ผลวิจัยชี้เด็ก ม.ปลาย 34% เคยไปลานเบียร์ แม้อายุไม่ถึง 20 ปี ปล่อยเข้าได้
ผลวิจัยชี้เด็ก ม.ปลาย 34% เคยไปลานเบียร์ อายุไม่ถึง 20 ปี เข้าได้ ตั้งเเถว รร.-หน้าห้างชานเมือง ด้านเครือข่ายองค์กรงดเหล้าหวั่นปีใหม่ ยิ่งมีตั้งจำหน่ายมาก เสี่ยงซ้ำเติมปัญหาเมาเเล้วขับอีกเท่าตัว ติงติดป้ายเตือนเเค่ลูบหน้าปะจมูก ภาครัฐเเก้ไม่ถูกจุด หนุนเอาจริงเข้มงวด
วันที่ 28 ธ.ค. 60 สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ร่วมกับเครือข่ายนักวิชาการเฝ้าระวังปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ จัดเวทีเสวนา “มองรอบด้านลานเบียร์กับสังคมไทย” เพื่อชี้ให้เห็นถึงปัญหาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และผลกระทบจากลานเบียร์ ณ โรงแรมมิราแกรนด์ คอนเวนชัน กรุงเทพฯ
ดร.ศรีรัช ลาภใหญ่ ลอยสมุทร อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะ เครือข่ายนักวิชาการเฝ้าระวังปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เปิดเผยถึงงานวิจัย “การศึกษาผลกระทบที่ เกิดจากปรากฏการณ์ลานเบียร์และกลยุทธ์ประเภทดื่มไม่อั้นของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ซึ่งรวบรวมตั้งแต่ปี 2558 - ปัจจุบัน พบว่า กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนมัธยมตอนปลาย 1 ใน 3 หรือร้อยละ 34 เคยไปลานเบียร์ และแม้ว่าอายุยังไม่ถึง 20 ปี ก็เข้าลานเบียร์ได้ ขณะเดียวกันกลุ่มตัวอย่างสูงถึงร้อยล่ะ 80.2 ต้องการไปลานเบียร์ใหญ่ ๆ ส่วนแรงจูงใจที่ไป คือ ต้องการสังสรรค์ อยากสนุกสนานบันเทิง อยากตามกระแสสังคมปีใหม่ต้องเค้าท์ดาวน์
นักวิชาการ ม.รังสิต ระบุถึงสิ่งที่น่าห่วง คือ ร้อยละ 23.4 พบเห็นลานเบียร์แถวโรงเรียน และยังพบเห็นได้ตามหน้าห้างชานเมืองร้อยละ 31.2 เทศกาลอาหารร้อยละ 25 ตามcommunity mall ตามถนนคนเดิน และตลาดนัด สำหรับผลกระทบจากการไปลานเบียร์ร้อยละ 45.5 เมา ร้อยละ 44.9 เสียเงินมากกว่าที่คิด ร้อยละ 3.4 ทะเลาะวิวาท ร้อยละ 1.7 อุบัติเหตุ ร้อยละ 4.5 ถูกพ่อแม่ต่อว่า
ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบการไปลานเบียร์ระหว่างนักเรียนมัธยมและนักศึกษามหาวิทยาลัย สิ่งที่เหมือนกัน คือ ดื่มมากกว่าปกติเวลาไปลานเบียร์ และมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ทั้งยัง เสี่ยงต่อการเมาแล้วขับ ซึ่งเกิดอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะในกลุ่มของเยาวชน
