- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- แง้มแฟ้มประชุม สสร.50 ทำไม “นายกฯ” ต้องเป็น “ส.ส.” ?
แง้มแฟ้มประชุม สสร.50 ทำไม “นายกฯ” ต้องเป็น “ส.ส.” ?
“เพราะความชอบธรรมของนายกฯคนนอก วางไว้ที่คณะบุคคลซึ่งสรรหาหรือไปเชิญมา ซึ่งคนเหล่านั้นไม่ใช่เป็นสภาเข้มแข็งที่เชื่อมโยงกับประชาชน”
นักวิชาการหลายคนโต้แย้งว่า การแต่งตั้ง “นายกรัฐมนตรีคนนอก” โดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 ที่แกนนำกลุ่ม กปปส.เสนอ ไม่น่าจะเป็นไปได้ในทางกฎหมาย
เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 171 วรรคสอง บัญญัติไว้ชัดเจนว่า “นายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)”
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org กลับไปค้นรายงานการประชุมสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ครั้งที่ 32/2550 วันอาทิตย์ที่ 24 มิ.ย.2550 เพื่อดูว่าเหตุใด ส.ส.ร.ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 จึงกำหนดว่า “นายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส.”
โดยการประชุมของ ส.ส.ร.วันดังกล่าว เป็นการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ในวาระ 3 ภายหลังคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญพิจารณาเสร็จแล้ว โดยเป็นการพิจาณาในมาตรา 167 (หรือ มาตรา 171 ในปัจจุบัน) ที่บัญญัติไว้ว่า
“มาตรา 167 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกินสามสิบห้าคนประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน
นายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งได้รับแต่งตั้งตาม มาตรา 168
ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่าแปดปีมิได้”
ซึ่งผลปรากฏว่ามี ส.ส.ร.อภิปรายโต้แย้งกันอย่างดุเดือด เนื่องจาก “ศรีราชา เจริญพานิช” ส.ส.ร. ขอสงวนคำแปรญัตติให้ตัดมาตรา 167 วรรคสอง ที่ว่า "นายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งได้รับแต่งตั้งตาม มาตรา 168" ออกทั้งหมด !
โดยศรีราชาให้เหตุผลว่า ตนไม่ได้ต้องการจะเอาคนนอกมาเป็นนายกฯ เพียงแต่ต้องการเปิดช่องไม่ให้รัฐธรรมนูญถูกล้มหรือถูกฉีก เหมือนรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ที่ล็อกไว้ว่านายกฯ ต้องมาจาก ส.ส. ซึ่งเป็นข้อจำกัด และทำให้เกิดปัญหา
“การที่เขียนปิดกั้นไว้เช่นนั้น ก็จะมีผลอย่างที่เกิดขึ้นแล้วในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 นะครับ ก็ได้พยายามแก้ไขปัญหาทางการเมือง โดยที่จะให้มีการเสนอให้นายกฯ นั้นมาจากมาตรา 7 อย่างนี้เป็นต้น แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ สุดท้ายก็ต้องจบลงด้วยการปฏิวัติ รัฐประหาร และฉีกรัฐธรรมนูญเหล่านั้นทิ้ง”
ศรีราชากล่าวอีกว่าเมื่อเลือกตั้งเสร็จ ส.ส.ทุกคนควรจะมีสิทธิในการเสนอความเห็นว่า คนที่จะมาเป็นนายกฯ คนมาจากคนที่เขาว่าเป็นคนดีที่สุด ฉะนั้นการเขียนไว้ว่า นายกฯต้องมาจาก ส.ส.นั้น เป็นการจำกัดสิทธิของ ส.ส.อย่างหนึ่ง ซึ่งในระบอบประชาธิปไตยเราควรจะเปิดกว้างนะครับ ตนพูดเช่นนี้มิได้หมายความว่าจะเปิดช่องให้ คมช.หรืออดีตนายกฯ ที่จะมีนอมินีกลับมา แต่การร่างรัฐธรรมนูญควรจะคำนึงถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไกลๆ ยาวๆ ด้วย
“เราไม่ได้ต้องการนายกฯ คนนอกครับ แต่เราต้องการเพียงตัดวรรคนี้ออกไป เพื่อจะให้มีโอกาสกว้างขึ้น และให้มีทางออกที่ไม่ต้องมีการปฏิวัติรัฐประหารอีกนะครับ” ศรีราชากล่าว
เมื่อศรีราชากล่าวจบ ปรากฏว่ามี ส.ส.ร.ลุกขึ้นอภิปรายสนับสนุนจำนวนหนึ่ง อาทิ
