- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- “สมบัติ”VS“วีรพัฒน์”กรณีศาลรัฐธรรมนูญตีตก พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล.
“สมบัติ”VS“วีรพัฒน์”กรณีศาลรัฐธรรมนูญตีตก พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล.
"ดร.สมบัติ เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญชัดเจน ทั้งใน 2 ประเด็น และเป็นการสร้างบรรทัดฐานต่อหลักนิติธรรม ขณะที่นายวีรพัฒน์ มีข้อสังเกตและตั้งคำถามอย่างละเอียด ถึงการตีความรัฐธรรมนูญ ขอบเขตอำนาจของศาลในการวินิจฉัยตามมาตรา 154 รวมถึงทวงถามคำวินิจฉัยฉบับเต็มที่ควรเปิดเผยต่อสาธารณะ มิใช่เพียงการเผยแพร่เอกสารข่าวต่อสื่อมวลชน .. นี่คือ ทรรศนะที่แตกต่าง ระหว่างนักกฎหมาย 2 รายนี้"
ภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า ร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ…. ขัดต่อรัฐธรรมนูญทั้งในส่วนเนื้อหาและกระบวนการ และเห็นสมควรให้ตีกตกไป
ทั้งให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาจำนวนมาก โดยเฉพาะความเห็นในกลุ่มนักวิชาการ ที่ดูเหมือนจะแตกออกเป็นสองฝ่าย
ทั้งนี้ เพื่อสะท้อนมุมมองทั้งสองด้านต่อผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ที่ออกมาให้สาธารณชนได้รับทราบ
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้ติดต่อไปยังศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และนายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ เพื่อขอสัมภาษณ์เกี่ยวกับผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท และนำมาเสนอ ณ ที่นี้
โดย ดร.สมบัติ เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญชัดเจน ทั้งใน 2 ประเด็น และเป็นการสร้างบรรทัดฐานต่อหลักนิติธรรม
ขณะที่นายวีรพัฒน์ มีข้อสังเกตและตั้งคำถามอย่างละเอียด ถึงการตีความรัฐธรรมนูญ ขอบเขตอำนาจของศาลในการวินิจฉัยตามมาตรา 154 รวมถึงทวงถามคำวินิจฉัยฉบับเต็มที่ควรเปิดเผยต่อสาธารณะ มิใช่เพียงการเผยแพร่เอกสารข่าวต่อสื่อมวลชน
นับจากบรรทัดนี้ไป คือ ทรรศนะที่แตกต่าง ระหว่างนักกฎหมาย 2 รายนี้
ดร. สมบัติ
“ศาลวินิจฉัยชัดเจน คือประเด็นที่1 เนื้อหาขัดต่อกฎหมาย ประเด็นที่ 2 การดำเนินการผิด เพราะมีการเสียบัตรแทนกัน คือ ทั้งเนื้อหาและการดำเนินการผิด ทำให้กฎหมายนี้ตกไป จากนี้จึงถือเป็นบรรทัดฐานว่าถ้าจะมีการเสนอกฎหมายเช่นนี้อีกในอนาคต แม้เป็นงบประมาณที่กู้มา ศาลก็วินิจฉัยว่าต้องเป็นไปตามกฎหมายงบประมาณ”
“กรณีที่มีคนผิด แล้วศาลบอกว่าผิด เป็นการแทรกแซงการบริหารตรงไหน เพราะถ้าไม่พูดถึงเนื้อหา การดำเนินการในการพิจารณาร่างกฎหมายนี้ก็ผิดหลักนิติรัฐ นิติธรรม มันเป็นการดำเนินการไม่ถูกกต้อง ซึ่งการแก้ไขที่มาของ สว. ก็ทำแบบเดียวกัน กรณีดังกล่าวก็มีการให้การว่ามีหลายคนทำด้วย เหล่านี้มันก็สะท้อนว่าทำผิดกันบ่อย ซึ่งการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญครั้งก็ชัดเจน”
ดร.สมบัติ กล่าวด้วยว่า “เงินนี้ควรใช้วิธีตามงบประมาณปกติได้ ไม่จำเป็นต้องทำเป็นวิธีเงินนอกงบประมาณ แบบนี้ ตั้งใจหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ”
