- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- ถึงเวลา“น้องเอื้อย” ถอยห่างเฟซบุ๊ก ออกไปทำกิจกรรมตามประสาเด็กวัยรุ่น
ถึงเวลา“น้องเอื้อย” ถอยห่างเฟซบุ๊ก ออกไปทำกิจกรรมตามประสาเด็กวัยรุ่น
“อ.รัก” ยัน “น้องเอื้อย” อยู่ในภาวะเสี่ยงอัตลักษณ์สูญหาย เตือน ถอยห่าง “เฟซบุ๊ก” ชี้ตกอยู่ในความเสี่ยงต่อบุคคลที่ไม่หวังดี หันหน้าเข้าหาครอบครัวดีที่สุด ออกไปทำกิจกรรมตามประสาเด็กวัยรุ่น
เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2556 นาง รัก ชุณหกาญจน์ อาจารย์ภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงกรณีความกดดันที่ “น้องเอื้อย” ได้รับจากกระแสต่อต้านในโลกออนไลน์ว่า การอยากเป็นคนดังและได้รับการยอมรับ เป็นเรื่องปกติสำหรับวัยรุ่นโดยทั่วไป แต่การยึดติดอยู่ในโลกสังคมออนไลน์ หรือยึดติดกับภาพลักษณ์ความสวยงามภายนอก อาจนำไปสู่ภาวะค้นหาตัวตนที่แท้จริงไม่เจอ หรือเป็นคนที่อัตลักษณ์สูญหายไม่สมบูรณ์
“อัตลักษณ์ที่แท้จริงไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตา น้องเอื้อยเองอาจเป็นคนเรียนเก่งและมีความสามารถในหลายเรื่อง นอกจากความสวยความงาม เพราะสิ่งที่ประกอบสร้างขึ้นมาให้คนๆ หนึ่งมีความเฉพาะตัวแตกต่างจากคนอื่นๆ นั้น มิใช่มีเพียงรูปร่างหน้าตาแต่ยังหมายรวมถึงความคิด ความรู้ สำนึกในความดี ความถูกต้อง ความสามารถ วุฒิภาวะในการแก้ปัญหา การที่ยึดติดเพียงรูปลักษณ์ภายนอกอาจทำให้เยาวชนละเลยการแสวงหาคุณค่าในด้านอื่นๆ ที่มีอยู่ในตนเอง” อ.รักระบุ
อ.รัก ระบุว่า การยึดติดอยู่กับการแสดงตัวตนในเฟซบุ๊กหรือโลกออนไลน์นั้น ทำให้เยาวชนสูญเสียเวลาที่จะได้อยู่กับตัวเอง เพื่อรับรู้เข้าใจในตัวตนที่แท้จริงของตน เพื่อนำไปสู่การยอมรับว่ามนุษย์ย่อมมีทั้งด้านดีและไม่ดี นำไปสู่ความเข้าใจทั้งในส่วนดีและส่วนบกพร่อง เพื่อยอมรับคุณค่าที่แท้จริงที่มีในตนเอง
“ในเฟซบุ๊กมักจะมีแต่ด้านดี ถ้าไปยึดติดแต่เพียงด้านเดียวและเป็นไปตามกระแสก็จะหาตัวตนที่แท้จริงไม่เจอ จัดการกับตัวเองไม่ได้ การจะค้นพบอัตลักษณ์ที่แท้จริงนั้น เราต้องให้เวลากับตัวเอง ได้คิด ได้แก้ปัญหาและรับมือกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น สำคัญที่สุดคือการยอมรับและมองเห็นคุณค่าของตัวเอง” อ.ลักษณ์กล่าว
อ. รัก ยังกล่าวถึงการรับมือและแก้ปัญหาในกรณีน้องเอื้อยถูกแฟนเพจโจมตี ว่า ประการแรกสุด ผู้ที่จะให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาแก่น้องเอื้อยได้ดีที่สุดก็คือพ่อแม่ ผู้ปกครอง คนในครอบครัว
“ตอนนี้ เท่าที่ทราบมา น้องเริ่มไม่อยากไปโรงเรียนแล้ว หมายความว่าคำวิจารณ์เหล่านั้นเริ่มส่งผลกระทบ ทำให้สุขภาพจิตเริ่มประสบภาวะเครียด และอาจนำไปสู่อาการกินไม่ได้ นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท ไม่มีสมาธิในการเรียน ซึ่งหากน้องตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ แนะนำให้พบกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาทางแก้ไขเยียวยาจิตใจ หรือปรึกษากับผู้ที่น้องพูดคุยด้วยได้ คุณแม่ต้องทำให้น้องเข้าใจว่าการที่นำตัวเองเข้ามาอยู่ในพื้นที่เปิด หรือพื้นที่สาธารณะอย่างเฟซบุ๊กหรืออินเตอร์เน็ตนั้น ถ้าจะอยู่ตรงนี้ก็ต้องพร้อมเผชิญกับคำวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้น
