- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- top secret:เปิดบันทึกลับ สวนโมกข์ ฉบับ "เมตตา พานิช"
top secret:เปิดบันทึกลับ สวนโมกข์ ฉบับ "เมตตา พานิช"
"...หากดูจากคำสั่ง เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อปฏิบัติจริงกลับเป็นเรื่องไม่ธรรมดา นับตั้งแต่ จะให้เซ็นรับทราบคำสั่ง ไม่ยอบรับการขอผ่อนผันว่า รอให้ถึงสิ้นเดือนก่อน จนต้องไปตามเจ้าอาวาสมาตัดสิน เจ้าอาวาสแนะนำให้ท่านจ้อยปฏิบัติตาม ดังนั้นข่าวที่ออกมาในตอนเย็นจากชาวบ้านบอกกันปากต่อปาก จึงกลายเป็น ท่านจ้อยถูกขับออกจากหน้าที่การเงินของวัด..”
(ภาพจาก manager)
"เล่าเรื่องสวนโมกข์ยุค คิดใหม่ ทำใหม่ ฉับไว โปร่งใส ตรวจสอบได้"
(มกราคม – สิงหาคม ๒๕๕๖)
ประชุมครั้งแรกร่วมกับว่าที่ เจ้าอาวาสใหม่
๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๕
มีการนัดประชุมกันเป็นการภายใน ที่ประชุมประกอบด้วย พระอาจารย์โพธิ์ พระอาจารย์สุชาติ และพระอาวุโสอีก ๒ รูป ฝ่ายฆราวาสมี ผม เป็นตัวแทนธรรมทานมูลนิธิ หมอบัญชา เป็นตัวแทนมูลนิธิหอจดหมายเหตุฯ และมีผู้ติดตามอีก ๒ ท่าน การประชุมวันนั้น ผมได้แจกเอกสารที่เป็นลายมือท่าน พุทธทาสที่ท่านเขียนเกี่ยวกับระเบียบสงฆ์ เงินไม่ใช่ของวัด ของสวนโมกข์ และในกาลอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น สวนโมกข์อยู่โดยคณะธรรมทาน...
เมื่อมีการเสนอเรื่องนี้ พระอาจารย์สุชาติ พูดว่า ท่านไม่มีบารมีพอ ไม่อาจทำตามแบบที่ท่าน พุทธทาสทำมาก่อนได้ ในที่ประชุมพยายามให้กำลังใจและรับปากว่าจะพยายามปรับเปลี่ยนให้ไม่ขัด กับระเบียบของสงฆ์ แต่ให้คงรักษาแนวทางที่ท่านพุทธทาสวางไว้ด้วย
เหตุการณ์ช่วง มกราคม ๒๕๕๖
ช่วง ๑ - ๑๕ มกราคม ๒๕๕๖
พระอาจารย์สุชาติได้รับแต่งตั้งให้รักษาการเจ้าอาวาส เมื่อปลายเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ และปลดรักษาการเมื่อต้นเดือนมกราคม ปี ๒๕๕๖ รับตำแหน่งและมีอำนาจเต็มตามกฎหมายและระเบียบของคณะสงฆ์
เมื่ออำนาจตามกฎหมาย(ตราตั้ง) อยู่เหนืออำนาจโดยธรรม(ท่านพุทธทาสตั้ง)
(เอกสาร ๔)
วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๖ พระอาจารย์สุชาติออกหนังสือ โดยพระอาจารย์ทองสุข เป็นที่ปรึกษา แจ้งการเปลี่ยนแปลงการทำงาน ด้วยแนวคิด โปร่งใส ตรวจสอบได้ ปรับเปลี่ยนท่านจ้อยออกจากตำแหน่ง ตั้งพระ ๒ รูป ทำหน้าที่แทน เริ่มตั้งแต่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๖
หากดูจากคำสั่ง เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อปฏิบัติจริงกลับเป็นเรื่องไม่ธรรมดา นับตั้งแต่ จะให้เซ็นรับทราบคำสั่ง ไม่ยอบรับการขอผ่อนผันว่า รอให้ถึงสิ้นเดือนก่อน จนต้องไปตามเจ้าอาวาสมาตัดสิน เจ้าอาวาสแนะนำให้ท่านจ้อยปฏิบัติตาม ดังนั้นข่าวที่ออกมาในตอนเย็นจากชาวบ้านบอกกันปากต่อปาก จึงกลายเป็น “ท่านจ้อยถูกขับออกจากหน้าที่การเงินของวัด”
ท่านสิงห์ทองตอบโต้อำนาจที่ไม่ชอบธรรม
ท่านสิงห์ทองทราบข่าวนี้ จึงรีบเดินทางกลับมาถึงสวนโมกข์ในตอนเย็นของวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๖ ท่านรวบรวมพระเก่าได้ประมาณ ๘ รูป ชักชวนกันไปหาพระอาจารย์สุชาติที่กุฏิในคืนนั้น เวลาประมาณ ๑ – ๒ ทุ่ม ขอให้พระอาจารย์สุชาติถอนคำสั่ง แต่พระอาจารย์สุชาติตอบว่า คำสั่งออกไปแล้วไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ พระที่ไปด้วยบางรูปไม่พอใจและใช้ถ้อยคำรุนแรงกับพระอาจารย์สุชาติ รุ่งเช้า พระอาจารย์สุชาติตัดสินใจขึ้นรถกลับไปหัวหิน ไปพักที่สำนักสงฆ์เขาสันติ ที่ซึ่งท่านเคยอยู่เดิม และส่งข่าวว่าจะขอลาออก...
สวนโมกข์เข้าไปติดกับดักของอำนาจรัฐ...
