- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- ธาม เชื้อสถาปนศิริ :“4 เหตุผลที่ รัฐ ‘กลัว’ เสียงนกหวีด”
ธาม เชื้อสถาปนศิริ :“4 เหตุผลที่ รัฐ ‘กลัว’ เสียงนกหวีด”
"ข่าวเจ้าหน้าที่รัฐออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ถ่ายภาพประชาชนผู้เป่านกหวีดใส่เจ้าหน้าที่รัฐไว้เป็นหลักฐาน และบอกว่าเป็นความผิดฐานอาญานั้น เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า “ทำไมรัฐ/กรมสอบสวนคดีพิเศษ” จึงกระเหี้ยนกระหือรือที่จะใช้อำนาจรัฐคุกคามประชาชน? จริงๆ แล้วรัฐกลัวอะไรกับเสียงนกหวีด!"
“สัญลักษณ์ทางการเมือง” มากมายถูกใช้ในการต่อสู้ ตั้งแต่ ถ้อยคำ โปสเตอร์สติ๊กเกอร์ หมวก มือตบ ตีนตบ เสื้อเหลือง แดง หลากสี หรือหน้ากากขาวกาย ฟวอกส์ ก็เคยถูกใช้มาแล้วทั้งสิ้น
นกหวีดคือสัญลักษณ์ล่าสุด ที่ใช้ในการประท้วง ขับไล่นักการเมือง, ที่ผ่านมามีนักการเมืองไทยหลายคนโดนประท้วงขับไล่เชิงสัญลักษณ์มากมาย สมัยคุณทักษิณ ก่อนโดนรัฐประหารปี 2549 ก็โดน “มือตบ” จากประชาชน และพ่อค้าแม่ค้า “โห่ร้อง ตะโกน ขับไล่” เช่น “ทักษิณออกไปๆ ” หรือ ซึ่งเป็นประโยคต่างเสียงสำเนียงของประชาชนแต่ละคน
ตอนนั้นคุณทักษิณยังทรงตัวรับสถานการณ์ได้ดีอยู่ เพราะมีบอดี้การ์ดรายล้อม และไม่ได้ทำอะไรสำหรับคนที่ออกมาขับไล่ เพราะโดนเพียงแค่คนเดียว แต่ก็สูญเสียความมั่นใจไปมากพอควร
ส่วนคุณอภิสิทธิ์ ก็โดนเหมือนกัน คือ การยกป้าย ตีนตบ และคำตะโกนด่า เช่น “ออกไป”, “ดีแต่พูด” หรือโดนมากๆ หลังการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ด้วยการที่ถูกยกป้ายข้อความต่อต้านเช่น “ฆาตกร 91 ศพ”, “มือเปื้อนเลือด” หรือคำอื่นๆ สุดแต่จะสรรหามาด่าทอ
ด้านคุณยิ่งลักษณ์นั้นยังไม่โดนขับไล่ โห่ร้อง ชูป้ายต่อต้าน และที่น่าลุ้นคือ กำลังจะโดนประชาชนโห่ร้อง ขับไล่ในไม่ช้า แต่จะเกิดขึ้นเมื่อไร? ขณะที่รัฐมนตรีหลายท่าน ก็โดนประชาชนเป่านกหวีดใส่ไปแล้วบ้าง
หากใช้แนวคิดสัญวิทยา (semiology) สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใด “รัฐ” จึงกลัวเสียงนกหวีดของประชาชน?
(1) “ความหมายเชิงลบ เกินจินตนาการคาดเดา?”
เสียงนกหวีดนั้นเป็นสัญญะ(sign) มีเสียงที่สื่อความหมายมากกว่าตัวมันเอง แม้ไม่ปรากฏคำพูด แต่เสียงของมันให้ความหมายหลายอย่าง
โดยมีรูปสัญญะ (signifier) คือ คลื่นความถี่เสียง “ปรี๊ดดดดดดดดดด…..ดดดดด” เป็นตัวสื่อสาร และมีความหมายสัญญะ (signified) คือ ไม่ชอบ ไม่ยอมรับ ไม่นับถือ ไม่เคารพ ไม่เชื่อ ไม่ปราศรัย ไม่เจรจา ไม่รัก ไม่ศรัทธา ซึ่งประชาชนผู้เป่าได้ใส่รหัส (encode) เอาไว้ทั้งหมด
ส่วนผู้ฟัง นักการเมืองที่ถูกเป่านกหวีดใส่ มิอาจรู้แน่ชัดว่าเป็นความหมายใด มันไม่ปรากฏคำด่า คำบ่น คำตำหนิ คำประท้วงที่ชัดเจน – หากแต่มันได้รวมเอาความหมายทั้งหมดของ เอาไว้ในเสียงหวีดทั้งหมด
นักการเมืองที่โด่นเป่านกหวีด จึงไม่รู้ที่จะโต้ตอบอย่างไร เพราะไม่สามารถถอดรหัสได้ (decode) ไม่แน่ชัดว่า ผู้เป่านกหวีดใส่นั้น “สื่อความหมายข้อใดกันแน่?” มันอาจหมายถึงทั้งคำด่า คำปฏิเสธ คำประณามที่สุภาพ และไม่สุภาพเอาไว้ทั้งหมดแล้ว
ฉะนั้นก็ยิ่งเกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ รู้แต่เพียงว่าเป็นความหมายที่ไม่ดี แต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นความหมายใดกันแน่
(2) “ย้ายนกหวีดจากมือรัฐ มาไว้ในมือประชาชน”
เดิมที่เรารับรู้ ผู้ที่จะมีสิทธิ์ มีอำนาจเป่านกหวีด คือ เจ้าหน้าที่รัฐ เช่น ตำรวจ ทหาร หรือแม้กระทั่งกรรมการในเกมกีฬา กระทั่งครูอนุบาลบางโรงเรียน ยังใช้เสียงนกหวีดในการ “ควบคุม กำกับ ดูแล” ผู้ที่ถูกเสียงนกหวีดเป่าใส่ คือ “ประชาชน” “พลทหาร” “นักกีฬา” หรือ “นักเรียนอนุบาล”
เสียงนกหวีด เป็นสัญลักษณ์แทนกฎหมาย กฎเกณฑ์ กฎระเบียบ ข้อบังคับ ที่ผู้เป่า กระทำต่อผู้ถูกเป่า
เช่น เป่าเพื่อบอกว่าทำผิด เพื่อบอกว่าหยุด หรือเพื่ออนุญาตให้ทำสิ่งนั้นต่อไปได้ ตัวอย่างเสียงนกหวีดของตำรวจจราจร ชัดเจนที่สุด!
เสียงนกหวีดของรัฐนั้น ต้องเป่าตามกฎ มีจังหวะสั้นยาวควบคุม แปลความหมายได้ชัดเจน
แต่เมื่อเสียงนกหวีด ถูกเปลี่ยน ย้าย มาไว้วางในมือประชาชน เพื่อเป่าเสียงหวีดร้อง ไร้กฎเกณฑ์ (เช่น ไม่ต้องเป่าเป็นจังหวะ สั้น ยาว กลาง ตามแบบแผนความหมายปกติของผู้เป่า ก็เท่ากับว่า ประชาชนได้ “ยึดเอาความหมายของนกหวีด” อันเป็นความหมายของกฎเกณฑ์ระเบียบของเจ้าหน้าที่รัฐ มาไว้ในมือตนเอง
เช่นนั้นแล้ว นักการเมืองจึงอาจไม่ชอบเสียงนกหวีดที่ตนโดนเป่าใส่จากประชาชน, เพราะตนคือเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นผู้ยึดกุมอำนาจรัฐในมือ, แต่กลับโดนประชาชนเอานกหวีด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เชิงอำนาจในการควบคุมกฎระเบียบสังคมไปเสีย
นกหวีดจึงเป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ ทำให้รัฐถูกสั่นคลอนความรู้สึกเชิงอำนาจที่ตนเองเคยมีไปด้วยวิธีการแสดงออกที่ปราศจากความรุนแรงทางกายภาพ ไม่มีอาวุธ ไม่มีการทำร้ายร่างกาย แต่เน้นสื่อสารเสียงเข้าไปเกาะกุมหัวใจของผู้ได้ยิน ให้รู้สึกผิด ละอาย หวาดกลัว อับอาย
ฉะนั้นปฏิกิริยาของเจ้าหน้าที่รัฐ จึงอาจคิดได้ว่า “ประชาชนมีสิทธิอะไร? ที่เอาอำนาจรัฐตนมาท้าทายตนเองเช่นนั้น!”
