ฮิปปี้ตาย-เพลงยังอยู่!พลิกแง่มุมศิลปะกับการต่อสู้ทางการเมืองในบรรทัดประวัติศาสตร์
“…ความเป็นขบถเกิดขึ้นได้ตลอด การต่อสู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ ไม่ว่าจะผ่านบทเพลง หรือวรรณกรรม แต่ต้องเข้าใจว่า บริบททางการเมือง หรือเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง จะเป็นผู้ขับเคลื่อนผลงานทางศิลปะ…”
(จากซ้าย : ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์, สิเหร่-จิรภัทร อังศุมาลี, ประกิต กอบกิจวัฒนา)
“…Come writers and critics, Who prophesize with your pen and keep your eyes wide. The chance won't come again...”
ทำนองกีตาร์โปร่งเศร้าสร้อย ลอยมาพร้อมกังวานเสียงหม่นลึกของกวี-นักดนตรีแห่งยุคบุปผาชนเบ่งบานนาม ‘Boy Dylan’ ในเพลง The times they are A-changin'
สารภาพตามตรงว่า รู้จักเพลงในยุค 60-70’s แค่ไม่กี่เพลง และมิใช่แฟนเดนตายของ ‘ลุงบ็อบ’ เคยได้ยินเพลงของแกแค่ผ่านการรันของเว็บเล่นเพลงชื่อดังเพียงเท่านั้น แทบไม่เคยค้นคว้าถึงความหมายในแต่ละเพลงเลย
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือหนึ่งในเพลงที่ ‘สื่อ’ ควรเปิดฟัง เวลาเกิดคำถามยิงตรงไปยังการปฏิบัติหน้าที่ของ ‘ฐานันดรที่สี่’ ในห้วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา
ในฐานะสื่อมวลชนวัยละอ่อนประสบการณ์ เนื้อเพลงท่อนนี้คือท่อนที่ผมชอบที่สุด หากแปลเป็นไทยตามความรู้งู ๆ ปลา ๆ ของผมคงไม่สวยงามนัก เลยส่งเนื้อเพลงให้มิตรสหายท่านหนึ่งที่เจนจัดภาษาอังกฤษช่วยแปลให้ ได้ความทำนองว่า “…มาเถิดนักคิดนักเขียนทั้งหลาย ผู้มองเห็นอนาคตด้วยปลายปากกาของท่าน ช่วยเบิกตาให้กว้าง ก่อนโอกาสนี้จะหลุดลอย”
เนื้อท่อนนี้มันบาดจี๊ดเข้าไปในหัวใจทั้ง 4 ห้องเหลือเกิน
เป็นอีกหนึ่งบทเพลงในหลายร้อยเพลงที่เราอาจเรียกได้ว่า ‘เปลี่ยนโลก’ ในขวบปีที่หนุ่มสาวแห่งยุคสมัยตั้งคำถามถึงการมีชีวิต และการต่อต้านสงครามไร้สาระ (ในมุมมองของพวกเขา) ช่วงปี 1960-1970 หรือยุคที่วัฒนธรรม ‘ฮิปปี้’ ครองเมือง
หลายคนอาจรู้จัก ‘ฮิปปี้’ ผ่านภาพการปลุกปั่นปั้นแต่งของสื่อหลายรูปแบบ การแต่งตัวที่แตกต่าง ไว้ผมยาวถึงก้น เนื้อตัวเสื้อผ้าสกปรกรุงรัง เสรีเซ็กส์ เสพยา ต่อต้านสงคราม ใฝ่หาอิสรภาพ-สันติภาพ เป็นต้น
เอาเข้าจริงผมก็ไม่รู้จักคำว่า ‘ฮิปปี้’ มากนัก นอกจากเคยอ่านในหนังสือของ ‘พญาอินทรี’ อาว์‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ที่นิยามจิตวิญญาณของฮิปปี้ว่า ‘Turn on, Tune in, Drop out’ ที่จนทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจ (ฮา)
ตกลงจิตวิญญาณที่แท้จริงของ ‘ฮิปปี้’ คืออะไร การขับเคลื่อนต่อสู้ทางการเมืองไทยผ่านงานศิลปะ และบทเพลงเป็นอย่างไร ?
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2561 ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปงานเปิดตัวหนังสือ ‘ผีเพลง’ เขียนโดย ‘พี่โอ๋’ จิรภัทร อังศุมาลี หรือที่หลายคนรู้จักกันในนาม ‘สิเหร่’ นักเขียนชั้นครู ผู้มีเสียงดนตรีไว้เต้นแทนหัวใจ โดยครั้งนี้เป็นการพิมพ์ครั้งที่ 5 ด้วยกัน ห่างจากเล่มแรกที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2524 หรือ 47 ปีที่แล้ว ที่ร้านแผ่นเสียง record shop ซ.ปฏิพัทธิ์ 19
เนื้อหาที่พูดคุยในงานเปิดตัวหนังสือวันนั้น นอกเหนือจากบทเพลงเปลี่ยนโลกหลายเพลงที่ ‘พี่โอ๋-สิเหร่’ นำมาเรียงร้อยเป็นถ้อยคำบาดหัวใจในหนังสือแล้ว ยังมีการตั้งคำถามถึง ‘ฮิปปี้ ตายแล้วไปไหน’ โดยมีวิทยากรมากชื่อเสียงในแวดวงศิลปะ เช่น ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ กูรูด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ และคอลัมนิสต์ชื่อดัง และประกิต กอบกิจวัฒนา ศิลปิน เจ้าของแฟนเพจ ‘อยู่เมืองดัดจริตชีวิตต้องป๊อป’ และมีผลงานศิลปะสะท้อนสังคม-การเมืองจำนวนไม่น้อย เป็นผู้ร่วมเสวนาด้วย
นิยามของ ‘ฮิปปี้’ ที่แท้จริงคืออะไร ?