“สมเกียรติ รอดเจริญ” ส.ส.ร. ที่ระบุว่า การกำหนดให้นายกฯ มาจาก ส.ส.เป็นการรอนสิทธิเพราะจะทำให้นายกฯ มาจากหัวหน้าพรรคใหญ่ๆ เพียง 4-5 คนเท่านั้น
“เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” ที่ระบุว่า สังคมไทยเป็นสังคมนักปฏิบัตินิยม นิยมหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่นสมัยที่เราบอกว่านายกฯ ควรจะมาจากการเลือกตั้ง แต่พอมีอานันท์ ปันยารชุนเป็นนายกฯ เราก็หยุดแล้วบอกว่าดี หรือพออาทิตย์ อุไรรัตน์ ประธานรัฐสภา เสนอชื่ออานันท์เป็นนายกฯ รอบสอง แทนที่จะเป็น พล.อ.อ.สมบุญ ระหงส์ คนกลับจอดรถแสดงความยินดี ตนเคยเป็นคนหนึ่งที่เสนอว่านายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง เพื่อโค่นล้ม พล.อ.สุจินดา คราประยูร เพราะกลัว รสช.จะสืบทอดอำนาจ แต่กับ คมช.ยอมรับว่า มันไปด้วยกันได้ดี
“ผู้นำจำเป็นไหมต้องแคบอยู่ที่ ส.ส. ถ้าคิดว่าคนนอกไม่เหมาะสม ส.ส.ก็อย่าเลือกสิ ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ศรีราชา ยืนยันว่า คมช.ไม่เคยมาสั่งอะไรผม แต่ผมก็กลัวร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะล้มเหมือนกัน ฉะนั้นจึงอยากเสนอให้เขียนบทเฉพาะกาล ว่าเฉพาะสมัยแรกหรือ 5 ปีแรก นายกฯต้องมาจาก ส.ส.เท่านั้น หรือถ้ากลัว คมช.ก็ไส่ใว้ 10 ปีเลยก็ได้ เราทำเช่นนี้เพื่อจะบอกว่าอะไรคือสิ่งที่ระยะยาว เราไม่ใช่ตามกระแส” เจิมศักดิ์กล่าว
ทั้งนี้ ความเห็นสนับสนุนที่น่าสนใจมาจาก “สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย” ส.ส.ร.ที่ระบุว่า 1.รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 กำหนดไว้ว่า นายกฯ และรัฐมนตรีต้องพ้นจาก ส.ส.ด้วย แต่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่ได้กำหนดไว้เช่นนั้น ทำให้นายกฯ จะทำหน้าที่ทั้งบริหารและนิติบัญญัติในบุคคลเดียวกัน ซึ่งตนรับไม่ได้
2.ถ้าเราต้องการสื่อความหมายว่า นายกฯ ต้องมาจาก ส.ส. เพราะต้องมาจากการเลือกตั้ง เราก็ต้องยอมรับความจริงว่า ประเทศไทย ไม่ใช่ระบบประธานาธิบดี ไม่มีการเลือกตั้งนายกฯ โดยตรง การเขียนให้นายกฯ มาจาก ส.ส. ตนเห็นว่าจะมีผลเสียมากกว่าผลดี
3.ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีความเป็นได้สูงว่าจะทำให้หลายพรรคมาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าจะไม่สามารถตกลงเรื่องตัวหัวหน้าพรรคที่จะมาทำหน้าที่นายกฯ ได้ แล้วเรไปปิดกั้นไม่ให้เชิญคนนอกที่มีความรู้ ความสามารถ ประชาชนยอมรับมาทำหน้าที่เป็นนายกฯ อย่างนั้นหรือ
และ 4.ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีการออกแบบกลไกในการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินอย่างเข้มข้นกว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ฉะนั้นจึงไม่มีความแตกต่างอะไรเลย ระหว่างการเชิญคนนอกที่มีความรู้ ความสามารถ ประชาชนยอมรับ มาเป็นผู้นำในตำแหน่งนายกฯ ซึ่งท้ายสุดก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากพรรคที่ผ่านการเลือกตั้งเป็นตัวแทนของประชาชน
อย่างไรก็ตาม ก็มี ส.ส.ร.จำนวนมาก ที่ไม่เห็นด้วยกับการแปรญัตติของศรีราชา อาทิ
“ปกรณ์ ปรียากร” ส.ส.ร.และกรรมาธิการฯ ที่ระบุว่า จากการไปรับฟังความเห็นชัดเจนว่าประชาชนต้องการนายกฯ ที่มาจาก ส.ส. หากตัดวรรคนี้ออกไป อาจมีบางคนหยิบเอาคนภายนอก ที่ไม่ได้มีคุณสมบัติที่เหมาะสม และไม่ผ่านการกลั่นกรองจากประชาชนเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญของประเทศนี้
