สวมบทหมาเฝ้าบ้านยังไม่พอ หนุน 'สื่อ' เป็น ‘ตะเกียง’ ชี้นำอธิบายความซับซ้อนสังคม
ปธ.สภาการ นสพ. ห่วง นักข่าวยุคใหม่สื่อสารผ่านโซเชียล มีเดีย ข้ามขั้นตอนกลั่นกรอง หวั่นละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ขณะที่คนสื่อเห็นพ้อง แม้สื่อมีการเปลี่ยนแปลงแต่จริยธรรมยังต้องคงอยู่
เมื่อเร็วๆนี้ กลุ่มมีเดีย อินไซด์ เอ้าท์ (Media Inside Out : MIO) จัดงานเสวนาในหัวข้อ "รู้ทันสื่อยุคออนไลน์ แค่หมาเฝ้าบ้านไม่พอ?"ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล โดยมี ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล สื่อมวลชนอาวุโส นายจักร์กฤษ เพิ่มพูน ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ นางสาวจีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ประชาไท นางสาววันรัก สุวรรณวัฒนา อาจารย์ประจำคณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้จัดรายการ Divas Café วอยซ์ทีวี และนายนิรันดร์ เยาวภาว์ นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และเว็บมาสเตอร์ ASTVManager.com ร่วมเสวนา
ดร.สมเกียรติ กล่าวถึงการที่สื่อกระแสหลัก เปิดเว็บไซต์ ถือเป็นการช่วยให้มีพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็นของผู้อ่าน โดยมองว่าเป็นทางรอดทางหนึ่งของหนังสือพิมพ์ ขณะที่ปัจจุบันสื่อกระแสหลักไม่มีพื้นที่แสดงความคิดเห็น อีกทั้งในบางครั้งก็ไม่มีเนื้อหาที่ผู้บริโภคข่าวสารต้องการจะติดตาม สื่อออนไลน์จึงเข้ามาเสริมในสิ่งที่สื่อกระแสหลักไม่มี
"แม้สื่อจะมีการเปลี่ยนแปลงไป แต่จรรยาบรรณของสื่อมวลชนนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป เพราะเป็นกรอบมาตรฐานสากล ที่มีวิวัฒนาการจากปัญหาเป็นระยะๆ ซึ่งไม่ว่าจะไปอ่านหนังสือเล่มไหน หรือจะเรียนจะสถาบันใด แม้มีรายละเอียดต่างกันแต่ก็มีลักษณะที่เหมือนกัน คือยึดหลักความจริง ตรวจสอบความจริง ตรวจสอบผู้มีอำนาจในสังคม"
สำหรับการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อออนไลน์ ในช่วงที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลงจนบางครั้งถูกตำหนิและถูกตอบโต้นั้น ดร.สมเกียรติ กล่าวแสดงความเป็นห่วงคนรุ่นหลังว่า จะสามารถเขียนแสดงความคิดเห็นได้อย่างไร
ด้าน นายจักร์กฤษ กล่าวถึงบทบาทหมาเฝ้าบ้าน (Watch dog) ของสื่อว่า ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามวิวัฒนาการของสื่อ ซึ่งสื่อนอกจากจะเป็นหมาเฝ้าบ้านแล้ว อาจต้องเป็น 'ตะเกียง' ที่คอยชี้นำและอธิบายความซับซ้อนของสังคมที่มีมากขึ้นให้ประชาชนได้เข้าใจด้วย
"ปัจจุบันจะเห็นว่าสื่อหลายคนใช้โซเชียล มีเดีย ในการสื่อข่าวสารมากขึ้น จนกลายเป็นกระแสหลัก โดยประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย และรวดเร็ว ซึ่งการสื่อสารลักษณะเช่นนี้ เป็นการข้ามขั้นตอนที่เคยปฏิบัติมาในอดีต ที่ผ่านกระบวนการกลั่นกรองหลายขั้น ตอนก่อน ถึงจะสามารถเผยแพร่สู่สังคมได้ และบ่อยครั้งการที่นักข่าวรุ่นใหม่ๆ ที่ไม่เคยผ่านประวัติศาสตร์การต่อสู้การละเมิดสิทธิและเสรีภาพ โพสต์เฟสบุ๊ค หรือทวิตข้อความ จะมีลักษณะเป็นการไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของคนอื่นค่อนข้างมาก" นายจักร์กฤษ กล่าว และว่า จึงเริ่มไม่แน่ใจว่า สื่อที่เรียกว่า "กระแสหลัก" นั้นกระแสหลักจริงหรือไม่ เพราะเมื่อดูแล้วจะเห็นว่า เนื้อหาข่าวในสื่อกระแสหลักที่เป็นสิ่งพิมพ์ จะมาจากสื่อใหม่เกือบทั้งสิ้น
