- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- "วิจักขณ์ พานิช" : สวนโมกข์เป็นของใคร ใครเป็นเจ้าของสวนโมกข์กันแน่?
"วิจักขณ์ พานิช" : สวนโมกข์เป็นของใคร ใครเป็นเจ้าของสวนโมกข์กันแน่?
“..พระฆราวาส และบุคลากรทุกคนในสวนโมกข์ควรหันหน้าพูดคุยกันอย่างจริงจัง ก่อนที่คนจากข้างนอกจะเข้ามาก้าวก่ายจนทำให้ความตั้งใจของท่านพุทธทาสและจิตวิญญาณของสวนโ มกข์สูญสลายไป..”
(ภาพจาก siamintelligence)
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2556 นายวิจักขณ์ พานิช นักแสวงหาทางจิตวิญญาณและเป็นผู้ที่เคยบวชเรียนอยู่ในสวนโมกขพลาราม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสวนโมกข์ โดยเน้นย้ำถึงจิตวิญญาณสำคัญที่ท่านพุทธทาสภิกขุได้วางแนวทางไว้ให้สวนโมกข์เป็นอิสระจากการครอบงำทางวัตถุและเป็นอิสระจากการปกครองโดยคณะสงฆ์ของรัฐ
นายวิจักขณ์ ย้ำว่า แม้พลังทางสังคมจะร่วมกดดันและตั้งคำถามถึงการเปลี่ยนแปลงของสวนโมกข์
"แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่มีพลังที่สุด คือ คนในสวนโมกข์ต้องเข้มแข็ง ไม่ว่าพระ ฆราวาส และบุคลากรทุกคนในสวนโมกข์ควรหันหน้าพูดคุยกันอย่างจริงจัง ก่อนที่คนจากข้างนอกจะเข้ามาก้าวก่ายจนทำให้ความตั้งใจของท่านพุทธทาสและจิตวิญญาณของสวนโ มกข์สูญสลายไป พร้อมตั้งคำถาม สวนโมกข์เป็นของใครคนใดคนหนึ่งหรือไม่"
“อย่างที่ทราบกันว่าตอนนี้เป็นสภาพที่สังฆะของสวนโมกข์พยายามที่จะฉีกตัวไปจากแนวทางดั้งเดิมจากที่ธรรมทานมูลนิธิเคยเป็นศูนย์กลางจัดการด้านการเงิน แล้วคณะสงฆ์ใหม่ก็พยายามจะนำสวนโมกข์ไปอยู่ภายใต้การจัดการของคณะสงฆ์ของรัฐ ที่ผมเป็นห่วงคือ ณ เวลานี้ เมื่อใครจะทำอะไรกับสวนโมกข์ ได้มีการพูดคุยภายในสังฆะด้วยกันหรือเปล่า มีใครเข้าใจและนำแนวทางของท่านพุทธทาสมาปฏิบัติอย่างแท้จริงและพร้อมจะนำพาสวนโมกข์ไปสู่อนาคตจริงหรือเปล่า"
นายวิจักขณ์ ย้ำว่า นี่เป็นคำถามใหญ่ และคำถามสำคัญคือสวนโมกข์เป็นของใคร ใครเป็นเจ้าของสวนโมกข์กันแน่
"สิ่งที่ท่านพุทธทาสสร้างไว้ ให้สังคมมีมากมาย ลูกศิษย์ของท่านพุทธทาส มีเยอะมากไม่ใช่แค่พระในสวนโมกข์ พระนอกสวนโมกข์ แต่เป็นผู้คนในหลายวงการ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผมเสียดายคือตั้งแต่ท่านพุทธทาสสิ้นไป สังคมไทยไม่มีการถกเถียงกันมากพอว่าท่านพุทธทาสคือใคร สิ่งที่ท่านพุทธทาสทิ้งไว้คืออะไร และจิตวิญญาณของสวนโมกข์คืออะไร เมื่อไม่มีการพูดคุยกันก็ไม่ได้เอาสิ่งที่ทุกคนได้เรียนรู้ ตั้งคำถาม ต่อยอดและค้นพบนั้นนำมาช่วยพัฒนาสวนโมกข์”
เมื่อถามว่าจิตวิญญาณที่แท้จริงของสวนโมกข์คืออะไร นายวิจักขณ์ตอบว่าย่อมขึ้นอยู่ที่การตีความของแต่ละคน แต่ส่วนตนแล้ว จิตวิญญาณของสวนโมกข์คือความเรียบง่าย ไม่ปรุงแต่ง และมีจิตวิญญาณขบถที่เป็นอิสระจากการครอบงำ
“การทำสวนโมกข์ คือ การแยกตัวเองออกจากคณะสงฆ์ ตรงนี้คือจิตวิญญาณขบถที่ควรจะรักษาไว้ แล้วสังฆะที่ท่านพุทธทาสสร้างคือสังฆะทดลอง แม้แต่การละสังขารก็เป็นการเผาศพแบบเรียบง่าย คนที่มาร่วมงานก็ได้พิจารณาสังขาร ได้เปิดจินตนาการ ท่านทำให้เห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องเดินตามพุทธศาสนาแบบรัฐก็ได้”
