- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- “สงครามสื่อ” จาก“ร.ศ.112 – ปัจจุบัน” ใคร?คือผู้สร้างความ “เกลียดชัง”
“สงครามสื่อ” จาก“ร.ศ.112 – ปัจจุบัน” ใคร?คือผู้สร้างความ “เกลียดชัง”
“…หนังสือพิมพ์สมัย ร.ศ.112 มีอิทธิพลอย่างมากในการปลุกระดมมวลชนและสร้างสถานการณ์ได้ไม่แพ้มาตรการด้านการทูต การเมือง และการทหาร เนื่องจากประชาชนมักจะเชื่อรายงานของผู้สื่อข่าวมากกว่าคำสั่งจากรัฐบาล โดยไม่สนใจว่าสื่อมวลชนจะรับคำสั่งหรือบงการจากใคร หนังสือพิมพ์จึงมักจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเสมอ ตราบใดที่สามารถตอบโจทย์ และบอกในสิ่งที่คนต้องการรู้ได้…”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบัน “สงครามแย่งชิงข้อมูลข่าวสาร/แย่งชิงมวลชน” กำลังเป็นไปด้วยความดุเดือด และเข้มข้นขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่ “สื่อเลือกข้าง” ผงาดเข้ามามีอิทธิพลอย่างสูงต่อสังคมไทยที่ถือว่าการเลือกข้างทางการเมืองเป็นเรื่องปกติที่ใครจะแสดงความคิดเห็นอย่างไรก็ได้ ภายใต้กรอบกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ขณะเดียวกันในยุคที่ ‘สื่อสังคมออนไลน์’ (Social Network) กำลังเบ่งบานอย่างเต็มเปี่ยม “สื่อเลือกข้าง” จึงได้อาศัยช่องทางดังกล่าวในการ “แชร์/ทวิตข่าว” ผ่านสังคมออนไลน์ โดยส่วนมากจะเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อพรรคพวกตัวเองเพียงอย่างเดียว
ขณะที่ประชาชนที่เป็น “แฟนพันธ์แท้” ของสื่อนั้น ๆ ก็ ‘เลือก’ ที่จะเชื่อข้อมูลดังกล่าว โดยไม่ตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้านเช่นกัน
และท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่รุนแรง มีเหตุปะทะกันแทบจะรายวัน และมีผู้เสียชีวิต – บาดเจ็บเป็นจำนวนหลายรายนั้น ส่งผลให้ “สงครามแย่งชิงข้อมูลข่าวสาร/แย่งชิงมวลชน” กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดของ “สื่อ” ข้อมูลทุกอย่าง ๆ บางครั้งเกิดจากการ “เติมสรรปั้นแต่ง” หรือ “บิดเบือน” จนไม่สนใจเลยว่าหากเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว จะยิ่งทวีความเกลียดชังให้เพิ่มมากขึ้นแก่ประชาชนด้วยกันเอง
และอาจหมิ่นเหม่ที่จะเกิดเป็น “สงครามกลางเมือง” ขึ้นได้ทุกเมื่อ !
