- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- 2 กระทรวงใหญ่ “อุตฯ-พลังงาน” เปิดศึก ชิงอำนาจคุมปั๊ม ปตท. –กฤษฎีกาชง ครม.ยุติ
2 กระทรวงใหญ่ “อุตฯ-พลังงาน” เปิดศึก ชิงอำนาจคุมปั๊ม ปตท. –กฤษฎีกาชง ครม.ยุติ
"กระทรวงอุตสาหกรรมฯ –พลังงาน" ขัดแย้งหนักปมสถานะปั๊มน้ำมันหลัก ปตท. ฝ่ายแรกยันเข้าข่ายโรงงาน ประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต สั่งดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนฝ่ายหลังอ้างไม่เข้าข่าย ยกผลกระทบประชาชนสู้ – กฤษฎีกาตีความข้อกม. ยันสถานะเป็นโรงงาน แต่เพื่อให้เกิดความชัดเจน เห็นสมควรส่ง ครม. หาข้อยุติ
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงาน กำลังมีปัญหาความขัดแย้งเรื่องการตีความตามอำนาจทางกฎหมายในการควบคุมดูแล สถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ว่าเป็นโรงงานตาม พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 หรือไม่
โดยในช่วงเดือนมกราคม 2556 ที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีหนังสือที่ อก 0209/107ลงวันที่ 9 มกราคม 2556 ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมีปัญหาเกี่ยวกับการบังคับใช้พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 กรณีสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพลังงานมีความเห็นแตกต่างกันในกรณีสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักว่าเป็นโรงงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 หรือไม่
หลังจากที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้ตรวจพบว่า สถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และของบริษัทเอกชนรายอื่นได้ตั้งโรงงานและประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ตามมาตรา 12 วรรคหนึ่งและวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 อันเป็นความผิด และมีโทษตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 จึงได้มีการแจ้งข้อหาเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีหนังสือถึงกรมธุรกิจพลังงาน โต้แย้งว่า สถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักดังกล่าวไม่เข้าข่ายเป็นโรงงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 และกระทรวงพลังงาน ได้มีหนังสือถึงกระทรวงอุตสาหกรรม ให้พิจารณาทบทวนการตีความเรื่องดังกล่าว ซึ่งกระทรวงพลังงานเห็นว่าสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักไม่น่าจะเข้าข่ายโรงงานบรรจุก๊าซ พร้อมขอให้ชะลอการดำเนินการตามกฎหมายไว้ก่อน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติ
ขณะที่ กระทรวงอุตสาหกรรม ยืนยันความเห็นว่า สถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เข้าข่ายเป็นโรงงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 พร้อมส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาให้เกิดความชัดเจน ถึงสถานะสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และอำนาจตามกฎหมายของกระทรวงอุตสาหกรรมในการสั่งระงับการดำเนินการของสถานีบริการฯ และการดำเนินคดีอาญาผู้กระทำความผิดในระหว่างที่มีการหารือต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือไม่
เบื้องต้น คณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาข้อหารือดังกล่าว โดยมีการเชิญผู้แทนทั้งในส่วนกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และปตท. เข้าชี้แจง
โดยปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติม อาทิ กระทรวงอุตสาหกรรมประสงค์จะขอหารือเฉพาะสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักไม่รวมถึงสถานีบริการก๊าซธรรมชาติย่อย ส่วนการสร้างและดำเนินการสถานีบริหารฯ หลัก ได้มีมาตั้งแต่ปี 2547 แล้ว ปัจจุบันมีสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลัก รวมทั้งสิ้น 19 แห่ง เป็นของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จำนวน 15 แห่ง และของเอกชนรายอื่นจำนวน 4 แห่ง
ขณะที่สถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักทุกแห่งได้รับใบอนุญาตและได้รับการต่ออายุใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ตลอดมา แต่ไม่เคยขอรับอนุญาตประกอบกิจการโรงงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 และกรมโรงงานอุตสาหกรรมก็มิได้ทักท้วงเรื่องนี้มาก่อน