นายวิจักขณ์กล่าวว่า เท่าที่ตนสัมผัสสวนโมกข์และได้แรงบันดาลใจจากการศึกษาเรียนรู้ที่สวนโมกข์ เพื่อนำไปต่อยอดในการศึกษาและปฏิบัติธรรมนั้น สวนโมกข์ในความรู้สึกของตนให้บรรยากาศของความเรียบง่ายในการเข้าถึงธรรมที่เรียบที่สุด
“เมื่อทุกคนเดินเข้าไปในสวนโมกข์จะสัมผัสได้ถึงธรรมชาติ สวนโมกข์ไม่ใช่การสื่อสารจากคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นพื้นที่อิสระที่ใครจะเดินเข้าไปก็ได้ แล้วก็ค้นหา แสวงหา ใคร่ครวญ เรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นพื้นที่ว่างๆ ที่ใครจะแสวงหาอะไรก็ได้ บรรยากาศที่สวนโมกข์ให้ไว้คือการอยู่กับผืนดิน อยู่อย่างเรียบง่าย อยู่กับต้นไม้ใบหญ้า ก้อนหิน สิ่งที่ท่านพุทธทาสทำคือการทวนกระแสอย่างมาก”
นายวิจักขณ์ กล่าวอีกว่าอย่างที่ทราบกันว่าท่านพุทธทาสเคยมาศึกษาเปรียญกับคณะสงฆ์ที่กรุงเทพฯ แล้วท่านผิดหวัง เพราะสงฆ์ในกรุงเทพฯ ไม่ได้สอนในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ท่านพุทธทาสจึงฉีกตัวเองออกไปเพื่อแสวงหาคุณค่าอะไรบางอย่างที่พ้นจากการปรุงแต่ง แม้แต่การปรุงแต่งแบบพุทธก็ตาม และสังฆะของสวนโมกข์ที่ท่านพุทธทาสสร้างไว้ ก็เป็นสังฆะทดลอง คือไปอยู่กับธรรมชาติ ตักบาตรแบบพุทธกาล การลงปาฏิโมกข์แบบพุทธกาล การสำรวจตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์และกันอย่างเข้มแข็งในหมู่สงฆ์
ขณะเดียวกันก็รับฟังกันอย่างใจกว้าง เหล่านี้เพื่อเรียนรู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่อย่างไร การอยู่กันเป็นหมู่คณะอย่างเรียบง่ายนั้นอยู่อย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากจากในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่
นอกจากนี้ นายวิจักขณ์ยังกล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงภายในสวนโมกข์ว่า ตนเชื่อว่าคณะบริหารวัดในปัจจุบัน เขาคงไม่ถึงขนาดจะสร้างโบสถ์ใหญ่โต แต่การต้องรายงานหรือส่งมอบเงินทุกบาททุกสตางค์ให้เถรสมาคมนั้นก็น่าตั้งคำถาม แม้แต่การติดกล้องวงจรปิดที่เคาน์เตอร์รับบริจาคก็สะท้อนถึงวิธีการจัดการและการครอบงำของรัฐ
“ติดกล้องวงจรปิดแบบนี้ทำไปเพื่ออะไร สมัยก่อน ที่ผมทราบมาคือเมื่อมีคนมาบริจาคเงินที่สวนโมกข์ท่านพุทธทาสจะไล่ให้ไปถวายที่ธรรมทานมูลนิธิ ไม่ต้องมาบริจาคที่สวนดมกข์ เงินที่เข้ามาก็ขอให้ทุกคนช่วยๆ กันดู แต่ตอนนี้ กลายเป็นว่ามีสายตาที่ตรวจสอบ จับจ้อง กล้องวงจรปิดสะท้อนถึงความไม่วางใจในกัน เป็นการปกครองในรูปแบบคณะสงฆ์แบบรัฐ แบบระบบราชการ แม้ในแง่หนึ่งจะมองได้ว่ามันเป็นระบบการตรวจสอบที่โปร่งใส"