อย่างไรก็ดี “สงครามแย่งชิงข้อมูลข่าวสาร/แย่งชิงมวลชน” ในสังคมไทยขณะนี้ ดูคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ในอดีต ระหว่างวิกฤติการณ์ ร.ศ.112 (พ.ศ.2436) เพียงแค่เปลี่ยนคู่มวยจาก “สื่อไทย vs สื่อไทย” เป็น “สื่อสยาม vs สื่อฝรั่งเศส” เท่านั้น
โดยวิกฤติการณ์ดังกล่าว มีผลลัพธ์จบลงด้วยการปะทะกันระหว่างฝ่ายสยามกับฝรั่งเศส และท้ายสุดส่งผลให้สยามเสียดินแดนและค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาลไป
ที่น่าสนใจคือ ระหว่างวิกฤติการณ์ที่อื้อฉาวนั้น เกิดปรากฏการณ์ “แย่งชิงพื้นที่ข่าว แย่งชิงมวลชน” ระหว่างหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับคือ “ธรรมสาตรวินิจฉัย” ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ในประเทศไทย กับ “สยามฟรีเพรส” ซึ่งเป็น กระบอกเสียงให้กับชาวฝรั่งเศส
“ไกรฤกษ์ นานา” นักวิชาการทางประวัติศาสตร์ ได้เขียนบทความอธิบายถึงปรากฏการณ์ดังกล่าว ผ่านบทความ “สื่อมวลชนกับสงคราม “แย่งชิงพื้นที่ข่าว แย่งชิงมวลชน” การตีความใหม่ กรณี ร.ศ.112” ลงหนังสือศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 33 ฉบับที่ 8 เดือนมิถุนายน 2555 ไว้อย่างละเอียด และน่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
โดย “ไกรฤกษ์” ระบุว่า ระหว่างวิกฤติการณ์ดังกล่าว สื่อมวลชนนับว่าเป็นคนกลางผู้สร้างกระแสให้ประชาชนรับทราบข้อมูลข่าวสารเพียงช่องทางเดียวในเวลานั้น หนังสือพิมพ์จึงเป็นเครื่องสื่อสารประเภทเดียว ทำหน้าที่กระบอกเสียงของรัฐบาลซึ่งมีประสิทธิภาพที่สุด แต่ปัญหามีอยู่ว่าภายในประเทศของเรามิได้มีเฉพาะหนังสือพิมพ์ของคนไทยเท่านั้น แต่ยังมีสื่อของฝ่ายตรงข้ามคือพวกฝรั่งเศสก็เข้ามาลงทุนผลิตหนังสือพิมพ์ภาคภาษาไทยในกรุงเทพด้วย เพื่อแข่งขันกันเสนอข่าวสารต่าง ๆ อย่างเปิดเผยเช่นกัน
“อันเป็นปัจจัยใหม่ก่อให้เกิดสงครามแย่งชิงประชาชน สร้างความสับสนให้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และเป็นสาเหตุของการบิดเบือนความจริงต่าง ๆ”
ขณะที่ ก่อนหน้ายุค ร.ศ.112 นั้นธุรกิจหนังสือพิมพ์แทบจะถูก “ผูกขาด” อยู่ในมือของชาวยุโรปเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยที่รู้จักกันดีคือ “บางกอกไทมส์ (Bangkok Times)” และ “สยาม ออบเซอร์เวอร์ (Siam Observer)” อย่างไรก็ดีภายหลังเหตุวิกฤติการณ์ ร.ศ.112 อุบัติขึ้น หนังสือพิมพ์ที่ดำเนินการโดยชาวต่างชาติถูกชาวสยามมองว่าขาดความน่าเชื่อถือ เนื่องจากเชื่อว่าเสนอข่าว “เอนเอียง” ไปทางฝรั่งเศสซึ่งเป็นชาวต่างชาติเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ดี ในขณะที่ชาวสยามส่วนใหญ่กระหายที่จะทราบข้อเท็จจริง และการบานปลายของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็มีการรณรงค์ให้ภาครัฐหรือเอกชนไทยแท้ ๆ ตอบโต้พวกฝรั่งเศสบ้าง ด้วยการออกหนังสือพิมพ์ไทยขึ้น โดย “นายเปลี่ยน” ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษคือสามารถเข้าถึงหน่วยงานข่าวกรอง และมีข้อมูลจำเพาะมากมายที่เป็นข้อมูลภายใน และข้อมูลจากภายนอกประเทศที่นักข่าวธรรมดาไม่น่าจะเข้าถึงได้ ได้ลุกขึ้นมาตั้งตัวเป็น บ.ก.พิมพ์หนังสือพิมพ์ชื่อ “ธรรมสาตรวินิจฉัย”
แต่นายเปลี่ยนก็มิได้เปิดเผยตัวเองว่าได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลหรือไม่