“น่าตกใจว่าเด็กมัธยมก็เข้าถึงลานเบียร์กันแล้ว เนื่องจากช่องทางการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ง่ายดาย ประกอบกับความบันเทิง ทำให้เกิดการดื่มที่มากขึ้น และลานเบียร์หลาย ๆ แห่ง เจ้าหน้าที่ให้เข้าใช้บริการโดยไม่ต้องตรวจบัตรประชาชน หรือจะตรวจก็ทำพอเป็นพิธี ลานเบียร์หลายแห่งเปิดรวม กับลานอาหาร ตลาดนัด ถนนคนเดิน ฯลฯ เด็กเสี่ยงมากในการเข้าถึง เนื่องจากมีอยู่เกือบทุกที่ในสังคม สำหรับเด็กมหาวิทยาลัยและมัธยมปลายการไปลานเบียร์คงเป็นเรื่องปกติไปแล้ว อายุไม่ถึงก็เข้าได้ ทำตามกระแสสังคมที่เกิดจากผู้ใหญ่ส่งค่านิยมต่าง ๆ ให้เด็ก” ดร.ศรีรัช กล่าว
ด้าน เภสัชกรสงกรานต์ ภาคโชคดี ผอ.สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า กล่าวว่า ปกติร้านเหล้าผับบาร์ผลิตคนเมาเยอะอยู่แล้ว แต่ปีใหม่นี้ยิ่งมีลานเบียร์เพิ่มเข้ามาอีกมาก จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาเมาแล้วขับขึ้นอีกเท่าตัว ซึ่งธุรกิจน้ำเมาพยายามทุ่มเทอีเว้นท์นี้โหมทำการตลาดอย่างเต็มที่ เด็กและเยาวชนเข้าสู่วงจรเร็วขึ้น แม้มีการติดป้ายเตือน แต่เอาเข้าจริงก็ทำแบบรูปหน้า ปะจมูก ทำเพียงพิธีกรรม ที่แย่ไปกว่านั้นเมื่อมีความผิดเกิดขึ้นธุรกิจน้ำเมาก็ทำเหมือนไม่มีตัวตน ไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น และมักจะโยนความผิดให้ผู้บริโภค ขณะเดียวกันภาครัฐทำงาน เตะกับเรื่องนี้น้อยมาก แก้ปัญหา ไม่ถูกจุด วนเวียนกันอยู่แบบนี้
“ถึงที่สุดแล้ว ลานเบียร์ก็ยังหมิ่นเหม่ว่าเข้าข่ายความผิดหรือไม่ เพราะกฎหมายเขียนไว้ ชัดเจนห้ามส่งเสริมการขาย ห้ามสื่อสารการตลาด ยิ่งปีใหม่นี้คนดื่มกินมากขึ้น อุบัติเหตุเพิ่มเท่าตัว กฎกติกาหลายอย่างดูคลายลง ขณะเดียวกันธุรกิจมองเป็นโอกาส สร้างคนกินคนดื่มโดยไม่มีการ รับผิดชอบ อยากฝากว่า ขายน้ำเมาให้อยู่ในร่องในรอยตามกฎกติกา อย่าผลักภาระโยนความผิดให้ผู้ดื่ม ที่สำคัญขอให้หยุดความพยายามขอแก้กฎหมายเพียงเพื่อให้ขายได้อย่างเสรีมากขึ้น "
ผอ.สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า กล่าวต่อว่า หากยังมองว่าการค้าน้ำเมาเป็นเรื่องเสรี คงบอกได้ว่าผู้นั้นไม่มีการแยกแยะว่าสินค้าแบบไหนควรมีการค้าแบบเสรี สินค้าแบบไหนที่สร้างปัญหา ฆ่าชีวิตคนไทยปีละกว่า 50,000 คน ซึ่งฆ่าคนมากกว่าปืน มากกว่ายาเสพติดหรือสินค้าผิดกฎหมายอื่น ๆ ทุกชนิดรวมกันเสียอีก แล้วยังจะปล่อยให้ค้าเสรีอีกหรือ ลานเบียร์เป็นเหมือนจุดผลิตคนเมา อุบัติเหตุชี้ชัดว่าคนตายมากที่สุดเกิดจากอุบัติทางรถ และส่วนใหญ่ก็เป็นเยาวชนเมาแล้วขับ อีกทั้งคนเมายังทำผิดได้หลายเรื่องไม่ใช้แค่ขับรถชนคน ข่าวอาชญากรรมส่วนใหญ่ก็เกิดจากคนเมา ปีๆหนึ่งคนไทยจ่ายค่าเหล้าถึง 3 แสนล้านบาท จนคนขายรวยติดอันดับโลก แต่ผลเสียเกิดกับสังคมกลายเป็นว่ารัฐบาลต้องมารับผิดชอบต่อความเสียหายต่างๆ