“ตอบยาก”
“ฮิปปี้ ไม่ใช่สิ่งง่าย ๆ ที่จะเป็นได้”
‘สิเหร่’ ให้คำตอบ หลังทุ่มเทค้นหาความหมายของมันมาค่อนชีวิต
ก่อนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงบอกว่า “Ken Kesey (1935-2001 นักเขียนอเมริกันผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในยุค 60-70s หรือเรียกว่า ‘Beat Generation’) คือฮิปปี้ตัวจริง”
‘สิเหร่’ อธิบายว่า เอาเข้าจริงความหมายของฮิปปี้มันไม่ชัด มันอาจเป็นการขบถต่อสังคมรูปแบบหนึ่ง สังคมที่กำหนดชีวิตผู้คนเอาไว้อยู่แล้ว และเด็กที่เกิดมาใหม่ต้องเดินตามสังคมที่ถูกกำหนดอย่างนั้น หากนอกลู่ทางจะถูกตัดสินว่าผิด ทำให้เกิดอาการเบื่อ และตั้งคำถามว่าที่ทำมันผิดตรงไหน
“การใช้ชีวิตล่องลอยไปเรื่อย เสพยา ขบถต่อกฏเกณฑ์สังคม อาจตอบโจทย์กับคำว่าฮิปปี้แท้ในสังคมอเมริกัน”
ส่วน ‘ประกิต’ อธิบายได้น่าสนใจว่า พูดถึงฮิปปี้ต้องดูยุคสมัย เพราะโครงสร้างสังคม การเมือง เศรษฐกิจ ขณะนั้น มันดีไซน์ระบบสังคมไว้แล้วว่า หากมีเด็กเกิดใหม่ จะถูกป้อนเข้าไปในระบบเหล่านี้ ทีนี้พอมีคนฉลาดขึ้น เลยเกิดการ Against (ต่อต้าน) ระบบ มีการใช้ยา ทำตัวผิดระเบียบสังคม เป็นต้น
เขาเชื่อว่า ฮิปปี้ เกิดขึ้นจากปัญญาชน โดยชนชั้นกลางที่มีการศึกษา เนื่องจากเป็นกลุ่มคนที่มีปัญญาในยุคนั้น และมีโอกาสในการเรียนรู้ชีวิตมากที่สุด และต้องการแสวงหาความหมายในการชีวิตที่นอกเหนือจากความจำเจในระบบของอเมริกันชน
การขับเคลื่อนบทเพลงของต่างประเทศ เทียบเคียงกับบทเพื่อชีวิตในไทยได้ไหม ตกลงเพลงเพื่อชีวิตมีจริงหรือเปล่า ?
“บทเพลงสะท้อนสังคมการเมือง มีมาเก่าแก่แล้ว ถ้าเป็นในไทยก็เช่น เพลงฉ่อย หมอลำ เป็นต้น แต่ตอนนั้นพูดถึงเรื่องชาวบ้าน หรือ Dirty Joke มากกว่า”
‘สิเหร่’ ยืนยัน ก่อนเล่าว่า แต่สังคมไทยที่ถูกปกครองช่วงเผด็จการตั้งแต่สมัย ‘จอมพลผ้าขะม้าแดง’ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำให้จิตวิญญาณเหล่านี้สูญหายไปโดยปริยาย โดยขณะนั้นบทเพลงแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เพลงลูกกรุงที่แน่นอน รับใช้ชนชั้นกลาง และเพลงลูกทุ่ง ที่เป็นปากเป็นเสียงให้ชาวบ้าน และแตะเรื่องการเมืองอยู่บ้าง
(เพลง ‘พ่อพี่ไม่ได้เป็นนายกฯ’ ขับร้องโดย แดง แดนทอง สมัยจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี จนถูก ‘แบน’ วาบเข้ามาในหัวชั่วขณะ)
‘สิเหร่’ เล่าอีกว่า หลังจากนั้นก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 กำเนิดวงคาราวาน อาจเรียกได้ว่าเป็นวงเพื่อชีวิตแรก ๆ ของไทย ที่เริ่มทำเพลงแบบนี้ มีการเรียกร้องประชาธิปไตย ก่อนจะเงียบหายไป
คำถามสำคัญคือ แล้วหลังจากนั้นเพลงเพื่อชีวิตหล่นหายไปไหนจากบรรทัดประวัติศาสตร์ ?
