- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- แกะรอยปริศนา“เมเจอร์” ลักไก่ขึ้นราคาตั๋ว"ต้มยำกุ้ง 2"-"มาม่า"ได้อะไรด้วย?
แกะรอยปริศนา“เมเจอร์” ลักไก่ขึ้นราคาตั๋ว"ต้มยำกุ้ง 2"-"มาม่า"ได้อะไรด้วย?
"..จากการตรวจสอบพบว่า มาม่า เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของภาพยนต์ ต้มยำกุ้งภาค 2 และหากคำนวณส่วนลดที่นั่งละ 20 บาท จากการนำฉลากข้างถ้วยมาม่าคัพต้มยำกุ้งไปคำนวณกับราคาตั๋วหนังเรื่องต้มยำกุ้ง 2 ที่เพิ่มขึ้น ราคาที่นั่งละ 20 บาท จะพบว่ามีสัดส่วนที่ตรงกันพอดี.."
กลายเป็นดราม่าเรื่องใหม่ สำหรับวงการภาพยนตร์เมืองไทยไปแล้ว
เมื่อโรงภาพยนต์ เครือ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป ออกประกาศแจ้งปรับขึ้นราคาตั๋วชมภาพยนตร์เรื่อง ต้มยำกุ้ง ภาค 2 โดยอ้างเหตุผลว่า "บริษัท สหมงคลฟิล์ม จำกัด ผู้สร้างภาพยนตร์ ได้ลงทุนกว่า 500 ล้านบาท ด้วยเทคโนโลยีระดับ Hollywood สำหรับถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในรูปแบบ 3 มิติ ตลอดทั้งเรื่อง เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จึงมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนค่าบัตรชมภาพยนตร์เรื่อง ต้มยำกุ้ง 2 ตลอดโปรแกรมการฉาย"
ขณะที่ ทางสหมงคลฟิล์ม ออกมายืนยันว่า ไม่มีนโยบายขึ้นราคาค่าบัตรชมภาพยนต์ ต้มยำกุ้ง 2 แต่อย่างใด
การปรับค่าบัตรชมภาพยนตร์เป็นนโยบายของแต่ละโรงภาพยนตร์เอง ทางค่ายไม่มีส่วนในการกำหนดราคาดังกล่าว
คำถามที่น่าสนใจ คือ เมื่อสหมงคลฟิล์มซึ่งเป็นเจ้าของภาพยนตร์ ยืนยันว่า ไม่มีนโยบายขึ้นราคาตั๋วชมภาพยนต์เรื่องนี้
เครือ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป ใช้สิทธิ์อะไร ทำไมถึงกล้าทำเรื่องแบบนี้?
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 25 ตุลาคม 2556 ได้ติดต่อไปยังเมเจอร์ เพื่อตรวจสอบราคาตั๋วชมภาพยนตร์เรื่อง ต้มยำกุ้ง ภาค 2
เบื้องต้น ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่เมเจอร์ว่า ราคาที่นั่งปกติสำหรับโรงภาพยนต์ธรรมดา อยู่ที่ 170 บาทต่อหนึ่งที่นั่ง ส่วนที่นั่งพิเศษอยู่ที่ราคา 190 บาท ส่วนที่นั่งโอเปร่า จะอยู่ที่คู่ละ 600 บาท
ส่วนราคาโรงภาพยนต์ 3 มิติ ราคาที่นั่งธรรมดาอยู่ที่ 190 บาท ส่วนที่นั่งพิเศษ อยู่ที่ราคา 210 บาท แต่ต้องกับบวกกับค่าแว่นตา อีก 50 บาท ซึ่งลูกค้าจะได้เป็นเจ้าของแว่นทันที สำหรับนำไปชมภาพยนต์ต่อไปในอนาคต ไม่ต้่องนำมาคืน
“ภาพยนตร์เรื่องนี้ มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นอีก 20 บาท ทุกที่นั่งตามนโยบายที่ได้รับแจ้งมาจากฝ่ายโปรโมชั่น ส่วนที่ทางสหมงคลฟิลม์ออกมายืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปรับขึ้นราคาครั้งนี้ เราคงไม่สามารถให้เหตุผลอะไรได้ ปัจจุบันเรายืนยันที่จะใช้ราคานี้อยู่ ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ปัจจุบันทางเมเจอร์มีโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับภาพยนต์เรื่องต้มยำกุ้ง 2 คือ ผู้ชมสามารถนำฉลากข้างถ้วยมาม่าคัพรสต้มยำกุ้งหนึ่งชิ้น มาแลกส่วนลดราคาที่นั่งชมภาพยนต์เรื่องได้ ที่นั่งละ 20 บาท แต่ต้องซื้อตั๋วชมภาพยนต์ 2 ที่นั่ง รวมส่วนลดเท่ากับ 40 บาท
"นโยบายนี้มาจากฝ่ายโปรโมชั่น กำหนดเขตการแลกรับส่วนลดไว้จนถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2556 นี้ หรือจนกว่าจะหมดโควต้า" เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายตั๋วหนังเมเจอร์รายหนึ่งระบุ