(3) เสียงหวีดเสียดร้องสู่สาธารณะ
ไม่มีใครเป่านกหวีดให้ตัวเองฟังเพียงลำพังที่บ้าน แต่นกหวีดต้องเป่าในพื้นที่สาธารระ
และหากนกหวีดคือสัญลักษณ์ของกฎเกณฑ์ การกำกับ ควบคุม, เช่นนั้นมันก็ใช้ในบริบทอาณาเขตของ กิจกรรมสาธารณะพื้นสาธารณะ ของกลุ่มคน/บุคคลสาธารณะ
นกหวีดในเกมกีฬา เป่าเพื่อกำหนดเกมแข่งขัน จับผิด ปรับฟาล์ว ควบคุมเกมทั้งสนามให้คนดูเชื่อในความยุติธรรม
นกหวีดบนถนน เป่าเพื่อเตือน แจ้ง จับ หยุด หรือให้ระวังตัวตัว เพื่อทุกคนปฏิบัติตามกฎจราจร
นกหวีดที่ผู้ประสบภัยเป่า ก็เพื่อร้องขอความช่วยเหลือ ให้คนจำนวนมากได้ยิน
ฯลฯ ความหมายต่างๆ เหล่านี้ได้ถูกนำเอามาประกอบสร้างเป็นสัญญะแห่งการต่อต้าน
เสียงนกหวีด คือสัญลักษณ์การประท้วงที่เป็นความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์แบบส่วนรวม (collectives) ที่ทุกคนเข้าใจรับรู้ความหมายร่วมกัน มันตั้งใจต่อสู้โดยตรงกับ “ร่างทรงของอำนาจรัฐ” เช่น เจ้าหน้าที่รัฐ เช่นนักการเมือง รัฐมนตรี ข้าราชการ มิใช่ “การคุกคามส่วนตัว”
หากเราพิจารณาว่า “นักการเมือง” เป็นบุคคลสาธารณะ และ เป็น “รูปสัญญะ ของ อำนาจรัฐ” (state body/signifier) เช่นนี้แล้ว “เสียงนกหวีด” จึงเป็นสัญลักษณ์ “ต่อสู้กับรัฐ” โดยมี “นายกรัฐมนตรี,รัฐมนตรี และนักการเมืองฉ้อฉล” เป็นเป้าหมายการต่อสู้ เป็นสงครามเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น
เพราะฉะนั้นมันจึงมิได้ผิดใดๆ เกี่ยวกับ กฎหมายความมั่นคง อาญา หรือผิดรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
นกหวีดไม่ได้เป่าเพื่อเพียงได้ยินระหว่างคนเป่าและคนถูกเป่า แต่หน้าที่ของมัน คือ “เพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก” ให้รับรู้ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น มันจึงอาจเป็นทั้งพลังขับไล่ และเรียกพลังของเสียงเงียบ จากผู้คนที่ไม่เคยรับรู้ให้ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
(4) “Whistleblower” เป่านกหวีด เพื่อเตือนสังคม
มีการประท้วงอีกแบบหนึ่งที่มักใช้กันในหมู่ฝรั่ง คือ “การประท้วงเงียบ” ผู้ชุมนุมจะไม่ใช้เสียงใดๆ เลย นอกจากความเงียบ อาจเอาเทปปิดปาก หรือ ใช้จำนวนคนมากมายเข้าไปในสถานที่ๆ ที่เคยมีเสียงดัง เช่น ตลาด ร้านกาแฟ ร้านค้า หรือในสนามกีฬา หรือ หน้าอาคารรัฐสภา โดยไม่มีกระทั่งคำพูดใด นอกจากแผ่นป้ายโปสเตอร์ หรือสัญลักษณ์อื่นๆ ในการประท้วงที่ไม่มีเสียง
เพื่อประท้วงในสิ่งที่รัฐไม่เคยยอมฟัง – เพราะเปล่าประโยชน์ ที่จะพูดกันอีกต่อไป,
ความเงียบ ช่วยให้ผู้คนอื่นที่เคยเงียบเฉย ได้หันมาสนใจความเงียบของผู้ชุมนุม และอาจเข้าร่วมเพราะความอยากรู้สาเหตุที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ความเงียบว่าคืออะไร
แต่การประท้วงด้วยเสียงนกหวีด มันเน้นพลังแห่งการร้องเรียกความสนใจ เตือนภัย ขับไล่ ต่อต้าน มีอารมณ์กระตุ้นเร้าทั้งผู้เป่า ร่วมเป่า และผู้ถูกเป่ามากกว่า
ที่สำคัญ มันรวมเอาโทนเสียงต่างความหมายของผู้คน ประชาชนรวมกันไว้เป็นสัญลักษณ์
เหมือนกับ “แตรวงหรือนกหวีดแดง” ก็มีพลังเชิงสัญลักษณ์เช่นเดียวกับนกหวีดหากใช้ในสถานการณ์การณ์คล้ายกัน
โดยสรุป, เสียงนกหวีดนั้น เป็นรูปสัญญะการประท้วงที่รวมพลังชัดเจนมากที่สุด, มันมีรูปเสียง มันรวมเอาความหมายต่อต้านเอาไว้ลงในเสียงหวีดทั้งหมด ด้วยวิธีสันติ อหิงสา ลดการประทะ การเผชิญหน้า แตะต้องทำร้ายร่างกาย เป็นการฉกฉวยความหมาย อำนาจจากมือรัฐในเชิงสัญลักษณ์มาไว้ในมือประชาชนเพียงชั่วคราว
ทำให้ประชาชนรู้สึกว่า “ตนเองมีอำนาจเหนือรัฐในการต่อสู้”
ที่สำคัญ มันเป็นสัญลักษณ์แห่งการตื่นรู้ ตื่นตัว และตื่นตน ของเสียงประชาชนที่จะต่อต้านต่อรัฐบาลฉ้อฉล
ทั้งหมดนี้ก็เพียงพอ ที่มันจะสะเทือนความมั่นคงทางจิตใจของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ไม่ได้ประหัตประหารรัฐโดยตรง คือการแสดงออกง่ายๆ ของประชาชน และมันก็ไม่ได้ทำให้ศีลธรรมอันดีของรัฐถูกทำลายลงไปแต่อย่างใด
“ปรี๊ดดดดด…ดดดดด" (three times) เสียงดังเพื่อบอกว่า ประชาชนตื่นแล้ว!
ภาพประกอบจาก oknation