ช่วง ๒๒ – ๒๖ มกราคม ๒๕๕๖
หลายฝ่ายที่ใกล้ชิดพยายามให้กำลังใจพระอาจารย์สุชาติ ในที่สุดท่านเดินทางกลับสวนโมกข์ คราวนี้พระอาจารย์ทองสุขมีบทบาทชัดเจนมากขึ้น แนะนำให้เข้าพึ่งระบบอำนาจรัฐ พระมหาจรัล ผู้ช่วยเจ้าอาวาส และเป็นเลขาส่วนตัวเจ้าคณะอำเภอ พาพระอาจารย์สุชาติไปปรึกษาเจ้าคณะอำเภอ ติดต่อคุณหมอจักรธรรม ธรรมศักดิ์ เชื่อมต่อนายสิปป์บวร แก้วงาม ผู้อำนวยการสำนักพุทธศาสนาจังหวัดสุราษฎร์ นัดปรึกษากันเกี่ยวกับการดำเนินงานของสวนโมกข์ตามแนวทางของคณะสงฆ์ มีการปรึกษากันเรื่องการตั้ง ไวยาวัจจกร ผมได้ทราบว่าในตอนแรกนั้น มีแนวคิดเชิญทางสำนักพุทธมาเป็นไวยาวัจจกรร่วมด้วยอีกท่านหนึ่ง แต่เมื่อกลับมาแล้ว พระอาจารย์สุชาติได้ปรึกษากับอีกหลาย ๆ ท่าน ที่เคยทำงานใกล้ชิด ท่านพุทธทาส ในที่สุดท่านจึงตัดสินใจตามคำแนะนำนั้น
ช่วงประมาณวันที่ ๒๕ หรือ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๖ พระอาจารย์ทองสุข ทำหน้าที่แทนเจ้าอาวาส มีพระอาจารย์สุชาติเป็นประธาน เรียกประชุมพระผู้ช่วยอาวุโสอื่น ๆ ลงมติรับรองการแต่งตั้งไวยาวัจกรทั้ง ๕ คน เพื่อให้เสร็จทันก่อนการประชุมองค์กรร่วมในวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๖ ที่จะถึงอีก ๑ – ๒ วันข้างหน้า ไวยาวัจจกรที่ตั้งในวันนั้นมี ดังนี้
นายนิคม เจตน์เจริญรักษ์ กรรมการมูลนิธิพุทธทาส
กรรมการมูลนิธิหอจดหมายเหตุฯ
อาจารย์โพธิพันธุ์ พานิช รองประธานธรรมทานมูลนิธิ
กรรมการมูลนิธิหอจดหมายเหตุ
นายกิตติศักดิ์ รุ่งเรืองวัฒนชัย คณะทำงานหอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ
นายณรงค์ เสมียนเพชร เจ้าของกิจการร้านอาหารเพื่อนเดินทาง
นายธวัชชัย จันทร์แดง เด็กวัดหลานแม่ชีประเทือง
ประชุมองค์กรร่วมครั้งแรก ๒๘ มกราคม ๒๕๕๖ (เอกสาร ๕, ๖, ๗, ๘)
องค์ประชุม
คณะสงฆ์ อาจารย์โพธิ์ / อาจารย์สุชาติ / ท่านสมยศ /
ท่านสิงห์ทอง / ท่านเมธี / ท่านปลัดพานิช /
ท่านมหาจรัล / ท่านเฉลียว
ไวยาวัจจกร คุณนิคม / คุณโพธิพันธุ์ / คุณกิตติศักดิ์ /
คุณณรงค์ / คุณธวัชชัย
ฆราวาส คุณเมตตา / นพ.บัญชา / นพ.วิโรจน์
ผลสรุป - ให้มีองค์กรร่วมเพื่อขับเคลื่อนงานสวนโมกข์ ๔ องค์กร คือ ธรรมทานมูลนิธิ วัดธารน้ำไหล มูลนิธิพุทธทาส มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ
- นายเมตตา ส่งมอบหลักฐานการเงิน บัญชีต่าง ๆ อธิบายที่มาที่ไปของการเงินที่เกี่ยวข้องกับงานของ สวนโมกข์ทั้งระบบ
- ไวยาวัจจกร ร่วมปรึกษากำหนดรายชื่อผู้มีอำนาจ ลงนามสั่งจ่ายเงินในบัญชีของสวนโมกข์ทั้งหมด ได้ข้อตกลงดังนี้
ฝ่ายบรรพชิต พระอาจารย์สุชาติ ปัญญาทีโป เจ้าอาวาสวัดธารน้ำไหล
กรรมการธรรมทานมูลนิธิ พระภาวนา โพธิคุณ ประธานมูลนิธิพุทธทาส
กรรมการธรรมทานมูลนิธิ
พระครูใบฎีกามณเฑียร มัณฑิโร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดธารน้ำไหล
กรรมการธรรมทานมูลนิธิ กรรมการมูลนิธิพุทธทาส
พระสิงห์ทอง เขมิโย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดธารน้ำไหล
ฝ่ายฆราวาส นายนิคม เจตน์เจริญรักษ์ ไวยาวัจจกรวัดธารน้ำไหล
กรรมการมูลนิธิพุทธทาส
กรรมการมูลนิธิหอจดหมายเหตุฯ
นายณรงค์ เสมียนเพชร ไวยาวัจจกรวัดธารน้ำไหล
นายโพธิพันธุ์ พานิช ไวยาวัจจกรวัดธารน้ำไหล
รองประธานธรรมทานมูลนิธิ
กรรมการมูลนิธิหอจดหมายเหตุฯ
นายเมตตา พานิช ประธานธรรมทานมูลนิธิ
กรรมการและเหรัญญิก
มูลนิธิพุทธทาส
เงื่อนไขการสั่งจ่าย ต้องมีลายมือชื่อผู้มีอำนาจลงนาม ๒ ท่าน จากฝ่ายบรรพชิตและฝ่ายฆราวาส ฝ่ายละ ๑ ท่าน
หลังเสร็จการประชุม วันรุ่งขึ้น ผมกับคุณนิคม ได้ไปติดต่อกับธนาคาร นำหนังสือมอบอำนาจ ที่พระอาจารย์สุชาติลงนาม ไปยื่นขอเปลี่ยนแปลงกรรมการเป็นชุดใหม่ ตามที่ได้ตกลงกันในวันที่ประชุม เพื่อให้งานของสวนโมกข์เป็นไปได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะงานของสวนโมกข์ใน(วัดธารน้ำไหล) และสวนโมกข์นอก(ธรรมาศรมนานาชาติ) ในวันนั้นจึงทำเรื่องขอเปลี่ยนแปลงกรรมการเพียง ๒ บัญชี ซึ่งเป็นบัญชีออมทรัพย์ ที่ต้องทำรายการฝาก – ถอนเกือบทุกวัน ส่วนบัญชีอื่น ๆ มอบให้คุณกิตติศักดิ์ ช่วยรับไปดำเนินการให้เสร็จ ซึ่งคาดว่าน่าจะเรียบร้อยภายในเวลาไม่เกิน ๖ เดือน คุณกิตติศักดิ์ต้องช่วยงานของ หอจดหมายเหตุฯ ด้วย จึงไม่ค่อยมีเวลาว่าง (เอกสาร ๙)
ช่วงต้นเดือน กุมภาพันธ์ คุณธวัชชัย ไวยาวัจจกร เพียงคนเดียวที่มีเวลาช่วยงานเจ้าอาวาสเต็มที่ เพราะบ้านอยู่หน้าวัด และแต่เดิมก็ทำงานช่วยงานวัดอยู่ก่อนแล้ว เป็นผู้ทำหน้าที่นับเงินบริจาค และรวบรวมนำฝากเข้าบัญชีธนาคาร ช่วงนั้นเงินบริจาคยังคงนำฝากเข้าบัญชีเดิมที่เปิดไว้กับธนาคารมานาน ตั้งแต่ยุคที่ท่านพุทธทาสยังมีชีวิตอยู่ เงินบริจาคของวัดและมูลนิธิมีจุดรับบริจาคร่วมกันผ่านทางเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ในวัด