จากการตรวจสอบยังพบว่า มาม่า เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของภาพยนต์ ต้มยำกุ้ง ภาค 2 และหากคำนวณส่วนลดที่นั่งละ 20 บาท จากการนำฉลากข้างถ้วยมาม่าคัพต้มยำกุ้ง ไปคำนวณกับราคาตั๋วนั่งเรื่องต้มยำกุ้ง 2 ที่เพิ่มขึ้น ราคาที่นั่งละ 20 บาท จะเพิ่มว่ามีสัดส่วนที่ตรงกันพอดี
ด้วยเหตุนี้จึงมีความเป็นไปได้สูงที่การปรับราคาตั๋วนั่งของเมเจอร์ ที่นั่งละ 20 บาท ในเรื่องต้มยำกุ้งภาค 2 จะเป็นส่วนประกอบหนึ่งในแผนการตลาดเพื่อหวังกระตุ้นยอดขาย มาม่าคัพต้มยำกุ้งของ ม่า่มา ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของภาพยนต์เรื่องนี้ไปด้วย
และหากแผนการตลาดในเรื่องนี้ เป็นจริง ก็เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากที่ทางสหมงคลฟิลม์ จะไม่รับรู้เรื่องนี้ด้วย เพราะเป็นเจ้าของภาพยนต์โดยตรง
ยกเว้นแต่การดำเนินการเรื่องนี้ เป็นข้อตกลงเฉพาะที่ทำขึ้นระหว่าง เมเจอร์และทางมาม่า ในขั้นตอนการนำภาพยนต์เข้าไปในฉายในเครือเมเจอร์?
โดยทางสหมงคลฟิลม์ ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย จึงทำให้สหมงคมฟิลม์กล้าออกมาพูดเต็มปากว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปรับราคาตั๋วหนังเพิ่มขึ้นด้วย เป็นนโยบายของทางโรงภาพยนต์
แต่ไม่ว่าข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ จะเป็นอย่างไร การดำเนินธุรกิจลักษณะนี้ของเครือเมเจอร์ กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากคอหนังเป็นอย่างมาก
เพราะต้องไม่ลืมว่า มีผู้ชมภาพยนต์หลายราย ที่ตั้งใจรอชมภาพยนต์เรื่องนี้ เมื่อไม่ได้นำฉลากมาม่าคัพ ติดตัวไปด้วย ก็จะต้องเสียเงินค่าตั๋วเพิ่มขึ้นอีกที่นั่งละ 20 บาท
ขณะที่โปรโมชั่นนี้ ก็ถูกกำหนดเงื่อนไขเวลาไว้ เพียงแค่วันที่ 27 ตุลาคม 2556 เท่านั้น เมื่อโปรโมชั่นจบไปเมเจอร์ ก็ยังคงยืนราคาตั่วหนังเรื่องนี้ใหม่ ต่อไปจนกระทั่งสิ้นสุดโปรแกรมฉาย
เมเจอร์จะเป็นฝ่ายได้รับประโยชน์ทันที โดยไม่ต้องแบ่งใคร?
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดเมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 25 ตุลาคม 2556 จากการเข้าไปตรวจสอบข้อมูลในเฟซบุ๊ก Major Cineplex Group (Thailand) พบว่า มีแฟนภาพยนต์หลายคน เข้าไปแสดงความเห็นโจมตีนโยบายการปรับขึ้นราคาตั๋วภาพยนต์เรื่อง ต้มยำกุ้ง 2 ของเมเจอร์เป็นอย่างมาก
อาิทิ
“ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผู้บริโภคด้วยมิทราบ ในเมื่อผู้บริโภคไม่ได้บังคับให้บริษัทของคุณต้องสร้างหนังโดยใช้ทุนสร้างเวอร์มโหฬารบานตะไทถึงขนาด 500 ล้านบาท ถ้าหนังเค้าดีจริงก็ไม่ต้องขึ้นราคาหรอกครับ ถ้าผู้บริโภคเค้าสนใจ หรือชื่นชมในตัวดารา หรือชื่นชมในเนื้อหาของหนังเด๋วเค้าก็มาอุดหนุนกันเองล่ะครับ และโดยเฉพาะถ้าตัวหนังดีจริงเดี๋ยวผู้บริโภคก็บอกกันปากต่อปากกันเองล่ะครับ ดูอย่างหนังเรื่อง "พี่มากพระโขนง" เป็นตัวอย่างก็ได้นะคับ ลองไปถามค่าย จีทีเอช เค้าดูว่าเค้าทำกันยังไงหนังของเค้าถึงได้มาแรงกระแสดีทำรายได้ทั่วประเทศได้ถึงหลักพันล้านบาท เค้ามีการโปรโมทยังไง มีการโฆษณายังไง และใช้อะไรเป็นจุดขายให้หนังออกมาดีขนาดนี้ ตอนแรกผมก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะไปดูแน่นอนนะคับ แต่ถ้าหากทางเมเจอร์ฯ ยอมทำเพื่อสหมงคลฟิล์มขนาดนี้ ในฐานะที่ผมเป็นผู้บริโภคภาพยนตร์ที่สามารถเลือกชมภาพยนตร์ได้อย่าอิสระเสรี ผมก็คงต้องขอบ๊ายบายล่ะครับ หวังว่าทางเมเจอร์ฯ คงจะเอาไปพิจารณากันบ้างนะครับ ขอบคุณครับ”
