- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- “ณัฏฐา โกมลวาทิน” ตอบโจทย์ สื่อไทย ในวันถูก "กสทช.” ฟ้องหมิ่น
“ณัฏฐา โกมลวาทิน” ตอบโจทย์ สื่อไทย ในวันถูก "กสทช.” ฟ้องหมิ่น
“กรณีที่เกิดขึ้นอยากให้สื่อในไทยตื่นตัวว่า อาจกำลังมีความพยายามที่จะปิดกั้นในเรื่องการตรวจสอบประเด็นต่าง ๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับสาธารณะ ซึ่งตรงนี้สื่อจะละเลยไม่ได้ สื่อต้องยืนหยัดที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบประเด็นเหล่านี้ต่อไป"
เมื่อกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ยื่นฟ้องต่อ “ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์” นักวิจัยจากทีดีอาร์ไอ และ “ณัฏฐา โกมลวาทิน” ผู้ดำเนินรายการสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ในข้อหาหมิ่นประมาท
จากกรณีที่ “ดร.เดือนเด่น” ได้หยิบผลงานวิจัยที่ประเมินความเสียหายจากการที่กสทช.ออกมาตรการขยายเวลาคลื่น 18000 MHz ผ่านรายการ “ที่นี่ไทยพีบีเอส” ซึ่งมี “ณัฏฐา” เป็นผู้ดำเนินรายการ เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2556 ที่ผ่านมา
คำถามจากหลายคนใน “วงการสื่อ” พุ่งตรงไปยัง ”กทค. – กสทช.” ว่าการกระทำดังกล่าวถือเป็นการลุแก่อำนาจ พยายามจะปิดปากเสรีภาพสื่อหรือไม่ ?
เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2556 สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ไม่รอช้าต่อสายตรงไปยัง “ณัฏฐา” เพื่อไขข้อข้องใจทั้งหมด และเปิดใจถึงการทำหน้าที่ขององค์กรกำกับดูและสื่อ และอนาคตของวงการสื่อไทย “ในยุคเปลี่ยนผ่าน”
อันนำมาซึ่งการตอบโจทย์สื่อประเทศไทย ในยุคปัจจุบัน ที่ว่ากันว่ากำลังเตรียมความพร้อมเข้าสู่การปฏิรูปจริงหรือ?
@หลังจากถูกฟ้องรู้สึกอย่างไรบ้าง
รู้สึกว่าการทำหนื้ที่ของสื่อก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ที่จะถูกตรวจสอบ หรือฟ้องร้อง แต่ก็ยืนยันว่าในยุคนี้ที่กำลังเตรียมพร้อมเข้าสู่การปฏิรูปสื่อ เราก็ควรเตรียมพร้อมก้าวให้ทัน และประหลาดใจที่มีการกระทำแบบนี้ ซึ่งก็เข้าข่ายว่าต้องการที่จะลิดรอนสิทธิเสรีภาพกับการตั้งคำถามเกี่ยวกับผลประโยชน์ของชาติ และของประชาชน ซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้นในยุคนี้
@ ในฐานะคนทำงานด้านสื่อมองอย่างไรกับการโดนฟ้องร้องครั้งนี้
