ดีเอสไอพบชาวบ้านถูกหลอกซื้อบัตร ปชช. สวมชื่อเป็น กก.บริษัทคืนภาษี 4.2 พันล.
ดีเอสไอบุก จ.พิจิตร สอบ “กรรมการ-ผู้ถือหุ้น”บริษัทคืนภาษี เป็นชาวบ้าน ถูกกลุ่มบุคคลติดต่อขอบัตรประจำตัวประชาชน-ทะเบียนบ้าน อ้างทำข้อมูลประกันสังคม จ่ายค่าตอบแทน 500 บาท /หัว
หลังจากสำนักงานอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า เครือข่ายบริษัทปริศนา จำนวน 58 บริษัท ในจำนวนนี้ 35 บริษัทได้ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากร 4,298.5 ล้านบาท (เท่าที่ตรวจสอบพบ) ในจำนวนนี้กรรมการบริษัทมีภูมิลำเนาตามเอกสารสำเนาบัตรประชาชนอยู่ใน จ.พิจิตรถึง 22 คน จากทั้งหมด 31 คนและต่างปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทดังกล่าว
( อ่านประกอบ: ความลับแตก!“แม่บ้าน-ลูกจ้างร้านเบเกอรี่”ถูกสวมชื่อเป็นกก.บริษัทคืนภาษี 3.6 พันล.)
ล่าสุดแหล่งข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ว่า ดีเอสไออยู่ระหว่างการลงพื้นที่จังหวัดพิจิตร เพื่อสอบปากคำชาวบ้านที่ปรากฏชื่อเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นบริษัทเอกชนหลายแห่งที่ได้รับคืนภาษีจากกรมสรรพากร เบื้องต้นได้รับการยืนยันจากชาวบ้านว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทที่ตนเองปรากฏชื่อเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นแต่อย่างใด
“ชาวบ้านให้ข้อมูลว่า มีบุคคลบางกลุ่มเข้าไปติดต่อ โดยอ้างว่า มาทำข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องประกันสังคม ให้พร้อมขอเอกสารบัตรประจำตัว และสำเนาทะเบียน ประกอบ ก่อนจะมอบเงินให้รายละ 500 บาท เป็นค่าตอบแทน "
แหล่งข่าวกล่าวว่า ข้อมูลที่ได้รับชี้ให้เห็นว่า การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเอกชน เพื่อมาขอคืนภาษีจากกรมสรรพากรดังกล่าว มีการวางแผนทำเป็นขบวนการ ส่วนผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการนี้ จะเป็นใครนั้น ดีเอสไอกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกอยู่
“ในข้อเท็จจริง เกี่ยวกับปัญหาการตั้งบริษัทผี เพื่อมาหลอกคืนเงินภาษีจากกรมสรรพากร เป็นเรื่องที่มีอยู่ตลอด แต่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งใหญ่ที่สุด รัฐเสียหายมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และในขั้นตอนการดำเนินงาน น่าจะมีเจ้าหน้าที่รัฐคอยให้การสนับสนุนด้วย”
แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า สำหรับจำนวนบริษัท ที่อยู่ในข่ายถูกสอบสวนเรื่องนี้ เบื้องต้น ดีเอสไอ มีข้อมูลอยู่ในมือแล้วประมาณ 49 แห่ง รวมวงเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่ขอคืนไปอยู่ที่ตัวเลขหลัก 4,000 กว่าล้านบาท ส่วนพื้นที่ที่เกิดปัญหามี 2 แห่ง คือ เขตบางรัก และสมุทรปราการ โดยในส่วนพื้นที่ บางรัก พบว่ามีปัญหามากกว่า
แหล่งข่าวยังกล่าวยอมรับด้วยว่า ในขั้นตอนการตรวจสอบข้อมูลเรื่องนี้ นอกเหนือจากการทำงานในส่วนของกรมสรรพากร ดีเอสไอ กำลังเข้าไปดูข้อมูลการทำงานในส่วนของกรมศุลกากรด้วย เนื่องจากมีข้อเท็จจริงปรากฏว่า สินค้าที่บริษัทกลุ่มนี้ คือ เศษโลหะ ที่มีการส่งออกไปจำหน่ายที่อินเดีย และฮ่องกง มีการนำก้อนหิน เข้ามาปะปนด้วย