“เอาเปรียบผู้บริโภค อ้างต้นทุนหนังสูงเพิ่มราคา แล้วเวลาต้นทุนหนังต่ำไม่ลดล่ะครับ”
“เมเจอร์ครับ เรื่องการขึ้นราคาบัตร หนัง ต้มยำกุ้ง ภาค 2 ผมว่าตอนนี้คุณอยู่เฉยๆไม่ได้แล้วนะครับ ช่วยออกแถลงการณ์ด่วนเลยครับถึงเหตุผมที่ขึ้นค่าบัตรอยู่แค่เครือเดียว โดยเครือฝ่ายตรงข้ามก็ราคาเท่าเดิม ซึ่งตอนนี้ทางสหมงคลฟิล์มได้ตอบกลับมาแล้วว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการขึ้นค่าบัตรแต่อย่างใด ถ้าเมเจอร์ยังอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไรเลย ผมว่าเมเจอร์กำลังกระโดดลงเหวด้วยตัวของบริษัทเองนะครับ เพราะถ้ามีเหตุผลต้องขึ้นค่าบัตรจริง ก็ต้องขึ้นให้หมดทุกเครือถูกต้องไหมครับ กรุณาแถลงการณ์ ด่วน”
“คุณกำลังฆ่าตัวตายโดยไม่รู้ตัว ครับ เเถลงการณ์ด่วนครับ เรียกความเชื่อมั่นหน่อย”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบความเห็นแฟนหนังในโลกออนไลน์ พบว่าแฟนหนังบางกลุ่มเริ่มมีแนวคิดที่จะนำเรื่องนี้ไปยื่นร้องเรียนต่อ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ) แล้ว
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการ ระบุว่า บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จดทะเบียนเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2545 (ปัจจุบันอยู่ในตลาดหลักทรัพย์) มีทุน 904,500,990 บาท ตั้งอยู่เลขที่ 1839,1839/1-6 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ประเภทธุรกิจโรงภาพยนตร์,บริการโฆษณาและสนับสนุนธุรกิจ,บริการให้เช่าพื้นที่และบริการ บริการอาหารและเครื่องดื่ม,บริการอื่นๆ ปรากฏชื่อนายวิชา พูลวรลักษณ์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ และผู้ถือหุ้นใหญ่
ทั้งนี้ ในงบดุลปี 2555 (ปีล่าสุดที่แจ้งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า) ระบุว่า มี รายได้จากการขายและบริการ – สุทธิ 3,663,560,402 บาท รายได้รวม 4,292,033,672 บาท แต่มีต้นทุนขาย และ/หรือบริการ2,462,712,396 บาท หักขาดใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว มีกำไรสุทธิ 750,032,635 บาท
มีสินทรัพย์รวม 10,171,434,349 บาท หนี้สินรวม 3,775,954,120 บาท กำไร สะสมปัจจุบันอยู่ที่ 1,226,664,392 บาท
หากเปรียบเทียบรายได้จากการขายและบริการสุทธิ ที่บริษัทฯ ได้รับนับจากปัจจุบันย้อนหลังไปจนถึงปี 2551 พบว่า มีรายได้เพิ่มขึ้นทุกปี
โดยปี 2551 อยู่ที่ 2,438,645,738 บาท ปี 2552 อยู่ที่ 2,519,967,038 บาท ปี2553 อยู่ที่ 2,677,857,293 บาท ปี 2554 อยู่ที่ 3,494,889,067 บาท และปี 2555 อยู่ที่ 3,663,560,402 บาท
คำถามที่น่าสนใจคือ การปรับราคาตั๋วภาพยนตร์ เรื่อง ต้มยำกุ้ง 2 โดยไม่มีเหตุผล แบบไม่ต้องใช้สลิง ไม่ใช้ ตัวแสดงแทน จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจภาพรวมของ "เมเจอร์"หรือไม่
เพราะภาพลักษณ์ของเมเจอร์ ในสายตา คอหนังขณะนี้ คือ กลายเป็นธุรกิจที่ทำทุกอย่างเพื่อมุ่งหวังผลกำไรสูงสุด เพื่อผู้ถือหุ้น? ตามหลักการของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์
โดยไม่สนใจความรู้สึกของผู้บริโภคอีกต่อไปแล้ว?
---------
ภาพประกอบ - จาก pantip.com