ขณะที่ นางสาวจีรนุช กล่าวถึงการทำหน้าที่หมาเฝ้าบ้าน ของสื่อในช่วงหลาย 10 ปี เป็นไปในลักษณะของการสร้างศัตรู มีแนวโน้มไปสู่การเป็นหัวอนุรักษ์นิยมมากกว่าจะเป็นการเปิดกว้าง ขณะที่การตรวจสอบกันเองของสื่อ เรามักจะได้ยินคำว่า 'แมลงวันไม่ตอมแมลงวัน' ที่มีความขัดแย้งอย่างมีนัยสำคัญ นั่นก็เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งว่า สื่อจะไม่ตรวจสอบสื่อกันเอง ฉะนั้นประชาชนเองจึงต้องรู้เท่าทันสื่อในยุคปัจจุบันด้วย
ผอ.เว็บไซต์ข่าวออนไลน์ประชาไท กล่าวด้วยว่า ส่วนตัวไม่เคยเชื่อว่าสื่อเก่าหรือสื่อใหม่ใครจะแพ้ ใครจะชนะ เพราะทั้ง 2 สื่อต้องทำงานและอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน ฉะนั้นมองว่า ไม่ใช่เรื่องของการเป็นคู่แข่งหรือศัตรูกันของสื่อเก่าและ สื่อใหม่ แม้อาจมีทะเลาะกันบ้าง ถกเถียง และแลกเปลี่ยนกันบ้าง แต่ก็อยู่ในฐานะกัลยาณมิตร ที่ไม่มีใครมีอำนาจมากกว่าใคร
"ทุกวันนี้ไม่มีสื่อใดสื่อเดียวที่มีอำนาจในการที่จะกำหนดความถูกต้อง เพียงหนึ่งเดียวได้โดยสมบูรณ์ อำนาจการครอบงำสังคมไม่มีอีกแล้ว เพราะในยุคปัจจุบันมีคนจำนวนมากที่ไม่ใช่สื่ออาชีพ แต่มีองค์ความรู้ แล้วอยากแลกเปลี่ยน สนทนา จึงทำให้มีการตีโต้และตอบกลับวาระที่ถูกกำหนด ฉะนั้นการกำหนดวาระเพียงหนึ่งเดียวนั้นหายไปแล้ว"
ด้านนางสาววันรัก กล่าวถึงการทำข่าวของสื่อ ในเชิงสืบสวนสอบสวน และการวิเคราะห์ หรือการชี้ให้เห็นข้อมูลในสังคมไทยนั้นมีน้อยมาก ยังเป็นการนำเสนอเพียงด้านเดียว ฉะนั้น การวางตำแหน่งของสื่อในยุคของระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ ที่นับถือเรื่องสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียม และยอมรับฟังเสียงคนเล็กคนน้อย จึงเป็นที่ท้าทาย รวมทั้งสื่อเองต้องตั้งคำถามด้วยว่า มีความรู้มากน้อยเพียงใด ในขณะที่บอกผู้อื่นว่าไม่เข้าใจคำว่า ประชาธิปไตย
ขณะที่ นายนิรันดร์ กล่าวถึงภารกิจหมาเฝ้าบ้านของสื่อ เราต้องเน้นความเที่ยงธรรมและการรายงานตามข้อเท็จจริง รวมถึงภารกิจในการเป็นหมาเฝ้าบ้านนั้นก็ยังต้องทำอยู่ภายใต้หลักจริยธรรม เพียงแต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือ ความเจริญของเทคโนโลยีที่มีช่องว่างทำให้การสื่อสารหรือพูดคุยกับประชาชนมี หลายช่องทาง และมีผู้ที่มาทำหน้าที่สื่อมากขึ้น เพราะนอกจากองค์กรสื่อแล้ว ก็ยังมีประชาชนด้วย ฉะนั้นสื่อเองก็ต้องมีการปรับตัว
กลุ่ม มีเดีย อินไซด์ เอ้าท์ (Media Inside Out : MIO) ก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มคนทำงานในวิชาชีพสื่อ นักข่าว นักเขียน นักแปล และนักวิชาการด้านสื่อ ที่ตระหนักถึงความสำคัญของสื่อและสังคมที่เท่าทันสื่อ และดูการทำงานของสื่อว่ามีการทำงานกันอย่างไร ทำอะไร และมีทิศทางไปทางไหน ในยุคสมัยที่สื่อเปลี่ยนแปลง และคนในสังคมเปลี่ยนไปอย่างมาก จึงต้องศึกษาว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงควบคู่กันไปได้อย่างไร โดยผู้สนใจสามารถติดตามได้ที่ www.mediainsideout.net