“คำอภิปรายของอาจารย์ศรีราชาก็ไม่มีน้ำหนักพอจะบอกว่า ถ้าตัดออกแล้วจะป้องกันการปฏิวัติ รัฐประหารได้ การรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก แต่มันเป็นกรณีที่เป็นความโกลาหลอันเกิดขึ้นจากพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมของนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งเสียมากกว่า ไม่ได้มีเหตุจากข้อความนี้”
“สวิง ตันอุด” ส.ส.ร. ที่ระบุว่า ในช่วงพฤษภาทมิฬก็เคยมีการสู้กันว่านายกฯ ควรจะมาจากการเลือกตั้งหรือไม่ ที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่าประชาธิปไตย ผู้นำจะต้องผ่านการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ หรือ ส.ส.เขต เราต้องปกป้องคนที่ฉกฉวยโอกาสเข้ามามีอำนาจทางการเมือง โดยที่ตัวเองไม่ต้องทำอะไร
“วุฒิสาร ตันไชย” ส.ส.ร.และกรรมาธิการฯ ที่ระบุว่า การเปิดโอกาส (ให้นายกฯ ไม่ได้เป็น ส.ส.) ก็อาจจะเหมือนบันไดหนีไฟ แต่การมีบันไดหนีไป อาจจะทำให้คนนั้นใช้บันไดหนีไฟ แทนบันไดหลัก
“ศิวะ แสงมณี” ส.ส.ร. ที่ระบุว่า เท่าที่ไปรับฟังความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เกือบ 90 เปอร์เซ็นต์บอกว่านายกฯ จะต้องเป็น ส.ส. แล้ววันนี้พวกเราจะมากลับคำ เหมือนไม่เคารพเสียงประชาชน แล้วจะให้ไปทำประชามติได้อย่างไร ทั้งนี้ ระบบรัฐสภาไม่ว่าทฤษฎีไหน นายกฯกับสภาต้องผูกพันกัน ต้องมีฐานของอำนาจนิติบัญญัติ และกว่าจะได้มาตรานี้มามีประชาชนต้องเสียสละบนถนนราชดำเนินไปเท่าไร เราคงไม่ต้องการกลับไปจุดนั้นอีก
“ถ้าเราให้คนอื่นมาเป็นนายกฯ ได้ ก็เหมือนส่งเสริมกระบวนการซื้อขายยกเข่ง เพราะใครก็ได้ที่ถือเงิน สามารถซื้อในสภานี้ได้ยกเข่งเลยนะครับ เพราะเขาไม่ต้องไปสมัคร ส.ส. เพราะว่าไปสมัครก็อาจจะไม่ได้ แต่มาซื้อในสภานี้ได้ง่ายมากและมีโอกาสด้วย” ศิวะกล่าว
ที่น่าสนใจคือความเห็นคัดค้านของ “จรัส สุวรรณมาลา” ส.ส.ร. ที่ระบุว่า ในประวัติศาสตร์ไทยเคยมีการแต่งตั้งคนนอกมาเป็นนายกฯ หลายครั้ง หลายครั้งก็ได้คนดีจริงๆ เป็นที่ยอมรับ แต่ทุกครั้งที่นายกฯ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ทว่ามาจากการแต่งตั้ง ถึงดีแค่ไหนก็เปราะบางมาก ทำงานไปได้สักระยะ พลาดนิดเดียว ความชอบธรรมในการปกครองประเทศหมดทันที
“เพราะความชอบธรรมของนายกฯคนนอก วางไว้ที่คณะบุคคลซึ่งสรรหาหรือไปเชิญมา ซึ่งคนเหล่านั้นไม่ใช่เป็นสภาเข้มแข็งที่เชื่อมโยงกับประชาชน” จรัสกล่าว
จรัสยังกล่าวว่า เวลาเราบอกว่าเลือกพรรคการเมือง ไม่ได้เลือกเฉพาะนโยบาย แต่เลือกหัวหน้าพรรคให้มาเป็นนายกฯ ด้วย ตรงนี้อยู่ในเจตนารมณ์ของการเลือกตั้งชัดเจน การให้คนนอกมาเป็นนายกฯ คล้ายกับการแต่งงานแบบคลุมถุงชน จะได้คนดี คนสวยแค่ไหน สุดท้ายชีวิตการแต่งงานก็ไม่ราบรื่น พอมีเรื่องนิดหน่อยก็จะแตกร้าว คือเปราะบางมากจริงๆ เพราะความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ ภายหลังอภิปรายถกเถียงต่อเนื่องยาวนานหลายชั่วโมง เมื่อถึงเวลาลงมติ ผลที่ออกมาปรากฏว่า ที่ประชุม ส.ส.ร.มีมติเห็นด้วยตามร่างเดิม 73 เสียง ไม่เห็นด้วย 4 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง
ทำให้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 บัญญัติว่า “นายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส.” ในที่สุด !!!
- คำบรรยายภาพ
1.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยกมือโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 เมื่อวันที่ 5 ส.ค.2554 ภาพจากอินเทอร์เน็ต
2.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถูก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เข้ามารุมล้อมแสดงความยินดี ภายหลังที่ประชุมสภา ลงมติเห็นชอบให้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 27 ภาพจากเว็บไซต์ www.manager.co.th