อัยการจังหวัดเชียงใหม่ ยันถูกปลอมลายมือชื่อ เบิกจ่ายงบดูงาน ป.โท ม.บูรพา
อัยการจังหวัดเชียงใหม่ ยันถูกปลอมลายมือชื่อ เบิกจ่ายงบดูงาน ป.โท ม.บูรพา – คนใน วอนผู้บริหารยุติปัญหาโดยด่วน หลังนิสิต เสียงแตก ฝ่ายหนุน อาจารย์ - ต้าน ทะเลาะ กันหนัก ถึงขั้นเกลียด ด่าเนรคุณ กลัวเรียนไม่จบ
กรณีการร้องเรียนอาจารย์ คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ปลอมลายมือชื่อ นิสิต ปริญญาโท จำนวน 90 ราย เบิกจ่ายเงินงบประมาณในการเดินทางศึกษาดูงาน ที่ สำนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 25-28 ตุลาคม 2555 ตามข่าวที่สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานก่อนหน้านี้นั้น
(อ่านประกอบ นิสิต ร้อง อาจารย์ คณะนิติฯ ม.บูรพา ส่อปลอมลายมือชื่อ- เบิกเงินดูงาน “เท็จ”)
เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2556 นายพูนศักดิ์ ศรีเจริญ อัยการจังหวัดเชียงใหม่ ให้สัมภาษณ์ยืนยันสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 25-28 ตุลาคม 2555 ไม่เคยมีนิสิตปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เดินทางมาดูงาน ที่สำนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ ตามที่การนำไปกล่าวอ้างในเอกสารการเบิกจ่ายเงินของคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา แต่อย่างใด
“ ผมได้ทำหนังสือแจ้งไปให้ทาง คณบดีคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ รับทราบแล้วว่า ไม่เคยมีนิสิตปริญญาโท มาดูงานที่สำนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่แต่อย่างใด ส่วนจะเป็นผลอะไรต่อไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องที่ทางมหาวิทยาลัยบูรพา จะต้องไปพิจารณากันเอง”
เมื่อถามว่า ในการเสนอเรื่องเบิกจ่ายงบประมาณดูงานโครงการฯ ดังกล่าว มีการระบุถึงเอกสารการตอบรับการดูงาน ที่ออกให้โดยสำนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ นายพูนศักดิ์ กล่าวว่า ทางสำนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ ไม่ทราบเรื่องการดูงานอะไรมาก่อน และไม่เคยมีการทำหนังสือตอบรับไป
“เอกสารที่นำไปใช้ในการตั้งเบิกงบประมาณ เป็นเอกสารปลอมที่ทำขึ้นมาเอง ”
เมื่อถามว่า กรณีนี้ มีการแอบอ้างชื่อสำนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ ทำให้เสียหาย จะฟ้องร้องดำเนินคดีอะไรกับผู้เกี่ยวข้องหรือไม่ อัยการจังหวัดเชียงใหม่ ตอบว่า “เราคงไม่ได้ทำอะไร เพราะเราไม่ใช่ผู้เสียหาย ผู้เสียหายจริงๆ คือ มหาวิทยาลัย เพราะเป็นผู้จ่ายเงินไป ส่วนมหาวิทยาลัยจะดำเนินการอะไรก็เป็นเรื่องของเขาเราไม่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังจากที่โครงการศึกษาดูงานของนิสิต ปริญญาโท รุ่น ที่ 2 รหัส 54 จำนวน 90 ราย ที่ สำนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 25-28 ตุลาคม 2555 ถูกตรวจพบว่ามีการปลอมแปลงเอกสาร เพื่อตั้งเรื่องเบิกจ่ายงบประมาณ นายพูนศักดิ์ ศรีเจริญ ได้ทำหนังสือ ไปถึงคณบดีคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ยืนยันว่า ไม่เคยได้รับหนังสือเข้าศึกษาดูงาน จากมหาวิทยาลัยบูรพา และไม่ได้ลงลายมือชื่อ ในหนังสือตอบรับการดูงานแต่อย่างใด
(อ่านประกอบในเรื่อง : จับพิรุธ! อาจารย์นิติฯ ม.บูรพา ปลอมลายมืออัยการ เบิกเงินค่าดูงาน ป.โท -ทำพลาดตรงไหน?)
แหล่งข่าวจาก มหาวิทยาลัยบูรพา เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ว่า ในจำนวนนิสิตปริญญาโท รุ่น 2 รหัส 54 ที่ถูกปลอมลายมือชื่อ เบิกจ่ายเงินโครงการศึกษาดูงาน ที่สำนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ มีนิสิตคนหนึ่ง ที่กำลังบวชเป็นพระ และในช่วงวันที่ 25-28 ตุลาคม 2555 ก็อยู่ที่วัดไม่ได้ไปไหน จึงเป็นอีกหนึ่งหลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า มีการปลอมแปลงลายมือชื่อนิสิตเกิดขึ้นจริง
แหล่งข่าวรายนี้ กล่าวต่อไปว่า ต้องการให้ผู้บริหารของมหาวิทยาลัย รีบออกมาเคลียร์เรื่องนี้โดยเร็วที่สุด เพราะนับตั้งแต่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น นิสิต ป.โท ในรุ่น 2 ที่ปรากฎชื่อเป็นกลุ่มที่เดินทางไปดูงานที่สำนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ มีความแตกแยกกันเกิดขึ้น
นิสิตฝ่ายหนึ่งก็สนับสนุนอาจารย์เพราะมองว่าเป็นเรื่องการเมืองภายใน จากการแย่งชิงตำแหน่งผู้บริหาร ทำให้ถูกใส่ร้าย และไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่ต้องเสียเงินเรียนเพิ่มก็พอแล้ว
ส่วนนิสิตอีกฝ่ายหนึ่ง ที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มหาวิทยาลัย ตรวจสอบเรื่องนี้ มองว่า เป็นเรื่องใหญ่ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน เพราะมีหลักฐานการกระทำความผิดปรากฎชัดเจน ไม่ยอมให้เรื่องเงียบ พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อเรียกร้องความถูกต้องต่อไป แม้จะถูกต่อว่าว่าเป็นพวกเนรคุณอาจารย์
ทำให้เกิดการทะเลาะกันรุนแรงของทั้งสองฝ่ายบางคนถึงขั้นเกลียดกันไปเลย
“ ตอนนี้นิสิตหลายคนที่ออกมาต่อต้านอาจารย์ที่ถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการปลอมแปลงลายมือชื่อ กำลังมีความกังวลอย่างมาก ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการเรียน เนื่องจากอาจารย์ที่ถูกระบุว่ามีปัญหาก็ยังมีอำนาจอยู่ สามารถชี้เป็นชี้ตายเรื่องการเรียนว่าจะจบหรือไม่จบได้ มหาวิทยาลัยควรจะทำเรื่องนี้ให้กระจ่างโดยเร็ว" แหล่งข่าวกล่าว
และเสนอว่า "ถ้าไม่ย้ายอาจารย์คนนี้ออกจากตำแหน่งไปก่อน ระหว่างรอผลการตรวจสอบ ก็ควรรีบสรุปผลการสอบสวนให้เร็วที่สุด ถ้าอาจารย์ไม่ผิดก็ไม่ผิด จะได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองด้วย ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ทำอะไร มีแต่ผลเสียที่จะเกิดขึ้น”