- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- ว่าด้วยความอำมหิต
ว่าด้วยความอำมหิต
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ภาพยนตร์สารคดี “The Act of Killing” โดยผู้กำกับ Joshua Oppenheimer ร่วมกับคณะผู้กำกับและทีมงานชาวอินโดนีเซียผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม 7 คน ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวันออสการ์ประเภทหนังสารคดี กลายเป็นเรื่องโด่งดังที่สะกิดแผลทางประวัติศาสตร์อินโดนีเซียแบบเลือด กระจาย เมื่อนำเอาอดีตนักเลงคุมโรงหนังผู้ผันตัวมาเป็น “มือสังหารคอมมิวนิสต์ นามว่า อันวาร์ คองโก (คนนั่งกลางในภาพ) และพวก มาแสดงวิธีการฆ่าคอมฯอย่างหมดจดทุกขั้นตอน ซึ่งรวมทั้งการสังหารหมู่ ทรมาน เผาบ้าน ข่มขืนและรีดไถ ซึ่งเกิดขึ้นที่เมืองเมดานบนเกาะสุมาตราตอนเหนือ เมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว
แก๊งนักเลงหัวไม้ของอันวาร์ คองโกได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มนักฆ่าที่อื้อฉาวที่สุดกลุ่มหนึ่ง พวกเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มต่างๆที่ไล่ล่าฆ่าคอมมิวนิสต์ไปทั่วอินโดนีเซียใน ช่วงปี 2508 – 2509 ซึ่งเป็นเหตุการณ์หลังจากกลุ่มทหารของกองทัพอินโดนีเซียกลุ่มหนึ่งพยายามใน การทำรัฐประหารยึดอำนาจจากประธานาธิบดีซูการ์โนเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2508 นำไปสู่การสังหารนายทหารระดับนายพลจำนวนหกนาย
การรัฐประหารดังกล่าวล้มเหลว แต่กองทัพอินโดนีเซียภายใต้ก่ารนำของพลเอกซูฮาร์โตซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผู้ อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารเสียเอง ฉวยโอกาสจากสภาพสุญญากาศในกองทัพเข้ายึดการนำฝ่ายความมั่นคง รีบป่าวร้องว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นฝีมือของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย เป็นจุดเริ่มต้นมหกรรม “ฆ่าคอมมิวนิสต์” ครั้งมโหฬารทั่วประเทศ โดยกองกำลังทหารตำรวจ กลุ่มศาสนา และนักเลงหัวไม้ที่ได้รับความสนับสนุนโดยรัฐ เช่น กลุ่มของอันวาร์ คองโก ร่วมด้วยช่วยกันลากผู้ต้องสงสัยออกมาเชือดอย่างเมามันติดต่อกันเป็นเวลากว่าหนึ่งปี
โดยตัวเลขประเมินผู้เสียชีวิตที่ถูกอ้างมากที่สุดคือ 500,000 คน มีจำนวนมากที่เป็นชาวอินโดนีเซียเชื้อสายจีน และจำนวนมากเสียชีวิตจากการสังหารหมู่และถูกฝังรวมในหลุมฝังศพขนาดใหญ่ที่ถูกขุดพบภายหลัง
ประธานาธิบดีซูการ์โนผู้มีมีแนวคิดเอนเอียงไปทาง “ซ้าย” ตกจากอำนาจในปี 2509 โดยมติของสภาฯ นายพลซูฮาร์โตได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานาธิบดีรักษาการ หลังจากนั้นเขาลงเลือกตั้งแล้วดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ ขยายอำนาจทางการเมืองให้ลูกหลานและบุคคลใกล้ชิดอย่างยาวนานถึง 32 ปี ก่อนที่จะถูกกดดันด้วยการเดินขบวนประท้วงของประชาชนให้ออกจากตำแหน่งใน พ.ศ. 2541
หลังจากระบบการเมืองภายใต้เผด็จการซูฮาร์โตสิ้นสุดลง อินโดนีเซียถูกขนานนามว่าเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยเข้มแข็งที่สุดในอาเซียน แต่แม้ว่าจะมีการรื้อฟื้นกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนต่างๆมาพิจารณาหลายเรื่อง ประเด็นฆ่าคอมมิวนิสต์กลับไม่ถูกผู้นำประเทศหยิบยกขึ้นมาอธิบายต่อ สังคมอย่างจริงจัง มีเพียงแต่อดีตประธานาธิบดีอับดุลเราะห์มาน วาฮีด ผู้นำกลุ่ม Nahdlatul Ulama (NU) ซึ่งเป็นมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซียผู้ล่วงลับไปแล้ว ที่เมื่อครั้งเขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี มีความกล้าหาญพอที่จะลุกขึ้นมากล่าวคำขอโทษในนามของ NU ซึ่งมีเอี่ยวอย่างสำคัญในการสังหารหมู่ครั้งนั้น
ใน พ.ศ. 2555 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติอินโดนีเซียออกรายงานการสืบสวนกรณีนี้แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรทั้งจากเวทีในประเทศและภูมิภาค สังคมอินโดนีเซียยังเงียบกริบในขณะที่ประชาชนของประเทศเพื่อนบ้านแทบไม่รู้ เลยว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลจากปลายจมูกของตัวเอง
ภาพยนตร์ เรื่องนี้มีความพิเศษอยู่หลายขนานเพราะนอกจากสามารถถ่ายทอดความรู้สึกที่ซับซ้อนของเหล่าฆาตกรที่ให้ความร่วมมือในการบอกเเล่า และสาธิตวิธีทารุณกรรมของตัวเองอย่างหมดไส้หมดพุงแล้ว ยังใช้วิธีการเดินเรื่องที่ดูเหนือจริง มาแสดงเนื้อหาที่ความจริงที่น่าขนหัวลุก ก่อนจะทิ้งความรู้สึกอันเหมือนฝันร้ายให้แก่ผู้ชมบางคนที่ตระหนักได้ในภาย หลังว่า อันวาร์ คองโกเป็นเพียงเบี้ยตัวเล็กๆของความอำมหิตของสังคมทั้งหมด อันเป็นความอำมหิตขนาดใหญ่ที่สุดแสนจะยากแท้หยั่งถึง