ดร.สมบัติ กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า การวินิจฉัยครั้งนี้คงไม่ได้ปลดล็อคหรือเป็นทางออกจากภาวะวิกฤติทางการเมือง
“คงไม่ได้ปลดล็อคอะไร ยกเว้น จะมีใครไปยื่นเรื่องว่า ส.ส. ที่ออกเสียงสนับสนุน จะดำเนินการอย่างไร แต่ รัฐบาลก็แสดงออกมาแล้วว่าจะไม่รับผิดชอบ ไม่แสดงสปิริตด้วยการลาออก แม้จะบอกว่า จะตายในสนามประชาธิปไตย แต่เราก็ไม่เคยเห็นสปิริต ของนายกฯ หรือของรัฐบาลชุดนี้”
นายวีรพัฒน์
ข้อสังเกตประการแรก
“แนวปฏิบัติที่ผ่านมาของศาลรัฐธรรมนูญที่มีปัญหามากคือ เมื่อศาลเผยแพร่ต่อสื่อมวลชนว่ามีมติวินิจฉัย และออกข่าวให้ทราบว่ามีมติอย่างไร แต่ศาลกลับไม่เปิดเผยคำวินิจฉัยฉบับเต็มให้อ่าน ทั้งที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต้องเด็ดขาด แต่ที่ศาลทำในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคือ มาประชุมกันตอนเช้า แล้วนักข่าวก็ไปรอ แล้วก็แจก เอกสาร 3-4 แผ่น ศาลอื่นไม่มีใครเขาทำแบบนี้ เมื่อเขาจะมีคำพิพากษา เขาต้องเขียนเสร็จแล้ว และมาอ่านเมื่อเขียนเสร็จแล้ว แต่อันนี้เราไม่รู้ เพราะวิพากษ์วิจารณ์ไปก็ลำบากอีก ศาลอาจจะอ้างได้ว่า ทำไมไม่อ่านฉบับ เต็ม”
“ผมก็ตั้งคำถามเสมอว่า ถ้าคุณไม่เขียน คำวินิจฉัยฉบับเต็ม แต่เผยแพร่เอกสารข่าวมาก่อน ย่อมนำไปสู่คำถามของสังคม เพราะการจะลงมติ จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมีคำวินิจฉัยฉบับลายลักษณ์อักษรเผยแพร่แล้ว แต่ศาลกลับไม่เปิดเผยคำวินิจฉัย ฉบับเต็ม ทั้งที่สังคมมีสิทธิ์จะรับรู้ และนำไปสู่คำถามว่าสิ่งที่สังคมวิจารณ์นำไปสู่การเขียนคำวินิจฉัยฉบับเต็มในภายหลังหรือไม่ ถ้าคุณไม่เขียน คำวินิจฉัย ให้เสร็จ แล้วไปออกข่าว แล้วเขียนทีหลัง สิ่งที่สังคมวิจารณ์จะส่งผลต่อการมาเขียน คำวินิจฉัยหรือไม่ เพราะเมื่อศาลไม่เปิดเผย เราเกิดคำถาม และเราก็วิจารณ์ได้เฉพาะที่ศาลเผยแพร่ตามเอกสารข่าวเท่านั้น”
ข้อสังเกตประการที่ 2
“กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้แจงต่อสังคม มี สองประเด็น แต่ศาลไม่วิจินิฉัยเลยว่าตัวเองมีอำนาจรับวินิจฉัยพิจารณาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 154 หรือไม่
“กรณีที่ศาลจะตรวจสอบร่างกฎหมายได้หรือไม่นั้น มีเพียง 2 กรณี คือ ถ้ามีข้อความในร่างกฎหมายไปขัดแย้ง ต่อตัวบทรัฐธรรมนูญ เช่น รัฐธรรมนูญบอกว่าห้ามกู้เงินเกินหนึ่งล้านล้าน แต่ไปกู้สองล้านล้าน นั้นผิด
“กรณีวินิจฉัยประเด็นที่สอง คือ วินิจฉัยประเด็นการตราขึ้นโดยไม่ถูกต้อง คือถ้าดูตามแนววินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านๆ มา จะเห็นได้ว่าศาลดูที่กระบวนการการประชุมวาระ หนึ่ง สอง สาม ดังนั้น ถ้าศาลวินิฉัยเรื่องการเสียบบัตรแทนกัน ถามว่าศาลมีอำนาจไหม? ผมยืนยันว่าศาลมีอำนาจ แต่ใช้อำนาจนั้นถูกต้องหรือไม่ กระบวนการถูกต้องหรือไม่”
“ปัญหาคือ เมื่อผมไปดูคำวินิจฉัยในเอกสารข่าวที่ศาลเผยแพร่ พบว่าประเด็นหนึ่ง ศาลดูแค่คนๆ เดียว คือคุณ นริศร สส พรรคเพื่อไทยแล้วศาลไปตีความว่าทั้งหมดทำไม่ถูกต้อง ผมไม่ปฏิเสธว่า ถ้า ส.ส. คนนั้น กระทำการไม่ถูกต้อง ควรจะถูกดำเนินการอื่นๆ ทั้งทางจริยธรรม วินัย บทลงโทษทางสังคมเช่นประณามโดยสื่อ แต่ไม่ใช่ว่าไปลงโทษคนอื่นๆ ด้วย ทำให้กฎหมายนี้ตกไป กรณีนี้ผมเห็นว่าศาลนำข้อเท็จจริงของ คนๆ เดียว มาผูกมัดคนทั้งสภาฯ
