เปิดตัวเจ้าของ หจก.ปริศนา!รับงาน ส.ปลัดนายกฯ 138 ล้าน?
เปิดตัว ประจวบ ทองเย็น เจ้าของ หจก.ป้ายแดงทุนเพียง 2 แสน รับงานสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทย 138 ล. พบเมียทำธุรกิจทัวร์ในจ.อุดรฯ
ปริศนากรณีการรับงานโครงการประชาสัมพันธ์และรณรงค์เสริมสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทย ระยะที่ 2 วงเงิน 138.7 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ของห้างหุ้นส่วนจำกัด มีทัวร์ ซึ่งเพิ่งจดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2555 (คิดเป็นระยะเวลา 3 เดือนเศษ จากวันที่สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำสัญญาว่าจ้างวันที่ 23 พฤษภาคม 2555 ) มีทุนจดทะเบียน 2 แสนบาท และเช่าคอนโดเป็นที่ออฟฟิศ?
เบื้องต้น นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ยังไม่ให้ความกระจ่างโดยขอเวลา 1 สัปดาห์ในการตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น!!
คำถามที่น่าสนใจขณะนี้ คือ นายประจวบ ทองเย็น หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.มีทัวร์ เป็นใครและได้รับงานดังกล่าวได้อย่างไร?
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า จากการตรวจสอบข้อมูลเอกสารที่นายประจวบ ทองเย็น แจ้งว่ากับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในขั้นตอนการจดทะเบียนตั้ง หจก.มีทัวร์ ระบุว่า นายประจวบ อายุ 44 ปี สัญชาติไทย ประกอบอาชีพรับจ้าง อยู่บ้านเลขที่ 287/1 ถนนโพศรี ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นที่อยู่ตามบัตรประจำตัวประชาชน ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลที่อยู่ดังกล่าว พบว่า เป็นที่ตั้ง บริษัท อุดร อัลทิเน็ท จำกัด
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจ การค้าระบุว่า บริษัท อุดร อัลทิเน็ท จำกัด จดทะเบียน เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2539 ทุน 1 ล้าน บาท ที่ตั้งเลขที่ 287/1 ถนนโพศรี ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี จำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสาร ปรากฏชื่อ นายทรงศักดิ์ ต.ศรีวงษ์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ มีผู้ถือหุ้น 7 ราย ประกอบไปด้วย นาย ทรงศักดิ์ ต.ศรีวงษ์ 40% นายอภิวัฒน์ วชิระโวทาน 15% นางสาวฉัตรฤดี ต.ศรีวงษ์ 10 % นายพรชัย ต.ศรีวงษ์ 10 % นางละเอียด ต.ศรีวงษ์ 10% นายอนุพันธ์ นุชพันธ์ 10% นางสุกัญญา จันทร์ประทีป 5 %
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้โทรศัพท์ติดต่อไปยัง บริษัท อุดร อัลทิเน็ท จำกัด เพื่อตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับนายประจวบ แต่ได้รับแจ้งว่า นายประจวบไม่ได้อยู่ที่นี้ แต่อยู่ที่ หจก. อัลทิเน็ท ทัวร์ หรือชื่อเต็มว่า หจก. อัลทิเน็ท เทรด แอนด์ ทราเวล พร้อมให้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อไว้ เบื้องต้น ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ไปตามหมายเลขดังกล่าว ได้รับการยืนยันจากพนักงานบริษัทรายหนึ่ง ว่า หจก.แห่งนี้ เป็นของนายประจวบ แต่ขณะนี้ไม่อยู่ที่ออฟฟิศ ไปๆมาๆ ระหว่างกรุงเทพฯ กับอุดรราชธานี
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจ ระบุว่า หจก. อัลทิเน็ท เทรด แอนด์ ทราเวล จดทะเบียน 7 มกราคม 2542 ทุน1 ล้าน บาทตั้งอยู่ที่ 540/22 ถนนโพศรี ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ประกอบธุรกิจ ตัวแทนจำหน่ายตั๋วเครื่องบินและจัดนำเที่ยว นางสาว ฉัตรฤดี ต.ศรีวงษ์ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ผู้มีอำนาจ
ข้อมูลยังระบุว่า นางสาวฉัตรฤดี เคยทำธุรกิจ ร่วมกับ นายประจวบ โดยร่วมกันจัดตั้ง หจก. ยู ที แอนด์ ที ทราเวล เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2548 ทุน 1 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 599/120 หมู่ที่ 2 ซอยบ้านโพธิ์สว่าง ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ประกอบธุรกิจนำเที่ยวรวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการนำเที่ยวทุกชนิด ปัจจุบันเป็น หจก.ร้าง นายทะเบียนได้ขีดชื่อออกจากทะเบียนแล้ว เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2555