"แต่มันขัดแย้งกับระบบสงฆ์ ในสมัยพุทธกาล ที่ทุกคนช่วยกันดู ช่วยตรวจสอบกันเอง หรืออย่างเราเป็นครอบครัวเดียวกัน พ่อ แม่ ลูก เราจะเอากล้องวงจรปิดมาตรวจสอบกันไหม ถ้าเราปวารณาเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน กล้องวงจรปิดมันถือเป็นความขัดแย้ง ตอนนี้ คนอาจจะคิดว่าไม่น่าเกลียด แต่ผมว่านี่เป็นจุดขัดแย้งสำคัญ ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าทิศทางนับจากนี้ เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัดจะมายุ่งเกี่ยวมากแค่ไหน ตอนนี้ก็มีการมากางพระวินัยดูกันแล้วว่าพระรูปที่เห็นต่างจากพระอีกฝ่าย ขัดกับพระวินัยข้อไหนบ้าง ผมว่าแบบนี้ไม่ถูกต้อง นี่คือสิ่งที่ขัดกับจิตวิญญาณเดิมของสวนโมกข์ เพราะสุดท้ายเราจะไม่ได้คุยกันเลย”
นายวิจักขณ์ ย้ำว่าตนต้องการให้คณะสงฆ์ในสวนโมกข์มีการเสวนาและพูดคุยกันอย่างโปร่งใส ให้สาธารณะรับรู้รับรู้ เพราะแม้จะมีความพยายามทำประชาพิจารณ์โดยคนที่อยู่ข้างนอก แต่นั่นก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุด เพราะการแก้ปัญหาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเกิดสังฆะที่เข้มแข็ง พระ ฆราวาส และบุคลากรทุกคนในสวนโมกข์ควรหันมาพูดคุยกันอย่างจริงจัง ถึงหลักสำคัญและแนวทางของความเป็นสวนโมกข์ ว่าแท้จริงแล้วคืออะไร และควรเดินไปบนวิถีทางเช่นใดกันแน่
“ทำยังไงจะให้สวนโมกข์รักษาความเป็นอิสระจากรัฐ เป็นอิสระจากวิธีคิดของสงฆ์แบบรัฐ ถ้าสังฆะในสวนโมกข์ไม่เข้มแข็ง ถ้าอย่างนั้นสวนโมกข์ก็ตายไปแล้ว"
นายวิจักขณ์ ยังย้ำว่า "ส่วนตัวผมไม่เชื่อในพลังของสังคมมากเท่ากับเชื่อมั่นในพลังของสังฆะในสวนโมกข์เอง ผมและพวกเราก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นที่ทำให้สาธารณะได้รับรู้และส่งความปรารถนาดีไปยังสวนโมกข์ เพราะคนในสังคมได้รับจากสวนโมกข์และท่านพุทธทาสเยอะมาก สวนโมกข์เป็นของทุกคน แต่เราไม่เข้าไปก้าวก่าย"
"เพราะสำคัญที่สุดคือคนในสวนโมกข์เองไม่ว่าพระ ฆราวาส และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ท่านโพธิ์ ท่านสิงห์ทอง ท่านจ้อย คุณเมตตา อ. ทองสุข อ.สุชาติ คนเหล่านี้เป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์พุทธทาสทั้งนั้น เราขอให้คุณทบทวนและคลี่คลายสถานการณ์ที่เป็นอยู่ หันมาพูดคุยกัน ประชุมกัน โดยที่คนข้างนอกต้องไม่ไปก้าวก่าย และผมขอยืนยันว่าคนข้างนอกจะไม่ไปก้าวก่าย แต่ขอให้หยุดการดำเนินการบนยอดเขาพุทธทอง เพราะถ้ามีคนคัดค้าน แต่ท่านยังพยายามจะทำต่อเพราะถือว่ามีอำนาจนั้น แบบนี้น่าจะผิดปกติ”
ทั้งนี้ นายวิจักขณ์กล่าวทิ้งท้ายว่าปัญหาต่างๆ ที่เกิดกับพระสงฆ์ของไทย สะท้อนว่าคณะสงฆ์ของรัฐมีปัญหามาก
“วัดหรือคณะสงฆ์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐเห็นแล้วว่าแก้อะไรไม่ได้และถูกครอบงำด้วยอุดมการณ์อะไรบางอย่าง เหล่านี้ยิ่งเป็นการสร้างปัญหาให้สวนโมกข์ทำให้บุคลากรในสวนโมกข์แตกแยกกันเอง ทั้งที่ท่านพุทธทาสพยายามฉีกตัวเองออกมาจากการครอบงำทุกประเภท เพื่อการหลุดพ้น"
"สวนโมกข์จึงแสดงถึงจิตวิญญาณของการแสวงหาเพื่อการหลุดพ้น ซึ่งพื้นที่ตรงนี้จะแข็งแรงได้ก็ต่อเมื่อคนในสวนโมกข์ต้องเข้มแข็ง กล้าที่จะเป็นอิสระจากการครอบงำและกล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์และรับฟังซึ่งกันและกัน” นายวิจักขณ์กล่าวระบุ