เปิดบัญชีใหม่ ตอบสนองตามระเบียบคณะสงฆ์
หลังวันตรุษจีน ประมาณวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ได้ทราบข่าวว่า พระอาจารย์สุชาติเรียกให้คุณธวัชชัย ไวยาวัจจกร มารับไปที่ธนาคาร เพื่อนำเงินบริจาคไปเปิดบัญชีใหม่ ตามคำแนะนำของเจ้าคณะอำเภอและสำนักพุทธ พระอาจารย์สุชาติแต่งตั้งพระในวัดซึ่งเป็นพระใหม่ อายุพรรษายังน้อย ทำหน้าที่ลงบัญชี รับ – จ่าย บัญชีใหม่นี้มีกรรมการที่มีอำนาจลงนามใหม่ ตามคำแนะนำของเจ้าคณะอำเภอ คือ ฝ่ายบรรพชิตมี พระอาจารย์สุชาติ เจ้าอาวาส และพระมหาจรัล ผู้ช่วยเจ้าอาวาส (เลขานุการเจ้าคณะอำเภอ) ส่วนฝ่ายฆราวาสมี ๒ ท่าน คือ นายณรงค์ และคุณธวัชชัย ไวยาวัจจกร ตั้งแต่นั้นมา การเงินของวัดที่รับมาจากการบริจาคที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ถูกเปลี่ยนเป็นระบบของคณะสงฆ์ แบบวัดธรรมดาทั่ว ๆ ไป เนื่องจากไวยาวัจจกรท่านอื่น ๆ ไม่มีเวลาว่าง คุณธวัชชัย จึงทำหน้าที่ดูแลเรื่องการเงินทั้งหมด ร่วมกับท่านพระอาจารย์สุชาติ และพระมหาจรัล
สวนโมกข์เข้าสู่ยุคไฮเทคฯ
พระอาจารย์สุชาติไม่ได้อยู่สวนโมกข์นานแล้ว นับตั้งแต่ท่านพุทธทาสมรณภาพ ท่านอาจารย์โพธิ์ได้แต่งตั้งให้ท่านอาจารย์สุชาติ ดำรงตำแหน่งรองเจ้าอาวาส ช่วงแรกท่านอยู่ช่วยงานสวนโมกข์อยู่ระยะหนึ่ง หลังจากนั้น ท่านย้ายไปอยู่ที่สำนักสงฆ์เขาสันติที่หัวหิน ท่านไปช่วยสอนธรรมะที่นั่น นาน ๆ ครั้ง จึงจะลงมาพักที่สวนโมกข์ วัดธรรมดาโดยทั่ว ๆ ไป พระใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเรื่องไม่แปลกอะไร ท่านอาจารย์โพธิ์พยายามรักษาแนวทางของท่านพุทธทาสไว้ จึงได้ขอร้องให้พระในสวนโมกข์งดใช้ และท่านเองก็เป็นตัวอย่างที่ดี เรื่องนี้ทำได้ยาก โทรศัพท์มือถือกลายเป็นของใช้จำเป็นสำหรับทุกคนในยุคไฮเทคฯ ไปเสียแล้ว
สวนโมกข์ยุคพระอาจารย์สุชาติ จึงเป็นยุคที่ทันสมัย พระทีมงานติดต่อสั่งงานกันได้รวดเร็ว โทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับให้ใช้ได้โดยเปิดเผย ไม่ต่างจากชาวบ้าน หรือวัดธรรมดาอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป คุณธวัชชัย ไวยาวัจจกร ให้การสนับสนุนเต็มที่ จ่ายเงินซื้อมาให้ใช้ เพื่อติดต่องานต่าง ๆ ได้สะดวกและรวดเร็ว
สวนโมกข์ถึงยุคต้องนับหนึ่งใหม่ ตามแนวคิดพระอาจารย์ทองสุข
เพื่อแสดงความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เริ่มจาก
- ซองที่รับเงินบริจาคทุกซอง ต้องมีตัวเลขกำกับและมีลายเซ็นเจ้าอาวาส
- มีกรรมการตรวจนับอย่างน้อย ๓ ท่าน โดยมีเจ้าอาวาสเป็นประธาน
- พระที่จะทำหน้าที่นี้ ต้องมีหนังสือแต่งตั้งจากเจ้าอาวาส
กล้องวงจรปิด แก้วสารพัดนึกของคนในยุควัตถุนิยม
เริ่มใช้ระบบนี้ได้ไม่นาน มีปัญหาซองเงินที่รับบริจาคหาย นำไปสู่การแก้ไขปัญหาโดยการ
- ตั้งตู้รับบริจาค
- ติดตั้งกล้องวงจรปิด
ต่อมามีการจัดระบบงานธุรการ และการอบรมใหม่ ดังนี้
- งานธุรการ ติดต่อประสานงานการจัดอบรม ทำบัญชีรับจ่าย ซึ่งเดิมเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิทำอยู่ ทางวัดขอไปบริหารจัดการเอง ออกคำสั่งแต่งตั้งพระที่อยู่ในทีมงานใหม่รับผิดชอบแทนทั้งหมด
- นำระบบบริษัท มาใช้ เบิกจ่ายเงินค่าบรรยายธรรมของพระวิทยากรและทีมงาน จ่ายเงินค่าตอบแทนให้อุบาสิกาที่มาช่วยดูแลทำความสะอาดหอพักและเครื่องนอน (แต่เดิมให้ผู้มาปฏิบัติธรรมช่วยกันทำ)
- มีการเสนอให้จ่ายเงินเดือนประจำแก่พระที่มาช่วยงานที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
- ตั้งสำนักงานพระวิทยากร เพื่อประสานงานอบรม คุณธวัชชัย ไวยาวัจจกรให้ช่างต่อเติมปรับปรุงอาคารป้อมตำรวจตรงประตูทางเข้าวัด ซึ่งชั้นล่างเป็นที่จัดแสดงนิทรรศการ ชั้นบนถูกดัดแปลงเป็นสำนักงานของพระวิทยากร
- คิดทำสำนักงานเจ้าอาวาส คุณธวัชชัยสั่งช่างมาปรับปรุงตกแต่งห้องชั้นล่างของตึกที่ทำงานเดิมของท่านพุทธทาสหลังที่สอง ให้ช่างมาทาสี เดินระบบไฟใหม่ ติดพัดลม และเตรียมจะปูกระเบื้องด้วย คุณธวัชชัยมีความคิดจะทำเป็นที่ทำงานส่วนตัวด้วย เตรียมสั่งโต๊ะและตู้เอกสารสำหรับสำนักงานมาใช้ จอทีวีของกล้องวงจรปิดเดินสายต่อเข้ามาที่โต๊ะทำงานเพื่อตัวเองจะได้สะดวกในการควบคุมดูแลเงินบริจาค ผมได้ทราบข่าวจึงสั่งให้ระงับ ซึ่งต่อมากลายเป็นข่าวว่า ผมเข้ามาก้าวก่ายการทำงานของเจ้าอาวาสใหม่ ตึกนี้มีคุณค่าทางประวัติ- ศาสตร์ สำหรับไว้ใช้ศึกษาวิถีชีวิตและการทำงานของท่านพุทธทาส ตามมติ การประชุมสมัยท่านอาจารย์โพธิ์เป็นเจ้าอาวาส