และในกรณีที่สถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักต้องหยุดการประกอบกิจการจะส่งผลกระทบไปยังสถานีบริการก๊าซธรรมชาติย่อย 357 สถานี ทำให้เกิดการขาดแคลนพลังงานก๊าซธรรมชาติ อันจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคก๊าซธรรมชาติทุกภาคส่วนทั้งภาคประชาชน ภาครัฐ และภาคการขนส่ง ซึ่งจะยากแก่การแก้ไขเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน และความเสียหายที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจโดยรวม
หากต้องมีการขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานแล้ว เฉพาะสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บางแห่งอาจจะไม่สามารถขออนุญาตประกอบกิจการโรงงานได้เนื่องจากอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายอื่นด้วย เช่น กฎหมายว่าด้วยผังเมือง
เบื้องต้น คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 5 มีความเห็น ว่า สถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักเป็นโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน เมื่อมีการตั้งโรงงานและประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต กระทรวงอุตสาหกรรมย่อมมีอำนาจดำเนินการตามที่พระราชบัญญัติโรงงานฯ บัญญัติไว้ โดยสั่งให้ผู้นั้นระงับการกระทำที่ฝ่าฝืนภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ได้ ซึ่งแม้ผู้อยู่ภายใต้บังคับของคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำสั่ง แต่การอุทธรณ์ไม่มีผลเป็นการทุเลาคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่
อย่างไรก็ดี หากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาแล้วเห็นว่า คำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ให้หยุดประกอบกิจการจะส่งผลกระทบต่อประชาชน ระบบการขนส่ง และระบบเศรษฐกิจของประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมอาจมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ในระหว่างรอผลการพิจารณาอุทธรณ์ก็ได้
ทั้งนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 5 ได้มีข้อสังเกตเพิ่มเติมจากการพิจารณาข้อหารือดังกล่าว ว่า ปัจจุบันมีกฎหมายที่ควบคุมดูแลในเรื่องก๊าซธรรมชาติไว้โดยเฉพาะแล้ว และปัจจุบันการประกอบกิจการสถานีบริการก๊าซธรรมชาติอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของกรมธุรกิจพลังงาน เพื่อให้เกิดความปลอดภัย ป้องกันมิให้ก่อผลกระทบในด้านต่าง ๆ ต่อบุคคลและทรัพย์สิน ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์เดียวกับพระราชบัญญัติโรงงานฯ ดังนั้น เมื่อมีกลไกในการควบคุมเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติไว้โดยเฉพาะอยู่แล้ว
จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดให้สถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติโรงงานฯ อีก
นอกจากนี้ ผลของการที่สถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักเข้าข่ายมีลักษณะเป็นโรงงานแต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการโรงงานนั้น อาจทำให้ต้องหยุดประกอบกิจการชั่วคราวในระหว่างที่ยังไม่ได้รับอนุญาต และในกรณีที่ต้องมีการขออนุญาตประกอบกิจการโรงงานแล้ว เฉพาะสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บางแห่งอาจจะไม่สามารถขออนุญาตประกอบกิจการโรงงานได้ เนื่องจากอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายอื่นด้วย เช่น กฎหมายว่าด้วยการผังเมือง ซึ่งอาจมีผลทำให้ต้องรื้อถอนออกไป กรณีดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อประชาชน ระบบการขนส่ง และระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งจะยากแก่การแก้ไขเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน และความเสียหายที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจในภายหลัง
คณะกรรมการกฤษฎีกา จึงเห็นสมควรเสนอความเห็นและข้อสังเกตดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเพื่อทบทวนนโยบายในการควบคุมกำกับดูแลสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลัก ว่ามีความจำเป็นต้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติ โรงงานฯอีกหรือไม่
โดยหากเห็นสมควรมิให้มีการควบคุมการประกอบกิจการที่ซ้ำซ้อนกัน สมควรอนุมัติหลักการในการปรับปรุงกฎกระทรวง พ.ศ. 2535 ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 เพื่อให้การบรรจุก๊าซที่เป็นโรงงานบรรจุก๊าซตามลำดับที่ 91 (2) ของบัญชีท้ายกฎกระทรวง (พ.ศ. 2535 ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ไม่รวมถึงการบรรจุก๊าซที่เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง