- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- “สุรพล” เปรียบรัฐสภาละเมิด กม.ไม่ต่างอาชญากร-ยันศาลมีอำนาจ
“สุรพล” เปรียบรัฐสภาละเมิด กม.ไม่ต่างอาชญากร-ยันศาลมีอำนาจ
“สุรพล” ชี้นิติบัญญัติใช้อำนาจตรา กม.มิชอบ เป็นข้อยกเว้นศาล รธน.ใช้ ม.68 เข้าไปตรวจสอบได้ ระบุ “ปลอมเอกสาร-ลงมติแทน” ไม่ใช่เรื่องในวงงานสภาแก้ปัญหากันเอง เปรียบรัฐสภาเสียงข้างมากละเมิดกติกาไม่ต่างอาชญากร
เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2556 เวลา 16.30 น. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายสุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดแถลงข่าวในหัวข้อ “เหตุและผลของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 20 พ.ย.2556” มีใจความว่า ขณะนี้มีความเห็นจากผู้เกี่ยวข้องต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ (ศาล รธน.) ที่วินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มา ส.ว. ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ทั้งพรรคการเมือง ประธานรัฐสภา ส.ส.และ ส.ว. ที่อาจทำให้เกิดความสับสนโดยทั่วไป ตนจึงขอถือโอกาสนี้แสดงความเห็นในฐานะผู้เสนอกฎหมาย
นายสุรพล กล่าวว่า เริ่มจากเหตุ เป็นที่เข้าใจโดยทั่วไปว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ให้อำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นของรัฐสภาโดยเฉพาะ และศาล รธน.ก็ไม่มีอำนาจในการตรวจสอบ เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญย่อมขัดกับรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ทั้งนี้ มีการพูดกันว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ประสงค์จะพิทักษ์รัฐธรรมนูญจากการกระทำของบุคคลเท่านั้น ไม่ครอบคลุมถึงการใช้อำนาจขององค์กรตามรัฐธรรมนูญได้ แต่ถ้าลงไปดูความหมายที่แท้จริงของมาตรานี้ ล้มล้างการปกครองหรือทำให้ได้อำนาจในการปกครองด้วยวิธีที่มิชอบ มีประมวลกฎหมายอาญา (ป.อาญา) มาตรา 113 และมาตรา 116 ความผิดฐานกบฏ ที่กำหนดโทษไว้ร้ายแรงอยู่แล้ว หากระบุว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา 68 จะมุ่งใช้เฉพาะกับบุคคลทั่วไปอีก ผมก็นึกไม่ออกว่าจะใช้รัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ในที่ใดได้อีกเพราะ ป.อาญาก็มีบทลงโทษที่แรงกว่า ดังนั้นการตีความรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 จะต้องให้ใช้บังคับได้
“ก่อนหน้าเราเคยเข้าใจว่าองค์กรตามรัฐธรรมนูญไม่สามารถล้มล้างการปกครองหรือทำให้ได้อำนาจในการปกครองด้วยวิธีที่มิชอบได้ แต่เรื่องเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เพราะมีกรณีที่รัฐสภามีมติด้วยเสียงข้างมากงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราปิดประชุมรัฐสภาตลอดไป ดังนั้นรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 จึงต้องใช้บังคับกับองค์กรตามรัฐธรรมนูญได้ แต่ต้องถือเป็นข้อยกเว้นและตีความอย่างแคบ และการที่องค์กรตามรัฐธรรมนูญใช้อำนาจหน้าที่วิปริตวิปลาสหรือทำลายสารัตถะของรัฐธรรมนูญ ก็ถือว่าการกระทำนั้นอยู่ในขอบข่ายของรัฐธรรมนูญ มาตรา 68” นายสุรพลกล่าว
นายสุรพล กล่าวว่า จากการตีความข้อกฎหมายข้างต้น ตนอยากถามสังคมว่าหากเสียงข้างมาก ลงมติขอให้เสียงข้างน้อยออกจากห้องประชุมไป แล้วเสียงข้างมากลงมติเพียงฝ่ายเดียว ตามความเห็นของวิญญูชนทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเป็นนักกฎหมาย จะถือเป็นมติที่วิปริตวิปลาสหรือไม่ แม้จะเป็นมติของที่ประชุมสภาก็ตาม
“การที่ ส.ส.และ ส.ว.เสียงข้างมากประกาศไม่รับอำนาจศาล รธน. ผมคิดว่าการประกาศนี้คือการประกาศการกระทำที่ชัดเจน ว่าสมาชิกรัฐสภาที่มีเกินกึ่งหนึ่ง ไม่ยอมรับ ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ประสงค์จะให้มติของตนเท่านั้นถึงจะมีผลผูกพันและใช้บังคับได้ ซึ่งนับได้ว่าเป็นการให้ได้มาซึ่งอำนาจโดยวิถีทางที่มิชอบโดยแท้จริง” นายสุรพลกล่าว
นายสุรพล กล่าวว่า จากกรณีที่เกิดขึ้น ทั้งการเปลี่ยนในวาระที่ 1 ให้ต่างจากร่างที่ยื่นเสนอ การให้เวลาแปรญัตติเพียง 1 วัน และการไม่ให้ผู้สงวนคำแปรญัตติได้อภิปราย ไม่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาอะไร ใช้ความรู้เพียงนิติศาสตร์ ปี 1 ก็รู้ได้ว่ากระบวนการนิติบัญญัตินี้ชอบหรือไม่ ส่วนกรณีที่มีสมาชิกรัฐสภาลงคะแนนแทนสมาชิกรัฐสภาคนอื่นๆ อีกหลายคน อันนี้ หากใช้ความรู้นิติศาสตร์ ปี 3 ก็เรียนกฎหมายบริษัท ที่มีแนวคำพิพากษามากมาย ซึ่งระบุว่า แม้แต่กรรมการบริษัทที่มีหน้าที่พิทักษ์ประโยชน์ของผู้ถือหุ้น ยังจะให้บุคคลมาลงคะแนนแทนมิได้ แล้วสมาชิกรัฐสภาซึ่งมีหน้าที่พิทักษ์ประโยชน์ของประชาชน จะให้ผู้อื่นสามารถลงคะแนนแทนกันได้อย่างไร
“การที่องค์กรนิติบัญญัติไม่ได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่โดยชอบ ผมมองว่าเป็นข้อยกเว้นที่ทำให้ศาล รธน.สามารถเข้าตรวจสอบได้” นายสุรพกล่าว
นายสุรพล กล่าวว่า ส่วนที่การตะแบงกันอยู่ว่า ความบกพร่องที่เกิดขึ้นเกิดขึ้นในวงงานนิติบัญญัติ ควรจะเป็นสิ่งที่แก้ไขกันเอง ศาล รธน.ไม่ควรจะเข้ามายุ่ง ไม่เช่นนั้นจะถือว่าก้าวก่ายฝ่ายนิติบัญญัติสิ่งที่อ้างนี้ไม่มีทั้งใน รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 และฉบับปี 2550 สิ่งที่อ้างดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนทีจะมีรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 ที่ให้รัฐสภาทำอะไรก็ได้ แต่หลังจากมีรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 ก็มีการตั้งศาล รธน.ขึ้นมาพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ดังนั้นใครทำอะไรไม่ชอบต้องถูกตรวจสอบ กระทั่งตุลาการศาล รธน.เองยังถูกถอดถอนได้ ดังนั้นหากใครทำอะไรที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ศาล รธน.สามารถเข้าไปชี้ได้
“ถ้าเสียงข้างมากทำอะไรก็ได้ เช่นอาจมองว่าฝ่ายค้านพูดเยอะ พูดมากไป จะให้ฝ่ายค้านออกจากห้องประชุมไป แล้วเสียงข้างมากค่อยมาลงมติกัน คำถามก็คือเสียงข้างมากที่มีอยู่ จะยังถือเป็นรัฐสภาหรือไม่ แล้วถ้าจะลงมติเฉพาะเสียงข้างมาก กฎหมายที่ออกมาจะยังมีผลบังคับใช้หรือไม่ถ้าประธานรัฐสภาวิปริตวิปลาสที่จะออกคำสั่งดังกล่าว หรือคำสั่งที่ใกล้เคียงกันเช่นสมาชิกรัฐสภาที่สงวนคำแปรญัตติไว้กว่า 100 คน ไม่ต้องพูดแล้ว เพราะเสียงข้างมากเห็นว่าไม่ควรพูด หากเป็นเช่นนั้น ผมคิดว่ากรรมการห้ามมวยอาจจะมีกฎกติกามากกว่าประธานรัฐสภา ไม่เช่นนั้นหากสมาชิกรัฐสภาในจำนวนเกิดกึ่งหนึ่งไปประชุมกันที่รีสอร์ตสักแห่ง ก็สามารถลงมติออกกฎหมายใดๆ มาบังคับใช้ได้ เพราะถือว่าเป็นเรื่องในวงงานนิติบัญญัติ”
