- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- เปิดตำนาน “จอมโจรเส้งเอียด-ลูกขวานลอยลม” กองกำลังพิทักษ์ ม็อบสวนยาง
เปิดตำนาน “จอมโจรเส้งเอียด-ลูกขวานลอยลม” กองกำลังพิทักษ์ ม็อบสวนยาง
“ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ” ชำแหละประเด็นร้อนม็อบชาวสวนยาง เตือนสติ สังคมไทย อย่าตกเป็นเหยื่อ “ลัทธิละเลงเลือด” ยุยงประชาชนฆ่ากันเองก่อนใช้กำลังเข้าปราบ พร้อมเปิดตำนาน “จอมโจรเส้งเอียด- ลูกขวานลอยลม” กองกำลังพิทักษ์ผู้ชุมนุม
สถานการณ์การชุมนุมเรียกร้องราคายางพาราปะทุรุนแรงยิ่งขึ้น เมื่อมีผู้ชุมนุมถูกยิงเสียชีวิต ขณะที่กลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางยังคงปักหลักชุมนุมปิดถนนสายเอเชียทั้งขาขึ้นกรุงเทพฯ และขาล่องใต้
ทั้งนี้ เพื่อเตือนสติสังคม ที่กำลังติดตามสถานการณ์การชุมนุมที่เกิดขึ้น
รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะนักวิชาการชาวปักษ์ใต้ที่รู้ลึกในปัญหาดังกล่าว ทั้งเคยมีส่วนร่วมในการร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทยที่สามารถแก้ไขเรื่องราคายางตกต่ำได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่ถูกระงับโดยโครงการกล้ายางของนักการเมืองจากภาคอีสาน
ให้สัมภาษณ์พิเศษ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงความกังวลต่อสถานการณ์การชุมนุมที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งฝ่ายปกครองอาจเลือกใช้วิธีรุนแรงเข้าแก้ไขปัญหา
พร้อมแนะสังคมไทยตั้งสติ อย่าตกเป็นเหยื่อ “ลัทธิละเลงเลือด” ที่ยุยงให้ประชาชนฆ่ากันเองก่อนใช้กำลังเข้าปราบ
รวมถึงข้อเท็จจริงบางประการ เกี่ยวกับ “จอมโจรเส้งเอียด- ลูกขวานลอยลม” กองกำลังพิทักษ์ผู้ชุมนุม ที่กำลังอยู่ในความสนใจของสังคมอยู่ในขณะนี้
“คนไทยต้องระวัง อย่าเชื่อตามโฆษณาชวนเชื่อ ของกลุ่มเขาที่มีความสามารถทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เบื่อหน่าย หรือเมินเฉยต่อปัญหา สื่อต้องมาคลี่ปมตรงนี้ ทั้งผู้ชุมนุมและคนไทยทั้งประเทศต้องมีสติและไม่ตกเป็นเหยื่อที่เขาอาจทำให้คนไทยฆ่ากันเอง วิธีแบบนี้เป็นของพวกลัทธิละเลงเลือด เป็นวิธีที่เหี้ยมโหดมาก”
รศ.ดร.ณรงค์ กล่าวย้ำว่า สังคมต้องมีสติ เพราะสถานการณ์ต่างๆ อาจถูกจุดขึ้นได้จากการโฆษณาชวนเชื่อ หรือมีผู้ไม่หวังดีจุดกระแสให้ประชาชนฆ่ากันเอง
ส่วนการชุมนุมของชาวสวนยางครั้งนี้ รศ.ดร. ณรงค์กล่าวว่า เป็นความเดือดร้อนที่แท้จริงที่ชาวสวนยางพารา โดยเฉพาะชาวสวนยางในพื้นที่ภาคใต้ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกยางพารามากที่สุดในประเทศ และเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับการเหลียวแลจากนโยบายของรัฐบาลไม่ว่ายุคใดๆ