คลายปมขัดแย้งเรื่องกุฏิใหม่เจ้าอาวาส
ก่อนหน้านี้ เมื่อต้นปีใหม่ มีข่าวพูดกันว่า ผมขัดขวางการสร้างกุฏิเจ้าอาวาสมาครั้งหนึ่งแล้ว ความจริงเรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ท่านอาจารย์โพธิ์จะลาออก และนิมนต์ท่านอาจารย์สุชาติมาทำหน้าที่แทน ช่วงนั้นผมยังทำหน้าที่ไวยาวัจจกร ท่านอาจารย์โพธิ์ประสงค์ให้สร้างกุฏิใหม่ให้พระอาจารย์สุชาติ เพราะกุฏิเดิมท่านอยู่ไกลมากไม่สะดวก ช่วงเดือนธันวาคม ผมนำคนงานมาช่วยปรับพื้นที่เตรียมการก่อสร้าง พื้นที่ตรงนั้นอยู่ไม่ไกลจากกุฏิท่านอาจารย์โพธิ์นัก มีสถาปนิกช่วยออกแบบให้ แบบที่ออกมาให้เป็นเรือนไทยหมู่แฝดติดกันสามหลัง ผมตัดสินใจเอาคนงานกลับไปทำงานที่ค้างอยู่ฝั่งนานาชาติ ด้วยเหตุสอง ประการ คือ หนึ่ง ปลายเดือนธันวาคม ผมพ้นจากตำแหน่งไวยาวัจจกร และสอง กุฏินี้มีรูปแบบแปลนแตกต่างไปจากกุฏิเดิมแบบสวนโมกข์
เมื่อพระนักเผยแผ่ธรรม มาทำงานบริหาร
สวนโมกข์ไม่เหมือนวัดทั่ว ๆ ไป เฉพาะงานด้านเอกสาร หนังสือเข้า - ออก ออกใบอนุโมทนาบัตร หนังสือรับรอง ฯลฯ ก็วุ่นวายทำแทบไม่ทัน ด้านการปกครองดูแลคน ทั้งพระ, ชี, และอุบาสก, อุบาสิกาที่อยู่ในวัด มีเรื่องให้ต้องปวดหัวแทบทุกวัน งานอบรมคณะต่าง ๆ ที่ติดต่อขอเข้ามา มีมาก จนแทบไม่มีเวลาได้พัก คณะทำงานของพระอาจารย์สุชาติจำนวนหนึ่งเป็นพระที่เคยมาอยู่สวนโมกข์ แต่ออกไปอยู่ที่สำนักอื่นนานแล้ว เมื่อได้รับการติดต่อให้มาช่วยงาน ก็ไม่เข้าใจระบบงานต่าง ๆ
ช่วง ๓ – ๔ เดือนแรกยังปรับตัวไม่ได้ พระอาจารย์สุชาติ จึงไม่กล้าเซ็นเอกสารต่าง ๆ กลัวจะผิดกฎหมาย จึงต้องปรึกษาพระมหาจรัลและเชื่อมต่อไปยังเจ้าคณะอำเภอ ระบบงานจึงเริ่มเข้าสู่รูปแบบของคณะสงฆ์ พระอาจารย์สุชาติเริ่มมั่นใจในการทำงานเมื่อได้รับคำแนะนำจากพระอานันท์ เป็นนักกฎหมาย เพิ่งจะบวชและเข้ามาอยู่สวนโมกข์เมื่อต้นปี เพราะศรัทธาในคำสอนท่านพุทธทาส ท่านเรียกผมไปพบเพื่อช่วยกันหาวิธีทำงานร่วมกันระหว่างมูลนิธิกับวัด ตกลงร่วมกันได้ว่า พระอาจารย์สุชาติท่านขอดูแลเฉพาะการเงินช่วงที่ท่านเข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาส ส่วนการเงินหรือบัญชีในช่วงของท่านพุทธทาสและท่านอาจารย์โพธิ์นั้น ท่านไว้วางใจให้ท่านอาจารย์โพธิ์ดูแลต่อไปตามเดิม ผมจึงได้มอบสมุดบัญชีเงินฝาก พร้อมสมุดลงบัญชีรับจ่ายที่เป็นบัญชีออมทรัพย์ทั้ง ๒ บัญชี ให้พระอานันท์รับไป ซึ่งท่านได้มอบหมายให้คุณพิศิษฐ์ อุบาสกที่ช่วยงานด้านเอกสารของพระอาจารย์สุชาติ รับไปทำ
เมื่อเริ่มต้นด้วยอวิชชา ปัญหาหรือความทุกข์ย่อมเกิด
ต่อมาคุณกิตติศักดิ์ ไวยาวัจจกรที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ทำเอกสารขอเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจลงนามสั่งจ่ายเงินในบัญชีต่าง ๆ ของสวนโมกข์ เดินทางจากกรุงเทพฯ มาสวนโมกข์ ผม กับคุณ กิตติศักดิ์ ไปพบเจ้าอาวาสและท่านอานันท์ที่กุฏิท่านพระอาจารย์สุชาติ ได้ข้อตกลงร่วมกันว่า บัญชีเก่าสมัยที่ท่านอาจารย์โพธิ์เป็นเจ้าอาวาสนั้น พระอาจารย์สุชาติจะมอบอำนาจให้กรรมการชุดใหม่ รวม ๗ ท่าน เป็นกรรมการแทน ส่วนพระอาจารย์สุชาติท่านไม่ขอมีชื่อร่วมด้วย ครั้งนั้นคุณกิตติศักดิ์ ไปติดต่อกับธนาคารและทำได้เรียบร้อยเพียงธนาคารเดียว คือ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ สาขาไชยา นัดกันไว้ว่าเดือนหน้าจะลงมาทำต่อ
เดือนต่อมาคุณกิตติศักดิ์ลงมาอีก แต่เมื่อเอาเอกสารไปให้พระอาจารย์สุชาติเซ็น ท่านไม่แน่ใจ ไม่กล้าเซ็น บังเอิญท่านอานันท์ไปธุระที่กรุงเทพฯ พระอาจารย์สุชาติจึงปรึกษาพระมหาจรัล และในที่สุดพระมหาจรัลแนะนำให้นำเอกสารทั้งหมดไปปรึกษาเจ้าคณะอำเภอที่วัดเวียง ด้วยความไว้วางใจเจ้าคณะอำเภอ จึงนำรายละเอียดการเงินทั้งหมด ที่มียอดตัวเลขเงินแต่ละบัญชี ซึ่งเดิมปรึกษากันว่า ควรให้รู้เฉพาะคนภายในเท่านั้น ไปให้ดูทั้งหมด เจ้าคณะอำเภอทักท้วงว่า ไม่มีชื่อเจ้าอาวาสร่วมด้วยนั้นไม่ได้ เจ้าอาวาสจะทำผิดกฎหมาย และท่านจ้อย, ท่านสิงห์ทองนั้นพ้นจากการเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสแล้ว ไม่ควรมีชื่อในกรรมการที่มีอำนาจลงนามอีกต่อไปได้
เกิดเรื่องบานปลาย เพราะขาดสัมมาวาจา
เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๖ เจ้าคณะอำเภอเผลอปาก นำไปพูดในที่ประชุมสภาวัฒนธรรมและพุทธศาสนา ที่วัดเวียงว่า วัดธารน้ำไหลกับธรรมทานมูลนิธิ มีปัญหากันเรื่องเงิน ๕๐ ล้านบาท ผ่านมากว่า ๖ เดือนแล้วยังไม่เรียบร้อย ท่านจึงต้องเข้าไปช่วยแก้ปัญหาให้ตามหน้าที่ วันรุ่งขึ้นคุณอำนาจ พรหมอุบล ที่อยู่หน้าวัดมากราบเรียนให้พระอาจารย์สุชาติทราบเรื่องนี้ ท่านตกใจมาก จึงปรึกษาพระอานันท์ ในที่สุดพระอานันท์แนะให้รีบเรียกประชุมสงฆ์เป็นการด่วน เพื่อขอคำปรึกษา