นางสาวฉัตรฤดี ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ว่า ตนเองกับนายประจวบเป็นแฟนกัน แต่ไม่ทราบรายละเอียดข้อมูลการทำธุรกิจของนายประจวบมากนัก เนื่องจากตนรับผิดชอบเรื่องตั๋วเครื่องบินเท่านั้น ส่วนเรื่องการจัดทัวร์นายประจวบเป็นผู้รับผิดชอบ
“เข้าใจว่าตอนนี้คุณประจวบไปออกทัวร์ ที่หิวหิน เชียงใหม่ และก็ที่ปักกิ่ง จึงติดต่อไม่ค่อยได้ เข้าใจว่างานนี้น่าจะเป็นของ สำนักงาน ก.พ. อะไรทำนองนี้ ” นางสาวฉัตรฤดีระบุ
เมื่อถามว่า ทราบข้อมูลการเข้าไปรับงานโครงการสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทยระยะที่ 2 วงเงินร้อยกว่าล้านของ หจก.มีทัวร์ หรือไม่ นางสาวฉัตรฤดี ระบุว่า “ไม่ทราบรายละเอียดเรื่องนี้เลย”
เมื่อถามว่า นายประจวบ มีเส้นสายทางการเมืองหรือ ไม่ นางสาวฉัตรฤดี ระบุว่า “ไม่มีแน่นอน เรื่องเส้นสายทางการเมือง”
นางสาวฉัตรฤดี ยังระบุด้วยว่า นายประจวบ นอกจากจะทำธุรกิจทัวร์เป็นหลักแล้ว เคยดำรงตำแหน่งเป็นนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดอุดรธานีด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบข้อมูลทางเว็บไซด์ พบว่า นายประจวบ ยังเคยดำรงตำแหน่งกรรมการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ประจำปี 2549-2551 ในฐานะผู้แทนสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดอุดรธานีด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ นายภักดีหาญส์ หิมะทองคํา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2555 ได้อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การเสริมสร้างภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศ (กนภอ.) หรือไทยแลนด์ แบรนดิ้ง โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธานคนที่ 1 นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธานคนที่ 2
ส่วนกรรมการประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ โดยมีปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นกรรมการและเลขานุการ นายธีรภัทร สันติเมทนีดล รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และนายพลช หุตะเจริญ เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
คณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การเสริมสร้างภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศไทย เพื่อการฟื้นฟูประเทศ เสริมสร้างเกียรติภูมิของชาติ สร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน นักท่องเที่ยวทั้งภายในและต่างประเทศ กำหนดกลไกในการปฏิบัติตามนโยบายและยุทธศาสตร์อย่างเป็นรูปธรรม โดยมุ่งเน้นการนำทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศ ทั้งภาคการผลิต การค้า และการบริการ ให้สามารถนำมาผสมผสานกับศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อสร้างมูลค่า และนำไปสู่การเสริมสร้างภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศไทย
นอกจากนี้ ครม.ยังอนุมัติค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์และรณรงค์การเสริมสร้างภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศไทย ระยะที่ 2 จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้ขออนุมัติขยายระยะเวลากันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีจากกรมบัญชีกลางแล้ว จำนวน 141.809 ล้านบาท
ที่ผ่านมาคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเสริมสร้างภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศ ได้ว่าจ้างบริษัท Winkreative AG เข้ามาเป็นผู้ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์และรณรงค์การเสริมสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทย ในวงเงิน 39 ล้านบาท โดยใช้เงินจากกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อเผยแพร่ศักยภาพด้านเศรษฐกิจไทยต่อเวทีโลก หลังการฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจ และอุทกภัยในประเทศไทย สร้างความเชื่อมั่นของประเทศไทยต่อประเทศคู่ค้า
รวมทั้งประชาสัมพันธ์การเป็นเจ้าภาพการประชุม World Economic Forum on East Asia (WEFEA) ที่จะจัดขึ้นในประเทศไทยระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม ถึง 1 มิถุนายน ที่ผ่านมาด้วย