อีกทั้งชาวสวนยางพาราในภาคใต้และภาคตะวันออก ยังเป็นผู้จ่ายเงินค่าธรรมเนียมเข้ากองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (เงินเซสส์) มานานนับ 10 ปี โดยที่ภาครัฐไม่เคยมีนโยบายที่ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนชาวสวนยางได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพพอ
การชุมนุมในครั้งนี้จึงเกิดจากความเดือดร้อนที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตจนชาวสวนยางพาราต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรม ทว่าปัญหาดังกล่าวกลับยังไม่มีแนวทางแก้ไขที่ชัดเจน รัฐยังไม่สามารถหาทางคลี่คลายได้ กอปรกับสถานการณ์ในปัจจุบันยังสุ่มเสี่ยงต่อการยุยง และถูกบิดเบือน สร้างภาพให้เป็นเกมการเมืองของฝ่ายตรงข้าม ทั้งที่เป็นความเดือดร้อนที่แท้จริงของชาวสวนยาง
“ตอนนี้สถานการณ์อยู่ในจุดที่อันตราย เพราะทางการใช้วิธีปราบรุนแรง ไปเอากำนัน เอาผู้ใหญ่บ้านมา ชาวบ้านเขาถึงต้องไปเอาเส้งเอียดมา ชาวบ้านต้องพึ่งเส้งเอียด แล้วตอนนี้สิ่งที่ผมกลัวคือเขาอาจจะทำให้คนใต้ละเลงเลือดกันเองแล้วเขาก็ปราบ เขาใช้วิธีแบบลัทธิละเลงเลือด เป็นวิธีที่เหี้ยมโหดมาก”
ส่วนจอมโจรเส้งเอียดที่เข้าร่วมชุมนุม รวมทั้งกลุ่มลูกขวานลอยลมที่รับหน้าที่เป็นการ์ดผู้ชุมนุม ซึ่งถูกฝ่ายรัฐฉายภาพว่ามีส่วนให้เกิดสถานการณ์ความรุนแรงนั้น รศ.ดร. ณรงค์ สะท้อนความจริงอีกด้านหนึ่งว่า
“ความยิ่งใหญ่ของจอมโจรเส้งเอียดนี่ แม้แต่คนที่ถูกเรียกว่าเป็นขุนโจรนะ ถ้าได้ยินชื่อเส้งเอียด ขุนโจรก็ยังกลัว”รศ.ดร. ณรงค์กล่าวว่า ก่อนจะมีชื่อเป็นจอมโจร เดิมทีเส้งเอียดเป็นนักเลงหัวไม้
“แถวบ้านนอกเรียก “หัวไม้” ต่อมาเขาก็ถูกกล่อมเกลาโดยพรรคคอมมิวนิสต์ เขาก็เข้าป่าไปเป็นนักรบ ซึ่งเป็นนักรบที่กล้าหาญมากนะ แล้วเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์สลายตัวไป ก็เกิดเหตุการณ์ที่มีทหารพรานไปฆ่าน้องชายเขา เขาก็เลยตามล่า ตามฆ่า แล้วก็ตัดสินใจเข้าป่าไป แล้วหนีเข้าป่าไปไม่มีอะไรกิน ก็เลยไปเป็นโจรเรียกค่าไถ่ เน้นจับนายทุนเป็นหลัก
ต่อมาเขาโดนจับ ก็โดนโทษจำคุก 125 ปี แต่พออยู่ในคุกเขาประพฤติตัวดีก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษทุกปีๆ จนกระทั่งเหลือโทษจำคุก 20 ปี ดังนั้น เขาจึงประกาศเลยว่า ตลอดทั้งชีวิตที่เหลือของเขา เขามอบในหลวงทั้งชีวิต ก่อนจะมีม็อบสวนยาง 7 วัน ไทยพีบีเอสก็ทำสารคดีเรื่องเส้งเอียด เขาก็พูดแบบนี้ ทั้งชีวิตมอบให้ในหลวง แล้วก็ถูกคนเสื้อแดงเอาไปโจมตี”
รศ.ดร.กล่าวอีกว่า ตามวิสัยของคนใต้ที่มีความรักใคร่สามัคคีกันอย่างแน่นแฟ้น เมื่อเพื่อนพ้องเดือดร้อน จอมโจรเส้งเอียดจึงเข้าร่วมด้วยในการชุมนุมครั้งนี้ โดยที่นามของจอมโจรเส้งเอียดก็เป็นที่เกรงขามไปทั่วทั้งปักษ์ใต้ โดยมีจอมโจรไข่หมูก หรือ “เจิม เส้งเอียด” เป็นพี่ชายคนโต และมีพี่น้องรวมกัน 20 คน และแม้จอมโจรเซ่งเอียดจะมีภูมิลำเนาคนจังหวัดพัทลุง แต่ก็เป็นที่รู้จักไปทั่วภาคใต้ ไม่เว้นแม้ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ รศ.ดร.ณรงค์