ในวันประชุม วันที่ ๒๖ มิถุนายน
เริ่มประชุม พระอาจารย์สุชาติแจ้งให้ที่ปะชุมทราบว่าพระมณเฑียร และพระสิงห์ทอง พ้นจากตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสแล้ว
นายอำนาจ พรหมอุบล อุบาสกของวัด ได้เล่าให้ที่ประชุมฟังถึงเหตุการณ์ที่เจ้าคณะอำเภอพูดเรื่องสวนโมกข์ในที่ประชุมสภาวัฒนธรรมและพุทธศาสนา ที่วัดเวียง
ต่อมาผมทำหน้าที่อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเงินของสวนโมกข์ โดยเฉพาะเรื่องเงิน ๕๐ ล้านบาท ว่าเป็นเงินฝากที่เกี่ยวข้องกับงานตามปณิธานท่านพุทธทาส ที่ฝากสะสมมาในช่วงท่านพุทธทาส ช่วงท่านอาจารย์โพธิ์ แยกเป็นเงินที่เป็นทุนพิมพ์หนังสือท่านพุทธทาสประมาณ ๒๗ ล้านบาท และเงินตามโครงการของธรรมาศรมนานาชาติ อีกประมาณ ๒๓ ล้านบาท ทั้งสองโครงการนี้เป็นงานหลักของสวนโมกข์ที่ธรรมทานมูลนิธิทำต่อเนื่องมาโดยตลอด แต่บัญชีเงินฝากขอเปิดในนาม วัดธารน้ำไหล ไม่ได้ขอเปิดในนามธรรมทานมูลนิธิ ในที่สุดที่ประชุมมีมติร่วมกันว่า ให้ใช้เงินให้เป็นไปตามปณิธานของท่าน พุทธทาส โดยให้ปรึกษากันต่อว่า จะมีใครเป็นกรรมการดูแลรับผิดชอบงานนี้
เรื่องแปลกแต่จริงที่เกิดขึ้นในสวนโมกข์ยุคคอมพิวเตอร์
ก่อนหน้าวันประชุม ๒ – ๓ วัน มีการส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือ ว่าท่านจ้อยและท่านสิงห์ทองพ้นจากตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสแล้ว น่าแปลกใจว่าเป็นข้อความเดียวกันกับที่พระอาจารย์สุชาตินำมาอ่านในที่ประชุม ก่อนหน้านั้นเคยมีข้อความส่งต่อกัน เป็นข้อความขับไล่ท่านจ้อย และท่านสิงห์ทองด้วยคำหยาบคาย
มีเรื่องแปลกที่ไม่น่าเป็นไปได้อีกเรื่องหนึ่ง พบว่ามีการแก้ไขลายมือของท่านพุทธทาส ที่ผมถ่ายเอกสารแจกให้ผู้เข้าร่วมประชุม เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ ข้อความที่ท่านเขียนว่า สวนโมกข์อยู่โดยคณะธรรมทาน ถูกแก้เป็น สวนโมกข์อยู่โดยคณะสงฆ์ พบเอกสารฉบับที่แก้ไขจากพระกลุ่มที่ทำงานร่วมกับพระอาจารย์สุชาติ
เรื่องนี้ ผมได้กราบเรียนถามท่านพระอาจารย์สุชาติ ท่านเล่าว่า ตอนที่คณะพระที่ทำงานช่วยท่านหลายรูป มาพูดคุยปรึกษาที่กุฏิ มีบางท่านเสนอว่า แผ่นเอกสารลายมือท่านอาจารย์นั้น อาจไม่ตรงกับต้นฉบับจริง ท่านเกรียงศักดิ์ พระซึ่งท่านสุชาติชักชวนมาช่วยทำงาน ท่านพักอยู่ชั้นบนของกุฏิพระอาจารย์สุชาติ ได้ลองแก้ไขให้ดูเป็นตัวอย่าง ท่านมีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ในการทำเอกสารต่าง ๆ เพื่อช่วยงานท่านเจ้าอาวาส ท่านอาจารย์สุชาติสรุปในตอนท้ายว่า “ไม่รู้ว่าเอกสารนี้หลุดออกไปอยู่กับพระรูปอื่นได้อย่างไร”
ความวุ่นวายเกิด เมื่อผู้ใช้อำนาจตามกฎหมายไม่มีธรรมะครองใจ
ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ ไวยาวัจจกรทางกรุงเทพฯ ๒ ท่าน คือ คุณโพธิพันธุ์ และคุณ กิตติศักดิ์ ได้ลงมาสวนโมกข์ นัดพูดคุยกับคุณณรงค์ ไวยาวัจจกรอีกท่านหนึ่ง ผมได้ไปร่วมด้วย ได้ปรึกษากันเรื่องที่เจ้าคณะอำเภอเอาเรื่องสวนโมกข์ไปพูดในที่ประชุมสภาวัฒนธรรมฯ ว่าจะช่วยกันแก้ไขอย่างไร ไม่ให้สวนโมกข์เสียหาย ตอนบ่ายวันนั้น ได้ทราบว่า พระมหาจรัล นำหนังสือนัดประชุมคณะทำงานชุดที่เจ้าคณะอำเภอตั้งขึ้น เพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาของสวนโมกข์ มาให้พระอาจารย์สุชาติ ลงชื่อนัดประชุม กำหนดประชุมวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖ คุณโพธิพันธุ์ ไปพบเจ้าอาวาส ขอให้เลื่อนการประชุมไปก่อน เพราะยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะนัดประชุม และเสนอความเห็นว่า เรื่องของสวนโมกข์ควรประชุมแก้ไขปัญหากันเองได้ ไม่ควรนำคนนอกเข้ามา
วันต่อมาคุณนิคม ไวยาวัจจกรอีกท่านหนึ่ง ได้ลงมาสวนโมกข์พร้อมคุณหมอเสริมทรัพย์ ทั้งสองท่านได้ไปพูดคุยกับพระอาจารย์สุชาติ ขอให้เลื่อนการประชุม คุณนิคมได้ปรึกษากับพระอาวุโสหลาย ๆ รูป ต่างมีความเห็นตรงกันว่า เรื่องภายในของสวนโมกข์สามารถประชุมแก้ไขกันเองได้ พระอาจารย์สุชาติรับปากว่าจะเลื่อนการประชุมออกไป สุดท้ายเจ้าคณะอำเภอให้พระมหาจรัลพูดหว่านล้อมจนพระอาจารย์สุชาติยอมลงชื่อนัดประชุม
การประชุมวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖
มีผู้ร่วมเข้าประชุมเพียงไม่กี่คน ประกอบด้วย เจ้าคณะอำเภอ คุณหมอจักรธรรม พระอาจารย์ สุชาติ คุณสิปป์บวร พระมหาจรัล และพระสิงห์ทอง(เดินผ่านมาจึงแวะเข้าไปขอฟังด้วย) ฝ่ายไวยาวัจจกรมี ๒ คน คือ คุณณรงค์ และคุณธวัชชัย มีสาระสำคัญดังนี้ (เอกสาร ๑๓, ๑๔, ๑๕)
