- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- เปิดความเห็น ตุลาการเสียงข้างมาก คืนตำแหน่งเลขาฯ สมช.“ถวิล”
เปิดความเห็น ตุลาการเสียงข้างมาก คืนตำแหน่งเลขาฯ สมช.“ถวิล”
"...นายถวิล เปลี่ยนศรี ได้บรรยายในคำฟ้องว่า การโอนผู้ฟ้องคดีจากตำแหน่งเลขา สมช. ไปเป็นตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ทำให้ผู้ฟ้องคดีเสียหายทั้งในแง่ที่ไม่ได้ปฏิบัติงานเป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะของผู้ฟ้องคดีและเป็นประโยชน์ต่อราชการ เป็นการลดบทบาทและความสำคัญของผู้ฟ้องคดี .."
จากกรณีสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบสำเนาคำพิพากษาอุทธรณ์ ศาลปกครองสูงสุด ในคดีที่ นายถวิล เปลี่ยนศรี เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ( ก.พ.ค.) ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากการมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 152/2554 ลงวันที่ 7 ก.ย.54 ให้นายถวิลพ้นจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี
ในส่วนความเห็นแย้งของคณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดฝ่ายเสียงข้างน้อย 8 เสียง ที่ไม่เห็นพ้องด้วยกับมติของตุลาการศาลปกครองสูงสุดฝ่ายเสียงข้างมาก 14 เสียง ที่เห็นควรให้ นายถวิล ได้กลับสู่ตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ภายใน 45 วัน นับแต่วันที่มีคำพิพากษา และนำมาเสนอให้สาธารณชนรับทราบไปก่อนหน้านี้ นั้น
(อ่านประกอบ: เบื้องหลัง! มติตุลาการ 14 ต่อ 8 เสียงคืนตำแหน่งเลขาฯ สมช. “ถวิล”)
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้ประมวลผลสรุปการพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าว พบประเด็นความเห็นเพิ่มเติมต่อการกำหนดคำบังคับที่แตกต่างกันระหว่างศาลปกครองชั้นต้น ศาลปกครองสูงสุด โดยองค์คณะที่ 3 และมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุดฝ่ายเสียงข้างมาก ดังนี้
1.ร่างคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดโดยองค์คณะที่ 3 เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ที่ให้เพิกถอน ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี 30 ก.ย. แต่ไม่เห็นพ้องกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ให้เพิกถอน คำสั่ง 7 ก.ย. โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่คำสั่งและประกาศดังกล่าวมีผลบังคับ
โดยศาลปกครองสูงสุดองค์คณะที่ 3 เห็นว่า กรณีที่ศาลปกครองมีคำบังคับให้เพิกถอนคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยให้การเพิกถอนย้อนหลังไปถึงวันที่คำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับนั้น การดำเนินการให้เป็นไปตามคำบังคับของศาลก็คือการย้อนเวลากลับไปในอดีต เสมือนหนึ่งว่าไม่เคยมีการออกคำสั่งดังกล่าวมาก่อน
ทั้งนี้ ข้อสังเกตในประเด็นดังกล่าว ของศาลปกครองสูงสุดองค์คณะที่ 3 คือ การย้อนอดีตไม่อาจทำได้ เพราะหากหมายถึงการคืนตำแหน่ง สถานถานภาพเดิมในทางนิตินัยแล้ว หากในกรณีที่ผู้ฟ้องเกษียณอายุราชการ การคืนตำแหน่งในทางพฤตินัยจึงไม่อาจทำได้ หรือแม้ในกรณีที่ยังอาจกลับเข้าสู่ตำแน่งในทางพฤตินัยได้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกลับเข้าสู่ตำแหน่งเสมอไป
เพราะในระหว่างการพิจารณาคดีของศาล ถ้าศาลมิได้มีคำสั่ง ให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่งที่ให้ผู้ฟ้องคดี พ้นจากตำแหน่งเดิมไว้ก่อน ตำแหน่งเดิมนั้น ย่อมมีการแต่งตั้งบุคคลอื่นให้ดำรงตำแหน่งแทนผู้ฟ้องคดีไปแล้ว การที่ศาลจะออกคำบังคับ โดยสั่งให้เพิกถอนคำสั่งพิพาทที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยจะกำหนดให้การเพิกถอนมีผลย้อนหลัง หรือไม่ เพียงใดนั้น ศาลจะต้องคำนึงถึงหลักกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงของนิติฐานะและการคุ้มครองสิทธิของบุคคลอื่นซึ่งสุจริตด้วย
2.ขณะที่มติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดฝ่ายเสียงข้างมาก 14 ต่อ 8 เสียงเห็นว่าเพื่อเป็นการแก้ไขเยียวยาความเดือดร้อนเสียหาย ที่ผู้ฟ้องคดีได้รับจากประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน ลงวันที่ 30 กันยายน 2554 ที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดี มีประเด็นการพิจารณาดังนี้
"ในส่วนการกำหนดบังคับตามคำพิพากษาเพื่อเยียวยาความเดือดร้อนหรือเสียหายของผู้ฟ้องคดีตามคำขอ โดยการสั่งให้เพิกถอนประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 30 กันยายน 2554 จำต้องกำหนดให้การเพิกถอนมีผลย้อนหลังไปนับแต่วันที่ 30 กันยายน 2554 ซึ่งเป็นวันที่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวมีผลใช้บังคับหรือไม่ หรือให้การเพิกถอนมีผลนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หรือให้การเพิกถอนมีผลไปในอนาคต และจำต้องมีข้อสังเกตหรือไม่ อย่างไรนั้น ศาลปกครองสูงสุด โดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ( 14 เสียง ) พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เพื่อเป็นการแก้ไขเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีได้รับจากประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการพลเรือน ลงวันที่ 30 กันยายน 2554 ที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ จึงให้การเพิกถอนประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ประกาศดังกล่าวมีผลใช้บังคับ คือ วันที่ 30 กันยายน 2554"
"โดยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทาง หรือวิธีดำเนินการให้เป้นไปตามคำพิพากษา ตามนัยมาตรา 69 วรรคหนึ่ง ( 8 ) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ควรที่จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายเพื่อให้ผู้ฟ้องคดีได้กลับสู่ตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทั้งนี้ ภายใน 45 วัน นับแต่วันที่มีคำพิพากษานี้"
3.ด้านความเห็นแย้งของคณะตุลาการในศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างน้อย นอกจากที่เคยนำเสนอไปแล้ว สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org พบรายละเอียดเพิ่มเติมคือ ภายหลังจากที่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างน้อยได้พิจารณาคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีแล้ว
ปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีคือ นายถวิล เปลี่ยนศรี ได้บรรยายในคำฟ้องว่า การโอนผู้ฟ้องคดีจากตำแหน่งเลขา สมช. ไปเป็นตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ทำให้ผู้ฟ้องคดีเสียหายทั้งในแง่ที่ไม่ได้ปฏิบัติงานเป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะของผู้ฟ้องคดีและเป็นประโยชน์ต่อราชการ เป็นการลดบทบาทและความสำคัญของผู้ฟ้องคดี รวมทั้งทำให้เสียสิทธิในการได้รับค่ารถประจำตำแหน่ง เดือนละ 41,000 บาท นับ ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2554 เป็นต้นมา ซึ่งเท่ากับว่าผู้ฟ้องคดีอ้างว่าตนได้รับความเสียหาย แยกเป็นสองส่วนด้วยกัน
คือ ส่วนแรก เป็นความเสียหายด้านจิตใจที่ไม่ได้ปฏิบัติงานที่เป็นความเชี่ยวชาญของผู้ฟ้องคดี และถูกลดบทบาทและความสำคัญของผู้ฟ้องคดี รวมทั้งทำให้เสียสิทธิในการได้รับค่ารถประจำตำแหน่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่มีอำนาจหน้าที่ในทางบริหารมาและมีผู้ใต้บังคับบัญชา มาดำรงเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฯ
ส่วนที่ 2 ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าตนเสียสิทธิในการได้รับค่ารถประจำตำแหน่ง แต่ผู้ฟ้องคดีก็มิได้บรรยายมาในคำฟ้องให้ชัดเจนและมิได้แสดงพยานหลักฐานสนับสนุนมาด้วยว่าตนได้รับความเสียหายตามที่กล่าวอ้างอย่างไร คิดเป็นเงินจำนวนเท่าใด และผู้ฟ้องคดีก็มิได้ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดี เป็นจำนวนเท่าใด โดยผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ศาลเยียวยาความเดือดร้อนเสียหาย โดยการสั่งเพิกถอนคำสั่งพิพาท โดยให้ผู้ฟ้องคดีกลับไปดำรงตำแหน่ง เลขา สมช.ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2554 โดยศาลชั้นต้นได้พิจารณาคำฟ้องและคำขอบังคับดคีของผู้ฟ้องคดีแล้ว จึงได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งพิพาท โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่คำสั่งดังกล่าว มีผลบังคับ โดยมิได้บังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ความเสียหายด้านจิตใจและการเสียสิทธิได้รับค่ารถประจำตำแหน่งให้แก่ผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด โดยมีข้อสังเกตแต่เพียงว่า ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการให้ผู้ฟ้องคดีสามารถปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง เลขาธิการ สมช. โดยเร็ว
ในประเด็นดังกล่าว คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดฝ่ายเสียงข้างน้อย ไม่เห็นพ้องด้วยกับการกำหนดข้อบังคับและข้อสังเกตของศาลปกครองชั้นต้น โดยเห็นว่าการเยียวยาความเดือดร้อนหรือเสียหายของผู้ฟ้องคดี ที่ศาลปกครองมีอำนาจกำหนดบังคับให้ได้ ตามมาตรา 72 วรรค 1 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน คือการสั่งให้เพิกถอนคำสั่งพิพาท
ส่วนการกำหนดว่าจะให้การเพิกถอนคำสั่งมีผลตั้งแต่เมื่อใดนั้น มาตรา 72 วรรค 2 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน บัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งว่าให้เป็นไปตามดุลพินิจของศาลที่จะพิจารณาได้เอง ว่าจะกำหนดให้การเพิกถอนมีผลย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลัง หรือมีผลไปในอนาคต หรือในขณะใด ขณะหนึ่ง หรือจะกำหนดให้มีเงื่อนไขอย่างใดก็ได้
“ทั้งนี้ ศาลให้คำนึงถึงความเป็นธรรมแก่กรณี นอกจากนี้ ยังมีหลักกฎหมายทั่วไปในทางปกครองที่สำคัญอีกประการหนึ่งว่า ในการพิจารณาพิพากษาคดีปกครองนั้น ศาลปกครองจะต้องอำนวยความยุติธรรมทางปกครอง โดยพยายามรักษาดุลยภาพ ระหว่างการดูแลรักษาประโยชน์ส่วนตัวของผู้ฟ้องคดี กับผลกระทบที่อาจจะมีต่อประโยชน์สาธารณะและการบริหารราชารแผ่นดิน ที่รัฐโดยหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นผู้ถูกฟ้องคดี มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาอีกด้วย”
เหล่านี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเห็นแย้ง ก่อนที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ผู้ฟ้องคดีคือนายถวิล เปลี่ยนศรีได้กลับสู่ตำแหน่งเลขาฯ สมช. ภายใน 45 วัน นับแต่วันที่มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ที่ผ่านมา