นายสุรพล กล่าวว่า เมื่อรัฐสภาดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มา ส.ว. โดยละเมิดข้อบังคับ ศาล รธน.จึงมีอำนาจประกาศความไม่ชอบ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 โดย 6 ใน 9 เสียงระบุว่า กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวมิชอบ และ 5 ใน 9 เสียงระบุว่า เป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจด้วยวิธีการซึ่งมิชอบ เป็นการกระทำผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68
อดีตอธิการบดี มธ.รายนี้ ระบุว่า อย่างไรก็ตาม ตนเห็นต่างกับศาล รธน.ที่ระบุว่า ที่มา ส.ว.ควรจะต่างจากที่มา ส.ส.เพราะนี่คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งสมาชิกรัฐสภาที่เป็นตัวแทนของประชาชนจะวินิจฉัยอย่างไรก็ตาม หากดำเนินการอย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 291
“ในส่วนของผล เมื่อศาล รธน.วินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มา ส.ว.ไม่ชอบ ร่างดังกล่าวจึงตกไป จึงเป็นหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องที่จะต้องทำให้เรื่องนี้จบ โดยมีผู้เกี่ยวข้องเพียงคนเดียว คือผู้ที่นำร่างขึ้นทูลเกล้าฯ นั่นคือนายกรัฐมนตรี ที่จะต้องขอร่างกลับมาดูเสียใหญ่ เพราะส่วนที่ศาล รธน.ระบุว่าไม่ชอบคือกระบวนการนิติบัญญัติ ญัตติเดิมยังคงมีอยู่ ถ้ารัฐสภาจะกลับไปพิจารณาใหม่ก็สามารถทำได้ ส่วนเรื่องการถอดถอนหรือดำเนินคดีอาญา เป็นอีกกรณีที่ต้องดำเนินการต่อไป ไม่อยู่ในอำนาจของศาล รธน.ที่จะวินิจฉัย” นายสุรพลกล่าว
นายสุรพล กล่าวว่า ท้ายสุด ตนได้ยิน ส.ส.และ ส.ว.พูดว่าศาล รธน.เข้ามายึดอำนาจรัฐผ่านคำวินิจฉัย ทำให้ศาล รธน.เป็นองค์กรสูงสุด ที่มีอำนาจสั่งคนอื่นให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้ ซึ่งตนก็อยากตั้งคำถามว่าเรื่องใดเกิดขึ้นก่อน ระหว่างกระบวนการนิติบัญญัติที่เป็นไปโดยมิชอบหรือการที่ศาล รธน.วินิจฉัย กลับกันถ้าจะมีการรัฐประหาร ตนเห็นว่ารัฐสภาได้พยายามยึดอำนาจ ล้มล้างการปกครองโดยไม่เคารพกฎกติกาที่เป็นฐานอำนาจของตัวเองมาก่อนแล้ว ศาล รธน.ไม่ได้ทำอะไร นอกจากประกาศว่าการกระทำนี้มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
“เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ที่สมาชิกรัฐสภาทำอย่างนี้ซ้ำซากในกฎหมายหลายฉบับ ด้วยการรวบรัด ห้ามอภิปราย ห้ามเสนอความคิดเห็น ห้ามแปรญัตติ ไปลงมติในเวลาตีสาม ตีสี่ ด้วยบัตรลงคะแนนที่มีการฝากกันเอาไว้ คล้ายๆ กับเวลาตำรวจจับอาชญากร ผู้ที่ถูกจับมักปฏิเสธว่าตัวเองไม่ผิด คนที่จับต่างหากที่ผิด ถ้าเราถือว่าการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญเป็นอาชญากรรม สมาชิกรัฐสภาโดยเสียงส่วนใหญ่เป็นอาชญากรมาตั้งแต่ต้น ศาล รธน.เพียงแต่ประกาศความเป็นอาชญากรนี้เท่านั้น” นายสุรพลกล่าว