- เจ้าคณะอำเภอแจ้งว่า ท่านสิงห์ทอง สามารถดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสได้ต่อไป
- ให้ออกคำสั่งมอบหมายงานให้ผู้ช่วยและไวยาวัจจกร
- ให้ไวยาวัจจกร ที่ไม่มีเวลาสนองงานพ้นจากตำแหน่ง (เจ้าคณะอำเภอเป็น ผู้เสนอ)
- ให้ระงับคำสั่งการมอบอำนาจทำหนังสือสอบถามบัญชีธนาคาร
- แต่งตั้งกรรมการวัด
เมื่อจิตประกอบอยู่ด้วยอกุศลธรรม จึงนำไปสู่การกระทำที่ขาดเมตตา
ประมาณวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ คุณธวัชชัย ไวยาวัจจกร ไปพบผมที่บ้านแจ้งว่า เจ้าคณะอำเภอและพระมหาจรัล สั่งให้มาขอคืนบัญชีเงินฝากของสวนโมกข์ทั้งหมด ผมแปลกใจมาก เจ้าอาวาสไม่เคยพูดเรื่องนี้กับผมมาก่อน จึงตอบไปว่า ผมจะคืนให้กับไวยาวัจจกรที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงเท่านั้น หลังจากที่คุณธวัชชัยกลับไปแล้ว
ผมตั้งสติทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา พบว่าเกี่ยวข้องเป็นเหตุเป็นปัจจัยต่อเนื่องกันตามลำดับ เริ่มจากเจ้าคณะอำเภอเผลอพูดในที่ประชุมสภาวัฒนธรรมและพุทธศาสนา ซึ่งจัดขึ้นที่วัดเวียง อำเภอ ไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๖ โดย ในวันนั้น เจ้าคณะอำเภอกล่าวต่อผู้ที่มาร่วมประชุมว่า สวนโมกข์มีปัญหาเรื่องเงิน ๕๐ กว่าล้านบาท
หลังจากนั้น ท่านพูดว่า วัดธารน้ำไหลยังไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ เป็นเวลานานกว่า ๖ เดือนแล้ว ท่านจึงต้องเข้าไปช่วยตามหน้าที่ ท่านได้ปรึกษากับคุณหมอจักรธรรม และคุณสิปป์บวรผู้อำนวยการสำนักพุทธศาสนาจังหวัดสุราษฎร์ เตรียมหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับคณะสงฆ์มาใช้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาของวัด นำไปสู่การเรียกประชุมกรรมการที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคมที่ผ่านมา
ที่ประชุมมีมติให้ระงับคำสั่งการมอบอำนาจ และให้ทำหนังสือสอบถามบัญชีทุกธนาคาร จึงเป็นสาเหตุที่เจ้าคณะอำเภอและพระมหาจรัลสั่งให้คุณธวัชชัยมาขอคืนบัญชีเงินฝากของสวนโมกข์ทั้งหมด จากผม
ผมทราบภายหลังว่า เจ้าคณะอำเภอเตรียมการเรื่องนี้ไว้แล้ว นัดคุณณรงค์ คุณธวัชชัย และ เจ้าอาวาส มาพบกันที่วัดเวียง นัดเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเพื่อให้ลงบันทึกประจำว่า หากผมไม่ส่งคืนสมุดบัญชีธนาคารภายใน ๑๕ วัน จะดำเนินคดีตามกฎหมาย หลังจากนั้น ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่วางไว้ต่อไปอีก
- ทำหนังสือจากเจ้าอาวาส สอบถามยอดเงินในบัญชีทุกธนาคาร
- ทำหนังสือระงับคำสั่งการมอบอำนาจของเจ้าอาวาส
- พยายามจะขอออกสมุดเล่มใหม่ โดยแจ้งความว่าสมุดหาย แต่ทางตำรวจแนะนำว่าการแจ้งความเท็จผิดกฎหมาย
- ทำหนังสืออายัดบัญชีเงินฝากทุกบัญชี โดยรับเจ้าอาวาสมาที่ธนาคารแจ้งอายัดบัญชีเงินฝากทั้งหมด
ตอนบ่ายวันที่ ๒๕ เจ้าหน้าที่ของธรรมทานมูลนิธิแจ้งให้ผมทราบว่า บัญชีของมูลนิธิถูกอายัด ไม่สามารถถอนเงินและโอนเงินได้ตามปกติ ผมไปพบผู้จัดการสาขา จึงทราบเรื่องว่า พระมหาจรัลมา ที่ธนาคารพร้อมกับเจ้าอาวาส มีหนังสือขออายัดบัญชีมายื่นกับธนาคารพร้อมแนบเอกสารข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของเจ้าอาวาส ซึ่งคุณสิปป์บวร ผู้อำนวยการสำนักพุทธศาสนาจังหวัดสุราษฎร์จัดเตรียมไว้ให้ เพื่อยื่นยันว่าเจ้าอาวาสมีอำนาจทำได้ตามกฎหมาย เรื่องนี้ดำเนินการเสร็จสิ้นเมื่อ ๒ – ๓ วันมาแล้ว
พระอาจารย์สุชาติสอนอิทัปปัจจยตา นอกธรรมมาสน์
ผมไปพบเจ้าอาวาสที่กุฏิในตอนเย็นวันรุ่งขึ้น กราบเรียนให้ทราบว่า ท่านได้ทำผิดกฎหมายแล้ว พระมหาจรัลทำหนังสืออายัดบัญชีเงินฝากมาให้ท่านเซ็นเกินกว่าอำนาจที่ท่านมีอยู่ บัญชีของสวนโมกข์ ที่เปิดในนามธรรมทานมูลนิธินั้น ท่านไม่มีอำนาจสั่งอายัดได้ ผมขอให้ท่านรีบบอกให้พระมหาจรัล ทำหนังสือถอนอายัดโดยด่วน ดูสีหน้าท่านมีกังวลมาก พูดว่าอาตมาไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่มันเกิดขึ้นเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา ผมรู้สึกขุ่นใจเล็กน้อย พลั้งปากตั้งคำถามท่านว่า หากผมถอนเงิน ๕๐ ล้านบาทเอามาเป็นประโยชน์ส่วนตัวแล้ว ผมควรจะหนีไปอยู่ที่ประเทศไหนดี
ผมเข้าใจและเห็นใจท่านนับจากวันนั้น ท่านมีความรู้ทางธรรมเพียงอย่างเดียวจริง ๆ สุดท้ายท่านขอนัดประชุม ทำความเข้าใจกันอีกครั้ง ร่วมกับคณะของเจ้าคณะอำเภอ และคุณหมอจักรธรรม ธรรมศักดิ์ ในวันที่ ๑๗ สิงหาคม (เอกสาร ๑๖, ๑๗)
