที่ผิด เช่น นอนหงายบนหมอนสูงจนมีคอหักงอหรือทำงาน(ผ่าตัดใช้กล้อง)ก้มนานหลายชั่วโมงติดต่อกัน เมื่อไปเล่นกีฬา มีการเอี้ยวบิดก้มแรงๆในมุมที่ตรงกับกระดูกคอซึ่งเคลื่อนได้มาก (จุดอ่อนนี้เกิดจากข้อต่อที่หลวม) อาจไปกดทับไขสันหลังและรบกวนระบบคำสั่งพลังงาน ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติจนถึงหยุดเต้นได้
ท่านอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศมีรายละเอียดเท่าที่ทราบ คือ ต้องเดินทางบ่อยเพื่อทำงานและเยี่ยมแม่ การเดินทางคงหนีไม่พ้นการนั่งเครื่องบิน ซึ่งเก้าอี้นั่งในสายการบินบางสายทำให้เกิดการนั่งหลับในท่าคอหักได้ง่าย เพราะออกแบบมาให้นั่งก้นบุ๋ม ไหล่และหลังงุ้มเพราะเบาะพิง เว้าเข้าไปลึกมาก ในขณะที่พนักพิงของส่วนหัว กลับยื่นมาด้านหน้ามากเกินและอยู่ในตำแหน่งสูงกว่าต้นคอคนไทย (สรีระคนไทยตัวเตี้ยกว่าขนาดของเก้าอี้ ) ทำให้พนักพิงกดหัวลง เหมือนคอก้มตลอดเวลาที่นั่งเครื่อง การอดนอนหรือนอนเพียง 3-4 ชั่วโมง ย่อมทำให้หลับลึกระหว่างเดินทางในท่าคอหักได้ ต้องนำมาประกอบกับสิ่งที่ยังไม่รู้ คือท่าทางในชีวิตประจำวัน ทำผิดบ่อยจนเกิดข้อกระดูกคอหลวมหรือไม่?
กรณีนักเรียนเตรียมทหารพอมีข่าวเพิ่ม เรื่องการทำโทษในท่าหัวตั้งสู้ หรือการฝึกท่าหัวปักพื้น ทำให้นึกถึงการฝึกโยคะเพื่อช่วยลดการปวด มีการทำท่าหัวปักหรือท่าใช้หัวยืน หลักการของท่านี้เป็นการเปลี่ยนทิศทางของแรงกระทำที่กระดูกสันหลัง แรงที่กลับทิศลงหัวจะทำให้ข้อต่อกระชับขึ้น แต่เป็นการฝืนธรรมชาติ เพราะกระดูกคอที่เล็กกว่ากลับต้องรับน้ำหนักทั้งตัว ในคนฝึกที่มีกระดูกคอไม่แข็งแรง(จากการใช้ชีวิตประจำวันแบบผิดๆอยู่ก่อน) ถ้าข้อต่อสู้แรงกระทำไม่ไหว จะป้องกันคำสั่งพลังงาน(Power signalling)ไม่ได้ เกิดอันตรายได้
ในการฝึกโยคะเขาจึงสังเกตว่า ใครทำไม่ได้จะไม่ฝืน และให้ไปพบแพทย์ก่อน ถ้ามาพบผม จะตรวจชันสูตรโดยส่งเอกเรย์ดูกระดูกคอก่อน คนฝึกโยคะที่อายุยังน้อยคงไม่พบกระดูกเสื่อม แต่มีสิ่งที่ต้องดูจากเอกเรย์คือ แนวกระดูกจะสูญเสียแนวแอ่นโค้งไป( Loss of Lordosis ) หรือหักเป็นมุม ( Angulation ) ส่วนตัวกระดูกเองจะมีมุมขอบด้านหน้าสึกมน ไม่เป็นเหลี่ยม ซึ่งแสดงถึงความไม่แข็งแรงของข้อต่อ จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการทำท่านี้ เพราะมีความเสี่ยงสูง