“ดีเอสไอ ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบคดีนี้เป็นอย่างมาก เพราะถือว่าการโกงเงินหลวง ซึ่งมาจากเงินภาษีประชาชน เรายอมไม่ได้ และในการตรวจสอบข้อมูลเรื่องนี้ ได้ทุ่มกำลังเจ้าหน้าที่จำนวนกว่า 60 คน เข้ามาช่วยกันตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเต็มที ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2556 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงความคืบหน้าการตรวจสอบคดีคืนภาษีมูลค่าเพิ่มว่า จากการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบข้อมูลยังสำนักงานศุลกากร ท่าเรือกรุงเทพ แขวง/เขตคลองเตย กรุงเทพ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา เกี่ยวกับขั้นตอนพิธีการศุลกากร ในการส่งสินค้าออกต่างประเทศ
โดยจากการสังเกตการณ์ขั้นตอนการตรวจปล่อยสินค้าของกรมศุลกากรพบว่า ในกระบวนการส่งออก ภายในท่าเรือแห่งประเทศไทยนั้น ทางกรมศุลกากร ใช้ระบบอิเล็กทรอนิคส์ควบคุมทั้งหมดว่ามีสินค้าที่ถูกต้องหรือไม่ ก่อนจะอนุมัติให้ผ่านเข้ามาในประเทศได้ ซึ่งจะต้องมีการสำแดงว่าเป็นสินค้าประเภทกรีนไลน์หรือเรดไลน์ ก่อนจะเปิดตรวจสอบสินค้าซึ่งเป็นไปตามกระบวนการทางศุลกากร
จากนั้นทางเจ้าหน้าที่จะอนุมัติให้นำสินค้าไปลงเรือ ส่วนเจ้าหน้าที่ควบคุมเรือจะต้องยืนยันมาทางระบบศุลกากร เช่น ชื่อเรือ ชื่อตู้สินค้า ที่นำมาลงเรือ เพื่อทำการจดบันทึกสถานะว่ามีการลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบย้อนหลังว่าที่ผ่านมาการปฏิบัติพิธีการส่งออกสินค้าดังกล่าวมีข้อผิดพลาดประการใด การนำระบบผ่านพิธีการศุลกากรทางอิเล็คทรอนิคส์แบบไร้เอกสารมาใช้รวมทั้งมาตรการในการอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศ อาจเป็นช่องทาง ให้ผู้ไม่สุจริตอาศัยเป็นช่องว่างในการทุจริตขอคืนภาษี ซึ่งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเห็นควรมีการประชุมหารือเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว
รวมทั้งหาแนวทางในการป้องกันและปราบปราม ซึ่งจะต้องมีการบูรณาการในการทำงานใหม่ ให้มีกระบวนการทำงาน อย่างรอบครอบ รวมทั้งช่วยกันตรวจสอบไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคต
ส่วนการโกงภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะดีเอสไอ จะต้องทำการติดตามหาคนกระทำความผิดมาดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อสันนิฐานความผิดพลาดไว้ 3 ด้าน คือ ความผิดพลาดจากระบบตรวจสอบสินค้า และการตรวจสอบเอกสารต่างๆ เกิดความผิดพลาดจากการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสุดท้ายตัวเจ้าหน้าที่ที่มีการทุจริตเกิดขึ้น
………….
อ่านประกอบ:
ความลับแตก!“แม่บ้าน-ลูกจ้างร้านเบเกอรี่”ถูกสวมชื่อเป็นกก.บริษัทคืนภาษี 3.6 พันล.
ฟัง-ดูกันชัดๆ กรรมการบริษัทคืนภาษี 3.6 พันล.ที่แท้“ลูกจ้าง-แม่บ้าน-แม่ครัว”
ข้อมูลฉบับเต็ม 58 บริษัทเครือข่ายคืนภาษี 4.2 พันล้านใช้กรรมการ 31 คน