“พอออกมาจากคุก เส้งเอียดเขาก็พาคนในตระกูลของเขาจัดตั้งเป็นกองกำลังพิทักษ์ป่า พิทักษ์เทือกเขาบรรทัด เขารักษาป่าไม่ให้นายทุนเข้ามารุกป่า แล้ววันนี้เขาก็มาร่วมชุมนุม ก็จะให้ทำยังไงก็คนใต้รักพวกพ้อง”
ส่วนกลุ่มลูกขวานลอยลมที่เป็นการ์ดนั้น นักเศรษฐศาสตร์รายนี้กล่าวว่าเป็นกลุ่มหนุ่มๆ วัยใกล้เคียงกัน มีหลายกลุ่ม เป็นนักเรียนอาชีวะบ้าง เป็นหนุ่มสำราญ เป็นหนุ่มเสเพลงที่มักรวมกลุ่มกันสังสรรค์บ้าง
แต่ข้อดีของกลุ่มนี้ก็คือเมื่อมีการไหว้วานขอแรงก็มักจะรวมกลุ่มกันเหนียวแน่น ไปไหนไปกัน
“พอมารวมกันแล้วเขาเฮไหน เฮนั่น มีทั้งดีและไม่ดีนะ แต่ข้อดีคือเป็นกลุ่มเป็นก้อนแต่อาชีพหลักของคนเหล่านี้คือเขาทำสวนยางนะ คราวนี้เขาก็มาชุมนุมด้วย จะทำยังไงก็พี่นองชาวใต้เขารักกัน แล้วแบบนี้จะมาเรียกว่าการเมืองหรือเปล่า ถ้าบอกว่านี่เป็นการเมือง มีคนหนุนหลัง ก็ต้องถามกลับ จตุพร ( พรหมพันธุ์ ) คนใต้ไหม, ณัฐวุฒิ ( ใสยเกื้อ ) คนใต้ไหม, ธิดา ( ถาวรเศรษฐ์ ) คนใต้ไหม แล้วใครหนุนหลังคนพวกนี้” รศ.ดร.ณรงค์ถามทิ้งท้ายอย่างเป็นปริศนา
รศ.ดร.ณรงค์ ยังกล่าวถึงรากเหง้าปัญหาราคายางพาราว่า มาจากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดนับแต่รัฐบาลไทยรักไทยกระทั่งยุครัฐบาลเพื่อไทยก็ยังคงไม่มีมาตรการที่แก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม รัฐยังประเมินสถานการณ์ผิดไปในการรับมือปัญหายางพาราล้นตลาด ส่วนคำอธิบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่อ้างว่ารับจำนำข้าวแต่ไม่รับจำนำยางพาราเพราะชาวนาทำนาปีละครั้งส่วนชาวสวนยางทำสวนยางทุกวัน จึงมีรายได้ทุกวันนั้น ก็ไม่ได้สะท้อนปัญหาที่แท้จริงแต่อย่างใด
รศ.ดร.ณรงค์กล่าวว่าความผิดพลาดประการหนึ่งของรัฐบาลคือการพึ่งพาการส่งออกมากเกินไป ทั้งที่รัฐบาลรับรู้อยู่แล้วว่าตลาดการส่งออกยางพาราของไทยนั้น ผู้นำเข้าคือตลาดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วซึ่งมีอำนาจต่อรองสูง แม้ไทยจะเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ก็ตาม แต่ความต้องการหรือไม่ต้องการจะขึ้นอยู่กับผู้ซื้อเป็นหลักนอกจากนี้ รัฐบาลยังประเมินสถานการณ์ผิดพลาดด้วยกรขยายพื้นที่เพาะปลูก โดยหวังว่าจีนจะรับซื้อ ทั้งที่จีนส่งสัญญาณว่ามีความต้องการยางพาราจากไทยลดน้อยลงในตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา
“ไทยคุมตลาดโลกอยู่ 30 % ความต้องการตลาดโลกอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านตัน เราส่งออก 30 ล้านตัน การส่งออกของเราแข็งแรงมากแต่เราพึ่งพาการส่งออกมากเกินไป ไม่พึ่งตลาดแข่งขันในประเทศและในการส่งออกก็มีการผูกขาดตัวแทนการส่งออกด้วย เมื่อพึ่งพาตลาดส่งออกมากเกินไปเราจึงไม่สามารถรักษาเสถียรภาพตลาดโลกได้ ดังนั้น เราก็ควรจะลดการส่งออกลง ซึ่งข้อเสนอนี้เคยเสนออย่างเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ทั้งการปรับโครงสร้างทาง กม โดยผมเป็นผู้ร่วมเขียนร่างการยาง ) ร่างขึ้นมา เพื่อปรับเปลี่ยนการค้าขาย การผลิตต่างๆ แต่จนปัจจุบันก็ยังไม่มีการประกาศใช้แต่อย่างใด”
สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รศ ดร ณรงค์กล่าวว่า สืบย้อนไปถึงการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาดมานับแต่ปี 2547 ซึ่งในปีนั้น น้ำมันขยับราคาแพงขึ้น ทำให้ยาวสงเคราะห์ปรับราคาสูงขึ้นตามไปด้วย คนจึงหันมาใช้ยางจากธรรมชาติมากขึ้น
“จีนมีความต้องการยางพาราสูงมาก เพราะความต้องการในการผลิตรถยนต์ของเขามีมากขึ้น โดยเฉพาะในปี 2546-2547 ช่วงนั้น เราจึงขายยางได้เพิ่มขึ้น เพราะจีนต้องการยางปีละ 3 ล้านตัน เราส่งให้จีนสูงถึงปีละ 1.6 ล้านตัน เพราะเหตุนี้ รับบาลจึงมองผิดพลาด เพราะเห็นแค่ว่าขายยางได้ดี เขามองเฉพาะระยะสั้น ไม่วางแผนระยะยาว ไม่สนใจการแปรรูปแล้วคิดแต่จะขายยางดิบอย่างเดียว ก็มองไปที่จีนเป็นหลัก”
ขณะที่ในเวลาต่อมา จีนเองก็ต้องมีหลักประกันในการผลิตยางพาราให้ประเทศตัวเอง ในที่สุดจีนจึงรณรงค์ให้มีการปลูกยางทางภาคใต้ของประเทศ และเข้ามาทำไร่ยางพาราในเขมร พม่า ปัจจุบัน จีนจึงผลิตยางพาราได้เองและเพียงพอต่อความต้องการของตน ดังนั้น การที่ไทยจะหวังขายให้จีนเหมือนเดิม จึงเป็นไปไม่ได้
“และจีนเองก็ส่งสัญญาณมายังเรา 4-5 ปีแล้ว แต่รัฐบาลไม่สนใจ กลับคิดแต่จะเพิ่มพื้นที่ปลูกยาง คำตอบก็เพราะมันมีนักการเมืองบางราย ของพรรคไทยรักไทยในยุคนั้น ซึ่งก็เป็นพรรคเพื่อไทยปัจจุบัน ไปปลูกยางทางอิสาน รายละ1,000-2,000 ไร่ เพราะการปลูกยางใหม่ในอิสานตอนนั้น ได้รับการส่งเสริมจากกองทุนสวนยาง ให้ผู้ปลูกยางรายใหม่ไร่ละ 3,000-4,000 บาท โดยเงินที่นำมาจ่ายให้ผู้ปลูกยางรายใหม่ในอิสานนี้ ก็เป็นเงินจากกองทุนเซส์ ซึ่งเป็นกองทุนที่เกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษจากการส่งออกยาง โดยผู้ส่งออกเป็นคนจ่าย เมื่อผู้ส่งออกจ่าย เขาก็จะผลักภาระไปยังเจ้าของสวน ไม่ให้ราคายางเพิ่มมากเกินไป ซึ่งผู้ที่รับภาระกองทุนเซส์มากที่สุดคือชาวสวนยางในภาคใต้ แต่ 4-5 ปี ที่ผ่านมา กองทุนนี้ถูกนำไปให้ชาวสวนยางในภาคเหนือและภาคอิสาน ทั้งที่คนที่รับภาระจ่ายเงินเข้ากองทุนนี้มากที่สุดคือชาวสวนยางในภาคใต้”
รศ.ดร ณรงค์ย้ำว่า นับแต่ปี 2546-2547 รัฐบาลก่อความผิดพลาดคือการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกมากเกินไป กระทั่งทำให้ยางพาราล้นตลาดในตอนนี้ และปัจจุบัน รัฐบาลก็ยังทำอยู่ โดยไม่ดูว่าตลาดโลกเป็นอย่างไร และรัฐบาลก็ยังคงเมินเฉยต่อการแก้ไขปัญหาอย่างเป้นรูปธรรม ด้วยการสนับสนุนการแปรูปยางพารา และส่งเสริมให้มีการแข่งขันภายในประเทศ