พระอาจารย์สุชาติ ท่านไม่มีความรู้เกี่ยวกับงานด้านธุรการ โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องการเงินการธนาคาร ท่านเข้าใจผิดว่า วัดธารน้ำไหล คือ สวนโมกข์ทั้งหมด สวนโมกขพลาราม ก่อตั้งขึ้นเมื่อกลางเดือนพฤษภาคม ๒๔๗๕ โดยคณะธรรมทาน และจดทะเบียนเป็นธรรมทานมูลนิธิด้วยทุนเริ่มต้น ของตระกูลพานิช วัดธารน้ำไหลเพิ่งเกิดขึ้นภายหลังเมื่อปี ๒๕๑๕ ท่านพุทธทาสต้องการให้เป็นวัดตัวอย่างที่ไม่เหมือนวัดทั่ว ๆ ไป เป็นวัดพิเศษไม่ต้องมีโบสถ์ราคาแพง มีเพียงโบสถ์สมมติ เป็นโบสถ์ธรรมชาติ มีฟ้าและร่มไม้เป็นหลังคา มีต้นไม้เป็นผนัง ยอดไม้เป็นช่อฟ้าใบระกา มีเสาปักไว้ในทิศต่าง ๆ เป็นนิมิต กำหนดเขตวิสุงคามสีมา ซึ่งได้รับพระราชทานเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ผมมีความเห็นว่า การอายัดบัญชีเงินฝากครั้งนี้ เข้าทำนองลูกอายัดเงินของพ่อหรือแม่ตัวเอง
เรื่องเศร้าปลดไวยาวัจจกร เข้าทำนอง “เชือดไก่ให้ลิงดู”
ก่อนถึงวันประชุมประมาณ ๑ สัปดาห์ มีหนังสือเจ้าอาวาส สั่งปลดไวยาวัจจกร คือ คุณกิตติศักดิ์ โดยมีเหตุผลเพียงว่า ไม่มีเวลาสนองงานเจ้าอาวาส มีความบกพร่องที่นำเอกสารใบมอบอำนาจ ที่อาจผิดกฎหมายให้เจ้าอาวาสเซ็น เพราะในเอกสารนั้นไม่มีชื่อเจ้าอาวาสเป็นผู้มอบอำนาจในการถอนเงิน
ผมทราบจากผู้เกี่ยวข้องใกล้ชิดว่า เจ้าคณะอำเภอเป็นผู้ดำเนินการเอง ให้พระมหาจรัลพิมพ์หนังสือคำสั่ง นำไปให้เจ้าอาวาสเซ็น หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ชอบธรรม คุณกิตติศักดิ์ เคยช่วยงานสวนโมกข์มานาน เมื่อเปิดหอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ จึงไปช่วยงานและเป็นกำลังสำคัญคนหนึ่งที่เสียสละทำงานนี้ การมารับตำแหน่งไวยาวัจจกร ไม่ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน เพียงแต่เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางเท่านั้น
วันประชุม วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๖
ประชุมในวัดแต่บรรยากาศไม่ต่างจากสภาผู้แทนราษฎร
ในตอนเที่ยงก่อนการประชุม คุณนิคม ไวยาวัจจกร ได้ไปพบพระอาจารย์สุชาติ เจ้าอาวาส เรียนให้ทราบว่า ขออนุญาตนำท่านอานันท์ และคุณกิตติศักดิ์เข้าร่วมในที่ประชุม เพื่อช่วยเป็นพยานว่า คุณกิตติศักดิ์ไม่ได้ทำผิดอะไร แต่เป็นเพราะพระอาจารย์สุชาติ เจ้าอาวาส จำไม่ได้เอง ว่าเคยตกลงกัน ไว้อย่างไร ตามคำแนะนำของท่านอานันท์ ท่านสุชาติรับปากว่าให้เข้าร่วมประชุมได้ แต่ในที่สุดก่อนที่ เจ้าคณะอำเภอจะเดินทางมาถึง ท่านสุชาติโทรศัพท์ปรึกษาเรื่องนี้ เจ้าคณะอำเภอไม่ยอมอนุญาต ท่านสุชาติจึงต้องทำตามคำแนะนำของท่านเจ้าคณะอำเภอ ท่านเกรงกลัวอำนาจรัฐจนเกินงาม
การประชุมเริ่มต้นด้วยบรรยากาศไม่สู้ดีนัก มีการซักถามเรื่องการปลดไวยาวัจจกร คุณนิคม ขอโอกาสให้ท่านอานันท์ได้เข้ามาชี้แจง เจ้าคณะอำเภอไม่เห็นด้วย คุณหมอจักรธรรมยอมให้เข้ามาได้ แต่ให้เวลาเพียงเล็กน้อย เสร็จแล้วให้รีบออกจากที่ประชุม ส่วนคุณกิตติศักดิ์ไม่ได้รับโอกาสให้เข้ามา ชี้แจง ในที่สุด คุณสิปป์บวร สรุปว่า เจ้าอาวาสมีอำนาจทำได้ตามกฎหมาย
หลังจากนั้น มีการพูดถึงเรื่องการมอบอำนาจ คุณนิคม ไวยาวัจจกร ซึ่งเป็นนักกฎหมาย เสนอความเห็นว่า เจ้าอาวาสสามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นทำได้ คุณสิปป์บวร จากสำนักพุทธ เอาข้อกฎหมายมาอ่านและสรุปว่า ไม่สามารถทำได้ การถอนเงินจากบัญชีเงินฝาก เจ้าอาวาสต้องลงนามเองทุกครั้ง คุณหมอจักรธรรมสรุปเรื่องนี้ว่า ถือกฎหมายกันคนละฉบับ ไม่ควรเสียเวลาให้ผ่านเรื่องนี้ไปก่อน
ผมได้สอบถามเรื่องการที่มีชื่อผมเป็นที่ปรึกษาเจ้าอาวาส ซึ่งผมไม่เคยทราบมาก่อน คุณสิปป์บวร ตอบว่า คุณหมอจักรธรรมเป็นผู้เสนอให้แต่งตั้งผม
เรื่องสุดท้าย ปรึกษากันเรื่อง บัญชีเงินฝากที่เกี่ยวกับงานตามปณิธานของท่านพุทธทาส ซึ่งมียอดเงินฝากรวมประมาณ ๕๐ ล้านบาท คุณหมอจักรธรรมเสนอว่า ควรให้มีตัวแทนจาก ๓ องค์กรหลัก คือ เจ้าอาวาสวัดธารน้ำไหล ประธานธรรมทานมูลนิธิ และประธานมูลนิธิพุทธทาส เป็นผู้ดูแลควบคุม ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของท่านพุทธทาส
ก่อนปิดการประชุม ผมแจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า วันพรุ่งนี้ ที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ จะส่งบัญชีทั้งหมดของสวนโมกข์ ให้เจ้าอาวาสรับไปดูแล เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบของคณะสงฆ์ ขอให้คุณหมอจักรธรรม และคุณณรงค์ ช่วยมาลงชื่อเป็นพยานด้วย นัดพบกันที่กุฏิพระอาจารย์สุชาติ เวลา ๑๔.๐๐ น.