‘ประกิต’ อธิบายว่า บทเพลงเพื่อชีวิตเหล่านี้หายไปตามยุคสมัย และสถานการณ์ทางการเมือง เช่น บทเพลงเปลี่ยนโลกในอเมริกา เมื่อสงครามเวียดนามยุติแล้ว อเมริกาถอนตัว มันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับยุคสมัยอีก ดังนั้น หากมีการนำมาร้องใหม่ มันก็ไม่ยึดโยงกับสังคม แต่ผลงานเหล่านี้ที่ขณะนั้นโด่งดัง เพราะมันยึดโยงสังคม รวมถึงเพลงเพื่อชีวิตด้วย แต่มันไม่ได้ทำให้เกิดภาวะ Mass ในยุคนี้ เพราะคนรุ่นนี้ไม่มีใครอินอีกแล้ว
“ผมยกตัวอย่าง ยุคโน้นมีสงครามเวียดนาม มีการขับร้องเพลงต่อต้านสงคราม ฮิปปี้ออกมาเดินขบวนเคลื่อนไหว ส่วนในไทยก็มีเพลงต่อต้านสงครามเวียดนามเหมือนกัน เพราะมันใกล้ชิด ฐานทัพอเมริกามาตั้งในไทยเพื่อไปทิ้งระเบิดในเวียดนามเยอะ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มันเกี่ยวกับกับสภาพสังคมไทยตอนนั้น แต่มาช่วงยุคปี 2000 มีสงครามในตะวันออกกลาง ไม่มีใครแต่งเพลงเกี่ยวกับสงครามตะวันออกกลางเลย เพราะไม่รู้จะพูดถึงยังไง มันไม่ผูกพันหรือยึดโยงกับสังคมไทย”
“John Lennon (1940-1980 นักดนตรีผู้ทรงอิทธิพลระดับโลก อดีตนักร้อง-นักแต่งเพลงวง The Beatles) แต่งเพลง Imagine แค่ประมาณ 15 บรรทัด ทำไมถึงดังระดับโลก มีคนเอาไปขับร้องอีกเป็นล้านครั้ง เพราะมันเชื่อมโยงกับยุคสมัย”
ทำไมบทเพลงเกี่ยวกับการต่อสู้ทางการเมืองถึงยังมีบทบาทในสังคม ?
‘สิเหร่’ ยืนยันว่า บทเพลงดีที่สุด และเข้าถึงคนมากที่สุด ในการแสดงออกถึงความต้องการทางสังคมและการเมือง
ส่วน ‘ภาณุ’ เปรียบเทียบว่า เพลงเพื่อชีวิตในยุคปัจจุบันคือวงการ Rap หรือเรียกว่า Rap is เพื่อชีวิต
“วัฒนธรรมฮิปฮอปในปัจจุบัน มีการทำเพลงประท้วงสังคมมากกว่าเพลงเพื่อชีวิตเสียอีก เช่น Liberate P หรือรายการแข่ง Rap ต่าง ๆ ที่พบว่ามีการ Rap สะท้อนสังคมการเมืองไทยได้อย่างมีคุณค่า เช่น เรื่องเสือดำ หรือนาฬิกา เป็นต้น
(ผมแนะนำให้ฟังเพลงของ Liberate P เช่น Oc(t)ygen และ สิ่งที่ประเทศกูไม่มี feat.Professor Jay)
‘ประกิต’ ย้ำว่า ความเป็นขบถเกิดขึ้นได้ตลอด การต่อสู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ ไม่ว่าจะผ่านบทเพลง หรือวรรณกรรม แต่ต้องเข้าใจว่า บริบททางการเมือง หรือเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง จะเป็นผู้ขับเคลื่อนผลงานทางศิลปะ
นั่นคือคำตอบจากบรรดาศิลปินเกี่ยวกับ ‘ฮิปปี้’ ในการขับเคลื่อนยุคสมัยผ่านบทเพลง และงานศิลปะ
หากโฟกัสเฉพาะการเมืองไทย ที่อาจพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า การแสดงงานศิลปะยังคงไม่เสรี หากใคร ‘เห็นต่าง’ จากรัฐ มักถูก ‘เซ็นเซอร์’ โดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ วรรณกรรม บทเพลง หรือแม้แต่การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เช่น ยืน นั่ง ชูสามนิ้ว อ่านหนังสือ กินแซนด์วิช เป็นต้น
แต่เราจะปล่อยให้ผู้มีอำนาจ ‘หยุด’ เข็มนาฬิกาของยุคสมัยเราไว้เพียงแค่นี้ แล้วก้มหน้ารับชะตากรรม ถูกป้อนเข้าระบบเดิม ๆ หรือลุกขึ้นทำอะไรบางอย่างเพื่อต่อสู้กับโครงสร้างเหล่านี้
“The answer is blowin' in the wind …”
เสียงเพลงของ ‘ลุงบ็อบ’ กังวานอีกครั้ง ...