โดยเนื้อหาของหนังสือพิมพ์ “ธรรมสาตรวินิจฉัย” ได้เขียน “เชลียร์” ประเทศสยามอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู โดยยกชาวสยามเป็นชนชาติรักสงบและใฝ่หาสันติภาพ และสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเป็นภัยจากภายนอกประเทศที่ยุแหย่ให้เราตบะแตกเท่านั้น แต่หากถึงคราวจำเป็นที่จะต้องสู้รบกันชาวสยามก็ไม่เคยหวาดกลัวเลย
“ไกรฤกษ์” ระบุว่า หนังสือพิมพ์สมัย ร.ศ.112 มีอิทธิพลอย่างมากในการปลุกระดมมวลชนและสร้างสถานการณ์ได้ไม่แพ้มาตรการด้านการทูต การเมือง และการทหาร เนื่องจากประชาชนมักจะเชื่อรายงานของผู้สื่อข่าวมากกว่าคำสั่งจากรัฐบาล โดยไม่สนใจว่าสื่อมวลชนจะรับคำสั่งหรือบงการจากใคร หนังสือพิมพ์จึงมักจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเสมอ ตราบใดที่สามารถตอบโจทย์ และบอกในสิ่งที่คนต้องการรู้ได้
อย่างไรก็ดี ด้วยความที่ชาวต่างชาติในสยามก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย และต่างกระหายที่จะอ่านสื่ออื่นนอกจากหนังสือพิมพ์ของรัฐบาลสยาม หนังสือพิมพ์ “สยามฟรีเพรส (SIAM FREE PRESS)” จึงถือกำเนิดขึ้น 2 ปีก่อนหน้าวิกฤติการณ์ ร.ศ.112 โดยมีเป้าหมายเพื่อ “โฆษณาชวนเชื่อ” และปรับความเข้าใจในหมู่ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในสยาม
และระหว่างวิกฤติการณ์ ร.ศ.112 นั้น “สยามฟรีเพรส” ได้นำเสนอข่าวและลงบทความ/บทวิเคราะห์ ที่เน้นโจมตีนโยบายต่างประเทศของสยาม และวิพากษ์วิจารณ์ท่าทีของสยามที่ต่อต้านฝรั่งเศส
ส่งผลให้ “ธรรมสาสตรวินิจฉัย” ตั้งสมญานามให้ “สยามฟรีเพรส” ว่า “หนังสือพิมพ์ซึ่งเป็นลิ้นของพวกฝรั่งเศส”
จากเหตุการณ์ “แย่งชิงข้อมูลข่าวสาร/แย่งชิงมวลชน” ของสื่อ 2 ฉบับดังกล่าว “ไกรฤกษ์” ได้สรุปว่า ระหว่างวิกฤติการณ์ ร.ศ.112 ทั้งสยามและฝรั่งเศส ได้ใช้กลยุทธ์ในการยึดพื้นที่ข่าวที่ตนมี แย่งชิงมวลชนอยู่ในกรุงเทพ เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้กับทางการของตน
“แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับกลายเป็น “สงครามสื่อมวลชน” ตามข้อมูลที่หน่วยข่าวกรองของทางราชการป้อนให้และต้องการรายงานเท่านั้น ขึ้นอยู่กับว่าคนอ่านจะเลือกหนังสือพิมพ์ฉบับไหนมาอ่าน”
ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ “แย่งชิงข้อมูลข่าวสาร/แย่งชิงมวลชน” ของหนังสือพิมพ์ทั้ง 2 ฉบับ เทียบกับสถานการณ์ของ “สื่อเลือกข้าง” ในสังคมไทยในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าแทบจะคล้ายคลึงกับบริบทสังคมไทยในปัจจุบัน อาจต่างนิดหน่อยตรงที่บริบทการเมืองสมัยวิกฤติการณ์ ร.ศ.112 อยู่ระหว่างการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งทำให้ขีดจำกัดของเสรีภาพในการนำเสนอข่าวอาจด้อยกว่าปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี บทความวิเคราะห์สื่อ ในยุค ร.ศ.112 ของ “ไกรฤกษ์” สะท้อนให้เห็นว่านอกเหนือจากเรื่องชาตินิยมที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายระหว่างสยามและฝรั่งเศสแล้ว “การเมืองและทุน” คือสิ่งที่คอยบงการให้สื่อนำเสนอข่าวเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของเจ้าของ ซึ่งแทบไม่ต่างอะไรกับสื่อในปัจจุบันแม้แต่น้อย
น่าสนใจว่า “สงครามสื่อ” ที่ปะทุขึ้นอย่างดุเดือดอยู่ในขณะนี้ หากยังขยายขอบเขตโหมกระพือความเกลียดชังจนใกล้เคียงกับสื่อในวิกฤติการณ์ ร.ศ.112
ขณะที่ “สื่อ” ยังไม่ตระหนักในเรื่องดังกล่าวเสียที
“สงครามกลางเมือง” ที่หลายฝ่ายหวาดกลัวกัน ก็อาจอยู่ไม่ไกลอย่างที่คิดแล้วก็เป็นได้ !