จึงคิดว่าในส่วนรัฐเองก็ ไม่ควรผ่อนปรนแม้ปีใหม่จะเป็นโอกาสพิเศษ เพราะจะได้ไม่คุ้มเสีย บรรดาเจ้าหน้าเองต้องไม่ละเว้น การปฏิบัติหน้าที่ด้วย อย่างไรก็ตามหากเชื่อมโยงกรณีเมาแล้วขับที่ตรวจพบปริมาณแอลกอฮอล์เกิน 50มิลลิกรัมเปอร์เซ็น เจ้าหน้าที่ก็ควรตามไปให้ถึงร้านเหล้าหรือลานเบียร์ที่ขายให้ด้วย เพราะเข้าข่ายขายให้คนเมาครองสติไม่ได้ โดยไม่ต้องตีความใดๆเลย ซึ่งบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 หรือทั้งจำทั้งปรับ หากทำเรื่องนี้ได้จริงเชื่อว่าปัญหาคนเมาแล้วขับมาจากร้านเหล้าลาน เบียร์จะลดลง คนขายเหล้าเบียร์จะระมัดระวังและทำตามกฎหมายมากขึ้น
ขณะที่ นายแพทย์นิพนธ์ ชินานนท์เวช ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ตามองค์ประกอบแล้วลานเบียร์ไม่ควรมีเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่ต่างจากการส่งเสริมการขาย ทำการตลาด หรืออีเว้นท์มาร์เก็ตติ้ง อีกทั้งยังอาจยังเข้าข่ายความผิดโดยสภาพ ตามพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ซึ่ง ต้องตรวจสอบดูทั้ง การจัดตั้งจุดจำหน่าย สถานที่ ขายให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า20ปี ขายให้คนเมาครองสติไม่ได้ มีการจัดโชว์ตราสัญลักษณ์ และจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายหรือไม่ ซึ่งจากการลงพื้นที่ พบว่า ละเมิดกฎหมายมาตรา 32 มากที่สุด ฐานความผิดโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 5 แสนบาท ปรับรายวัน 5 หมื่นบาท จนกว่าจะปฏิบัติถูกต้อง
นอกจากนี้ยังมีการปลอมแปลงสินค้าในรูปแบบของของแบรนด์ สังเกตจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางยี่ห้อออกน้ำแร่ แต่ใช้แบรนด์ที่เหมือนกันหรือคล้ายกันนำไปจดทะเบียน ซึ่งเป็นเหมือนการโฆษณาในทางอ้อมให้นึกถึงสินค้าชินอื่น ๆใ นแบรนด์ แต่ก็ยังคงเอาผิดไม่ได้เนื่องจากสินค้าชนิดนั้นไม่ใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเป็นช่องว่างของกฎหมาย
“เอาเข้าจริงลานเบียร์ไม่ได้ตรวจเข้มงวดขนาดนั้น ทำให้กลายเป็นปัญหาอุบัติเหตุ เมาแล้ว ขับ เสียชีวิตบาดเจ็บพิการ และสำหรับมาตรการที่ทางสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ บังคับใช้ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่นี้คือ อาศัยความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สำนักงานโรคไม่ติดต่อ และภาคีเครือข่ายฯ ร่วมตรวจสอบเฝ้าระวังแจ้งเบาะแส เน้นย้ำ ห้ามขายนอก เวลา ห้ามขายให้เด็ก คนเมา กำหนดควบคุมสถานที่ขาย ที่สำคัญห้ามการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นการขาย และอยากฝากไปยังภาคธุรกิจให้เคารพกฎหมายด้วย” นายแพทย์นิพนธ์ กล่าว .