การสูญเสียที่เกิดทุกครั้งน่าจะมาจากความไม่รู้ เช่นเดียวกับการเสียชีวิตของทารกจากการนอนคว่ำ สิ่งแรกที่ไม่รู้ คือการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่ถูกมานาน เช่น การนอนคว่ำ นอนขด หรือนอนคอหัก(นอนหงายบนหมอนขิก) ทำให้กระดูกคอไม่แข็งแรงได้ เมื่อมีแรงอื่นในชีวิตประจำวันมากระทำซ้ำ อาจถึงจุดวิกฤตที่เป็นอันตรายได้ สิ่งที่ไม่รู้ต่อมา คือ การออกกำลังกายไม่ควรทำให้เกิดแรงกระทำที่กระดูกคอ เช่น ต้องเลี่ยงการหมุนเหวี่ยงหัวและคอเร็วๆแรงๆ เพราะการฝึกเพื่อสร้างความแข็งแรงให้คอนั้น มีวิธีอื่นอีกหลายอย่างโดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงกับอันตรายที่ซ่อนอยู่
บทความเรื่องมุมมองทางฟิสิกส์นี้ เพื่อตอบคำถามว่า หัวใจวายกะทันหันเกิดได้อย่างไร? ในวงการแพทย์ยังไม่เคยมีงานวิจัยมาสนับสนุน เพราะแรงกระทำนั้น ไม่ทิ้งร่องรอยไว้ให้พิสูจน์ แต่สิ่งที่ผู้เขียนต้องการชี้ให้ตระหนักก็คือ ปัญหาสุขภาพบางอย่างที่เรายังอธิบายสาเหตุไม่ได้นั้น ความจริงยังมีปัญหาทางฟิสิกส์ทับซ้อนอยู่ การรู้ทันจะช่วยไม่ให้ตกเป็นเหยื่อรายต่อไป เช่นเดียวกับอีกหลายโรคที่แพทย์แนะนำให้ออกกำลังกายแล้วช่วยให้ดีขึ้นได้ ทั้งๆที่การออกกำลังกายนั้นเป็นเรื่องทางฟิสิกส์ล้วนๆ ทำให้น่าคิดว่า พื้นฐานการเกิดโรคเหล่านี้น่าจะมาจากปัญหาทางฟิสิกส์เช่นเดียวกัน
การรักษาด้วยยาอย่างเดียวจึงดีขึ้นได้ แต่ไม่หายขาด ถ้าข่าวการสูญเสียนี้ช่วยเปลี่ยนความเข้าใจของสังคมให้เห็นความสำคัญของฟิสิกส์ที่ซ่อนและเกี่ยวพันอยู่ในปัญหาสุขภาพ โดยหันมาแก้ไขพฤติกรรมที่ผิด ออกกำลังกายในท่าที่ถูกต้องมากขึ้น ก็จะเป็นการป้องกันตัวจากการตายกะทันหันได้ และยิ่งเกิดประโยชน์สูงสุด ถ้าทำให้เกิดการปฏิรูประบบสาธารณสุขในเชิงฟิสิกส์ขึ้น เราจะได้ความรู้จากการพัฒนาข้ามศาสตร์ (Interdisciplinary ) สามารถนำมาแก้ปัญหาสาธารณสุขเรื้อรัง เพื่อช่วยให้ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าดีขึ้นได้ ไม่ต้องพึ่งพี่ตูนมาช่วยวิ่งทุกๆปี เพราะความรู้ทางการแพทย์ปัจจุบันที่มุ่งไปทางรักษา เมื่อไม่หายขาดก็มีงานวิจัยใหม่ๆ(ราคาแพง?) การรักษาก็จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยตามการค้นพบ เช่น เดิมเชื่อว่าโรคหลอดเลือดหัวใจเกิดจากคอเลสเตอรอล แต่ปัจจุบันกลับรู้แล้วว่าเกิดจากมีการอักเสบก่อน แต่ก็ยังรู้ไม่หมดว่าทำไมถึงอักเสบ? ซึ่งในทฤษฎีคำสั่งพลังงานก็มีการอธิบายกลไกการเกิดอักเสบในโรคต่างๆ และชราภาพว่าเป็นผลมาจากพลังงานใน Mitochondria ผิดปกติจนมีการสร้างสารไนตริก( NO) มากขึ้น และเป็นต้นเหตุของการอักเสบในทุกอวัยวะได้