คิดว่าเรื่องการฟ้องร้องสื่อ มันไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย แต่ก็แปลกใจที่มันเกิดขึ้น ในยุคที่เปลี่ยนผ่านไปสู่สื่อยุคดิจิตัล ยุคโทรคมนาคม ที่มันต้องทำงานอย่างเปิดกว้าง สื่อควรที่จะได้รับพันธกิจ สื่อเองก็สมควรที่จะเปิดกว้าง มีโอกาสตรวจสอบได้รอบด้านมากขึ้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การออกมาตรการขยายเวลาคลื่น 1800 MHz ที่กำลังจะหมดสัมปทานลงในวันที่ 15 ก.ย. 2556 เป็นเรื่องสำคัญ และเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศชาติ และเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประชาชน ฉะนั้นเป็นหน้าที่ของสื่อที่จะถามในเรื่องนี้ และหาข้อมูลมาตรวจสอบในเรื่องนี้
“นักวิชาการก็มีสิทธิที่จะตั้งคำถาม นำข้อมูลต่าง ๆ มาเปิดเผยได้อย่างเป็นอิสระ ซึ่งองค์กรที่เกี่ยวข้อง หรือว่าองค์กรที่ถูกพาดพิงในข่าว ถ้ารู้สึกว่าไม่เป็นธรรม หรือว่ารู้สึกมีคำถาม ก็น่าที่จะถามกลับมายังสื่อ เพื่อที่จะบอกเราว่า อยากจะชี้แจงให้รอบด้านมากกว่านี้ แทนที่จะใช้วิธีกระบวนการทางศาลมาฟ้องร้อง เพราะสื่อเองก็ทำหน้าที่ตรวจสอบ ตั้งประเด็น ตรวจสอบให้รอบด้าน ซึ่งก็เป็นความพยายามของเราในการทำหน้าที่ของสื่อ เพื่อปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ”
@ องค์กรที่ถูกพาดพิงควรทำหนังสือชี้แจงไปทางสื่อก่อน ไม่ใช่ดำเนินการทางกฎหมายเลยใช่หรือไม่
ใช่ แทนที่จะฟ้องร้องเลย หรือการตั้งข้อสังเกตว่า ถ้ารู้สึกว่าเรารายงานไม่รอบด้าน หรือไม่สมเหตุสมผล ควรจะฟีดแบ็กกลับมาที่ตัวสื่อเอง หรือว่าข้อมูลของนักวิชาการ ไม่ใช่ข้ามขั้นตอนไปถึงการฟ้องร้อง ยื่นหนังสือให้ศาล เพื่อใช้กระบวนการยุติธรรมเข้ามาในกรณีนี้ และก็คิดว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุ เพราะไม่ใช่เป็นการไปกล่าวหา
“แต่ถ้าเป็นแค่การตั้งข้อสังเกตว่า ถ้ากสทช.เดินหน้าต่ออายุสัญญาสัมปทาน ก็จะทำให้ประเทศไทยสูญเสียผลประโยชน์ ซึ่งตรงนี้เป็นการตั้งข้อสังเกตเท่านั้น เป็นแค่การตรวจสอบข้อมูลของนักวิชาการ รวมถึงในรายงานเราก็ได้อ้างอิงความเห็นของ เลขาฯกสทช. ด้วยว่าทางนั้นมองว่าอย่างไร คือเป็นความพยายามของสื่ออยู่แล้วที่จะพยายามมองภาพให้รอบด้านมากที่สุด ถ้าทาง กสทช. หรือ กทค. ไม่พอใจ ก็น่าจะฟีดแบ็กกลับมาโดยตรงที่ทางสื่อก่อน หรือตัวนักวิชาการ ไม่ใช่ข้ามขั้นตอนแบบนี้”
@ควรปฏิรูปสื่อให้เป็นสากล ไม่ใช่ปล่อยให้ถูกคุกคามแบบนี้
ในยุคเปลี่ยนผ่าน การปฏิรูปคลื่น การประมูลทีวีดิจิตัล ทุกอย่างจะต้องโปร่งใส เป็นขั้นตอนมากยิ่งขึ้น จากระเบียบในสังคม จากกลไกต่าง ๆ ให้ทำงานได้อย่างเสรี ทำงานได้อย่างรอบด้าน แต่ในเมื่อมาเกิดในยุคเปลี่ยนผ่านแบบนี้ เราก็อดสงสัยไม่ได้ว่า องค์กรที่เข้ามากำกับดูแลสื่อมีทัศนคติกับสิทธิเสรีภาพในการทำงานของสื่ออย่างไร