(เอกสาร ๑๘, ๑๙)
เจ้าคณะอำเภอ สารภาพ เผลอพูด เผยสาเหตุสั่งอายัดบัญชีเงินฝาก
หลังปิดการประชุม ท่านสิงห์ทองได้ชวนทุกคนที่มาประชุมให้ขึ้นไปดูการก่อสร้างบนยอดเขา พุทธทอง เป็นครั้งแรกที่ผมได้ขึ้นไป นับตั้งแต่มีข่าวว่าพระอาจารย์ทองสุขได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบโครงการปรับภูมิทัศน์
ผมแปลกใจ มองไม่ออกว่าเขากำลังจะทำอะไรกัน เห็นตอหม้อคอนกรีตขนาดใหญ่สี่ต้น มีกองดินอยู่มากมายตามโคนต้นไม้ใหญ่ ท่านสิงห์ทองพูดว่า ต้นไม้อายุกว่าร้อยปีจะตายเสีย ควร รีบหาทางแก้ไขโดยด่วน ผมสังเกตดูพระอาจารย์สุชาติ มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ท่านคงไม่ได้ขึ้นมาดูเหมือนกัน คุณหมอจักรธรรมแนะนำว่า ควรหยุดรอไว้ก่อน การทำโครงการแบบนี้ ต้องถามความเห็นของชาวบ้าน และลูกศิษย์ท่านพุทธทาสหลาย ๆ คนเสียก่อน
ก่อนลงจากยอดเขาผมได้คุยกับมหารุ่งเรือง เจ้าคณะอำเภอเป็นการส่วนตัว ท่านสนิทสนมกับผมมาก่อนนานแล้ว ตอนลูกชายผมบวช ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ บวชที่วัดเวียง แล้วมาจำพรรษาที่สวนโมกข์ ผมถามว่า เพราะเหตุใดท่านจึงใช้วิธีอายัดเงินฝาก และแจ้งความให้ตำรวจลงบันทึกประจำวันว่า ผมไม่ยอมส่งมอบบัญชีเงินฝากคืนให้เจ้าอาวาส
ท่านตอบว่า อาตมาต้องป้องกันตัวเองไว้ก่อน มีข่าวว่าจะมีการรวบรวมคนเดินขบวนขับไล่
ผมรู้สึกเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกลึก ๆ ของท่านดี ตอนที่ท่านได้รับการแต่งตั้งให้มาเป็นเจ้าคณะอำเภอ มีชาวบ้านจำนวนหนึ่ง เตรียมรวมตัวกันขับไล่ ด้วยเหตุสองประการ ประการแรก เพราะท่านไม่ได้มีเชื้อชาติไทย ครอบครัวท่านเป็นชาวญวน ที่มาอยู่ในตลาดไชยา ประกอบอาชีพเป็นหมอรักษาชาวบ้าน ประการที่สอง ท่านได้รับเลือกจากพระผู้ใหญ่และส่งมาเป็นเจ้าคณะอำเภอ ตอนเป็นนักเรียนท่านเรียนหนังสือเก่ง เมื่อได้บวชและเรียนทางพระก็สอบได้เป็นมหาเปรียญ ผมคิดอยู่ในใจว่าหากท่านไม่ได้บวชเป็นพระหรือมีโอกาสได้เป็นนักการเมือง อาจจะมีความก้าวหน้าได้เป็นหัวหน้าพรรค
การเข้ามาเกี่ยวข้องกับสวนโมกข์ของเจ้าคณะอำเภอนั้น อาจมองได้สองแง่ แง่ที่หนึ่ง ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ (วิชชา) ต้องการช่วยแก้ปัญหาตามอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบ หรือ แง่ที่สอง มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ (อวิชชา) เพราะตกอยู่ภายใต้อำนาจกิเลสตัณหา ไม่มีใครตัดสินเรื่องนี้ได้ กฎแห่งกรรมเท่านั้นจะเป็นผู้ตัดสิน “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” นี้เป็นความจริงอันไม่ตาย ตลอดกาลนาน
โชคดีที่ได้เรียนรู้ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในช่วงนี้ของชีวิต ทำให้ได้ข้อคิด ไว้สำหรับเตือนตัวเองมากมาย...
“ผ้าเหลือง หรือ ผ้าขาว ไม่ใช่ผ้ายันต์ศักดิ์สิทธิ์ ที่จะมีอิทธิฤทธิ์เหนืออำนาจของอวิชชา หรือ กิเลสตัณหาได้”
ในทำนองเดียวกัน สวนโมกข์ก็ไม่ใช่สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ที่จะช่วยป้องกันความทุกข์ให้ใครได้ ผู้มาอยู่ต้องทำความเพียรเผากิเลสของตัวเอง จนมีความสงบเย็นเกิดขึ้นในจิตใจ เมื่อนั้น จึงจะได้ชื่อว่ามาถึงสวนโมกข์ หรือ ได้มาอยู่ในสวนโมกข์แท้จริง
ปิดสวนโมกข์สัก ๑๐ ปี จะดีไหม... กลับไปเริ่มต้นใหม่ ปฏิบัติตามแนวทางที่ท่านพุทธทาสเขียนไว้ใน “๑๐ ปี ในสวนโมกข์” ท่านพุทธทาสไม่เคยประกาศว่าใครเป็นศิษย์ผู้สืบทอดงานต่อ ท่านใช้เวลาทั้งชีวิตฝากผลงานไว้เป็นหนังสือชุด “ธรรมโฆษณ์” เพื่อให้เป็นตัวแทนท่าน และอยู่คู่โลก ตลอดกาลนาน
พุทธทาส จักอยู่ไป ไม่มีตาย
อยู่รับใช้ เพื่อนมนุษย์ ไม่หยุดเฉย
ด้วยธรรมโฆษณ์ ตามที่วาง ไว้อย่างเคย
โอ้เพื่อนเอ๋ย มองเห็นไหม อะไรตาย...
เมตตา พานิช
ประธานธรรมทานมูลนิธิ
๑๖ กันยายน ๒๕๕๖
(วันครบรอบวันเกิด อายุครบ ๖๑ ปี)