“สภาพจิตใจของน้องตอนนี้คงเครียด ก็ขอให้อย่าซึมเศร้า และอย่าหมดไฟในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ครอบครัวต้องอธิบายให้น้องเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเกิดแล้ว เราคงปฏิเสธไม่ได้ แต่ต้องยอมรับความจริงว่าเราห้ามความคิดใครไม่ได้ แต่ก็ยังน่าเป็นห่วง เพราะหากเปรียบกับกรณีดารา หรือบุคคลสาธารณะที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงนั้น หลายคนผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้ เพราะเขามีวุฒิภาวะและยอมรับได้ ว่าคือสิ่งที่ต้องตามมาเมื่อเป็นบุคคลสาธารณะ”
อ.รัก ยังกล่าวถึงการก้าวข้ามแรงกดดันจากคำวิพากษ์วิจารณ์ในกรณีของน้องเอื้อย ว่า “พูดอย่างตรงไปตรงมาก็คือ 4 ปีที่แล้ว สังคมเรายังไม่มีเฟซบุ๊ก เราก็ยังอยู่กันได้นะ อยากให้กลับไปทบทวนดูว่าเมื่อเรามีเฟซบุ๊ก ชีวิตเราเป็นอย่างเราและถ้าเราไม่มีเฟซบุ๊ก ชีวิตเราเป็นอย่างไร เทียบกัน และชั่งน้ำหนักดูว่ามันคุ้มกันไหม ถ้าเรามีเฟซบุ๊ก ได้โพสต์ภาพสวยๆ น่ารัก มีคนมาชื่นชมมากมาย แต่ขณะเดียวกัน ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็รุนแรงขนาดนี้ ถ้าไม่มีเฟซบุ๊กเลยและถอยห่างออกมาจากมัน จะดีกว่าไหม”
อ.รัก ยังกล่าวว่า ในกรณีนี้ น้องเอื้อยอาจไม่ทันคิดว่าจะเกิดผลอย่างไรตามมา เมื่อมีรูปของตนไปปรากฏอยู่ในพื้นที่สาธารณะ แต่เมื่อพลาดพลั้งขึ้นมาแล้วครอบครัวต้องให้กำลังใจ ให้น้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นเรื่องที่ต้องพบเจอเมื่อนำตัวเองมาสู่พื้นที่เปิด แต่ก็กลับไปยังคำถามเดิมว่าน้องจะรับแรงกดดันที่กระแทกเข้ามาแรงขนาดนี้ได้หรือเปล่า ดังนั้น วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้น้องก้าวผ่านภาวะนี้ไปได้ ครอบครัวต้องมีส่วนในการผ่อนคลาย พาน้องถอยห่างจากเฟซบุ๊ก ไปเที่ยวด้วยกัน ทำกิจกรรมที่สนุกๆ ในครอบครัว แล้วค่อยๆ ปรับให้น้องเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเรื่องปรกติ ยอมรับมันให้ได้ และก้าวข้ามมันไป
“น้องยังมีครอบครัว มีคุณพ่อคุณแม่ และควรจะใช้เวลานี้หันกลับมาให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ที่จับต้องได้จริง อย่างการพูดคุยกับพ่อแม่ พูดคุยกับเพื่อนสนิทที่เป็นคนจริงๆ เป็นคนที่มีตัวตนอยู่จริงและเป็นคนที่เขารู้จักเรา รักเรา และยอมรับเราในแบบที่เราเป็น และควรห่างออกมาจากเฟซบุ๊ก กลับมาให้ความสนใจกับเรื่องอื่นๆ อย่างการเรียนและกิจกรรมที่มีประโยชน์ หรือใส่ใจกับความสามารถในด้านต่างๆ ที่มีอยู่”
อ.รัก กล่าวว่า อีกประเด็นที่ตนเป็นห่วงในกรณีน้องเอื้อย ก็คือการโพสต์ภาพที่น่ารัก สวยงาม และบางภาพมีความโน้มเอียงในทางล่อแหลม อาทิ ภาพที่น้องเอื้อยใส่ชุดคล้ายเกาะอกหรือมีภาพที่เห็นเนินอกนั้น อาจทำให้น้องเอื้อยตกอยู่ในความเสี่ยงต่อบุคคลที่ไม่หวังดีที่อาจพยายามเข้าถึงตัวของน้องเอื้อย ซึ่งนับว่าเป็นอันตรายอีกประการหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามและครอบครัวควรดูแลอย่างใกล้ชิด