“เราต้องยอมรับว่าสื่อจะต้องทำงานอย่างมีความรับผิดชอบ สื่อก็ต้องตั้งมั่นในการนำเสนอเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เราทำงานโจมตีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแค่ฝ่ายเดียว เพราะหน้าที่ของการตรวจสอบ หน้าที่ของการตรวจสอบข้อมูล ควรเช็คข้อมูลต่างๆ ก็เป็นหน้าที่ของสื่อที่จะต้องทำ และตั้งคำถามที่กำลังเกิดขึ้น”
@จากกรณี กสทช. ออกร่างกำกับรายการ จนมาสู่การฟ้องร้องนักวิชาการและสื่อ มันสะท้อนอะไรต่อสังคม
สะท้อนว่าสื่อเองจะต้องตื่นตัวอย่างมาก เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวที่กำลังเกิดขึ้น โดยทาง กสทช. กทค. กำลังพาเราย้อนยุคกลับไปสู่ในยุคควบคุม ถูกกำกับ ถูกกำหนด แม้แต่เสรีภาพในการตั้งคำถามกับเสรีภาพในการตรวจสอบหรือไม่
เพราะจริงๆเราเดินมาไกลแล้ว แต่ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอาจกำลังพาเราย้อนยุคอาจจะเป็นกรณีศึกษาก็ได้ ว่าองค์กรที่ทำหน้าที่ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ และโซเชี่ยลมีเดียต่าง ๆ จะเกี่ยวข้องโดยตรง หากถูกตั้งคำถามหรือถูกฟ้องร้องแบบนี้ อาจรู้สึกตกใจ และก็ไม่อยากจะทำหน้าที่และตั้งคำถามในประเด็นเหล่านี้
“กรณีที่เกิดขึ้นอยากให้สื่อในไทยตื่นตัวว่า อาจกำลังมีความพยายามที่จะปิดกั้นในเรื่องการตรวจสอบประเด็นต่าง ๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับสาธารณะ ซึ่งตรงนี้สื่อจะละเลยไม่ได้ สื่อต้องยืนหยัดที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบประเด็นเหล่านี้ต่อไป ปฏิเสธไม่ได้เพราะเรื่องของคลื่นความถี่เป็นผลประโยชน์ เป็นสมบัติของประเทศ เราต้องยืนหยัดในการทำหน้าที่และตั้งคำถาม นำเสนอความจริงให้รอบด้าน ที่สุดแล้วประชาชนก็จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเชื่อข้อมูลของฝ่ายใด แต่เราต้องรับผิดชอบที่จะนำเสนอให้รอบด้านมากที่สุด”
@จะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ต้องรอดู ต้องปรึกษากับทีมกฎหมายของไทยพีบีเอสด้วย ซึ่งก็มีทีมกฎหมายอยู่ ว่าจะเตรียมที่จะดำเนินการอย่างไรต่อไป ต้องประชุมกันต่อไป
@มองอนาคตวงการข่าวในยุคเปลี่ยนผ่านอย่างไร
ต้องตื่นตัวให้มาก ว่าสิทธิเสรีภาพของสื่อเป็นสิ่งที่เราต้องต่อสู้ ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นง่าย ๆ ที่ใครจะหยิบยื่นให้ เป็นเรื่องที่ต้องปกป้องและรักษาไว้ ไม่ใช่ว่ามีใครตั้งคำถามและเราก็ถอย ไม่ยอมที่จะเดินหน้าในประเด็นเหล่านั้นต่อ เพราะเป็นหน้าที่ที่สื่อจะต้องเดินหน้า
“ดิฉันคิดว่าเราต้องเดินหน้าไม่ใช่เฉพาะองค์กรนี้ แต่ว่าเราต้องตรวจสอบทุกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ องค์กรอิสระ ใช้เงินภาษีของประชาชน เราต้องยิ่งตรวจสอบการทำงานมากขึ้น เช่นเดียวกับไทยพีบีเอสเอง ใครมีคำถามก็สามารถที่จะตรวจสอบไทยพีบีเอสได้เช่นเดียวกัน”