“ก่อนที่จะมีการเพิ่มพื้นที่ปลูกยาง ผมเป็นที่ปรึกษาให้คุณประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ เขาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของพรรคไทยรักไทย เขามอบภาระให้ผมคิดเรื่องการวางแผนพัฒนายางพาราอย่างครบระบบ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว ให้ราคามีเสถียรภาพ ไม่ขึ้นๆ ลงๆ ตามตลาดโลก ในด้านระเบียบ กฏเกณฑ์เราก็ร่างพ.ร.บ.การยางแล้ว ส่วนการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม เราก็จะสร้างเมืองยางหรือรับเบอร์ ซิตี้ ที่คลองฉลุง จ. สงขลา โดยจะทำเป็นพื้นที่สำหรับแปรรูปยางพาราโดยเฉพาะ ใช้พื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรมเก่าที่กระทรวงอุตสาหกรรมอนุมัติ โครงการก็เดินหน้าไป แต่พอจะทำจริงๆ ก็มีการปรับครม. เขาย้ายคุณประพัฒน์ ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรมชาติและสิ่งแวดล้อม แล้วคุณเนวินมาดูแลเรื่องยางแทน ผมก็ถูกคุณประพัฒน์ดึงไปช่วยงาน ส่วนเรื่องยางพาราของเนวินก็กลายเป็นอีกแบบ ก็มีปัญหาเรื่องพันธุ์กล้ายางตามมาในตอนนั้น เพราะเขาไปขยายพื้นที่เพาะปลูกแล้วหาพันธุ์ยางไม่ทัน นอกจากนี้ ในเวลาต่อมาผมก็ลาออกจากพรรคนี้ ไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยเพราะเขาไม่สนใจความเดือดร้อนของพื้นที่ที่ไม่มี ส.ส.ของพรรค”
“เมื่อราคายางตก ความรู้สึกชาวบ้านทั่วไปก็คือเมื่อข้าวราคาตก รัฐบาลก็ประกันราคาในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดโลก เพราะฉะนั้น เมื่อรัฐบาลบอกว่า ทำไม่ได้ ตลาดโลกราคาต่ำ มันจึงเป็นคำอธิบายที่ขัดความรู้สึก เพราะทำไม ข้าวทำได้ ชาวบ้านเขาไม่คิดซับซ้อนหรอกครับ เขาคิดตรงๆ แล้วเมื่อรัฐ อธิบายว่า เพราะข้าวทำได้ปีละหน ส่วนยางทำได้ทุกวัน ก็ไม่ใช่คำอธิบายที่เหมาะสม เพราะชาวสวนยาง ทำทุกวันก็จริง แต่รายได้เขาต่ำ”
แต่การทำยางพาราของชาวสวนยางในภาคใต้นั้น ต้องทำทุกวัน เขาไปรับจ้าง ขายแรงงานที่อื่นไม่ได้ เขาต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 รอให้น้ำยางออกมาแล้วก็เก็บถ้วย เอาน้ำยางในถ้วยใส่ถัง หิ้วถังกลับบ้านพอหิ้วถังมากี่ถังก็ต้องคอยเฝ้าอีก เดี๋ยวหาย พอใส่น้ำกรดให้ยางแข็ง ก็เอามารีดเป็นแผ่นๆ แล้วก็ต้องคอยเฝ้าอีกว่าได้กี่แผ่น กลัวมันหาย ลูกจ้างจะขโมยไหม ตอนผึ่งแดดก็ต้องคอยเฝ้าอีก ดังนั้น การทำสวนยางมันต้องเฝ้าดูตลอดเวลา มันไม่เหมือนนาปี ดังนั้น เมื่อรัฐไม่เข้าใจ จึงมองว่าชาวสวนยางทำสวนทุกวัน ก็ต้องมีรายได้มากกว่า ซึ่งมันเปรียบกันไม่ได้
…
ชมคลิป เส้งเอียด ประกาศจุดยื่นกลับตัวกลับใจ ปกป้อง ทรัพยากรธรรมชาติ (http://www.youtube.com/watch?v=6apPFijMqbs)