ข้อสังเกตประการที่ 3
“ผมเห็นว่าศาลก้าวล่วงไปในสิ่งที่ศาลไม่มีอำนาจ เพราะนี่ไม่ใช่กรณีที่ข้อความในร่างกฎหมายไปขัดแย้งต่อข้อความในรัฐธรรมนูญ การโต้เถียงในประเด็นคำวินิจฉัยที่สองคือ ศาลไม่ได้ไปตรวจสอบข้อความ ในร่างกฎหมาย แต่ศาลไปดูวิธีการที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากที่กฎหมายนี้ถูกบังคับใช้ ศาลไปตัดสินในสิ่งที่เป็นอนาคต ทั้งที่ศาลมีอำนาจเฉพาะตามที่ มาตรา 154 ให้ไว้ ในการตรวจสอบร่างกฎหมาย ถามว่า ศาลมีอำนาจหรือไม่ ผมขอตอบว่ามี แต่ใช้อำนาจนั้นไม่ถูกต้อง
“และในประเด็นคำวินิจฉัยที่ 2 คือการพิจารณาว่าข้อความในร่างกฎหมายนี้ ไปขัดรัฐธรรมนูญไหม คำวินิจฉัยของศาลในเอกสารข่าว ไม่มีระบุนะครับ เพราะถ้าขัดรัฐธรรมนูญ คุณต้องเขียนว่ารัฐธรรมนูญชี้มาอย่างนี้ แต่คุณขัดกฎหมายอย่างไร ศาลแค่บอกว่า “เป็นเงินแผ่นดิน” และ “ไม่ใช่เรื่องจำเป็นเร่งด่วน”
“ศาลไม่เขียนไว้เลยว่าขัดกับรัฐธรรมนูญ ตรงไหน บทบัญญัติไหนบ้าง แต่คุณมาอ้างว่าเงินนี้เป็นเงินแผ่นดิน ศาลอ้างถึงวินัยการคลังซึ่งมันเป็นการปฏิบัติการเมื่อมีการใช้กฎหมายนี้ นี่คือปัญหาเรื่องข้อความหรือเนื้อหา หรือปัญหาเรื่องวิธีการปฏิบัติหลังจากมีกฎหมายนี้ ดังนั้น ศาลมีปัญหาตรงที่ไปตัดสินในสิ่งที่เป็นอนาคต
“ศาลตีความไปว่าศาลมีอำนาจตัดสิน ซึ่งศาลมีสิทธิ์เป็นห่วง ผมก็ห่วง ผมเองก็เป็นนักกฎหมายคนหนึ่งที่เคยวิจารณ์ร่างกฎหมายนี้ ว่าไม่รัดกุมและให้อำนาจฝ่าย บริหารมากเกินไป ผมเคยเสนอให้มีการแก้ไขในชั้นกรรมาธิการและวุฒิสภาด้วย แต่ไม่มีใครทำ
“กรณีคำวินิจฉัยนี้ ผมเห็นว่าศาลไม่มีอำนาจไปตัดสินเรื่องที่รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจไว้ ผมเห็นว่าถ้าโครงการนี้เกิดขึ้น ใช้ไปแล้วมันมีการทุจริต คุณก็ไป ร้อง ป.ป.ช. ได้ หรือใช้กระบวนการสื่ออย่างสำนักข่าวอิศราไปขุดคุ้ยว่าเป็นอย่างไร แต่ศาลไม่มีสิทธิ์ ศาลไปตัดสินไม่ได้ ศาลตัดสินได้เฉพาะที่รัฐธรรมนูญกำหนด เช่น การวินิจฉัยพ.ร.ก. เพราะพ.ร.ก. กำหนดว่าศาลต้องตัดสินว่าเร่งด่วนจริงหรือไม่ และเพราะ พ.ร.ก.ตราขึ้นโดยฝ่ายบริหาร ศาลจึงเข้าไปคานอำนาจฝ่าย บริหาร แต่ พ.ร.บ. มาจากสภาฯ เป็นสภาฯ ที่มาจากประชาชนทั้งหมด แต่นี่เป็นการใช้ คน 9 คนบอกว่าไม่ได้ คุณเอาความเห็น คน 9 คน และไม่ใช่ความเห็นทางกฎหมาย
ข้อสังเกตุประการที่ 4
“มาตรา 169 ที่ศาลเอามาอ้างวาเป็นเงินแผ่นดินหรือไม่ ผมตอบว่าไม่ใช่ประเด็น เพราะประเด็นของมาตรา 169 คือการจ่ายเงินแผ่นดินออกไป ถามว่า การกู้เงินเป็นเงินแผ่นดินไหม มันไม่ได้ออกจากประเทศ มันเข้าสู่การคลัง รัฐธรรมนูญ มาตรา 169 คือการจ่ายเงินแผ่นดิน จ่ายเงินออกไป แต่กฎหมายนี้ เมื่อคุณกู้มาแล้ว คุณต้องใช้หนี้เขา เงินคืนสู่คลัง เมื่อนั้นแหละต้องใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี ขณะที่มาตรา 169 ว่าด้วยการจ่ายเงินแผ่นดินออกไป
“ส่วนเรื่องคำวินิจฉัยกรณีจำเป็นเร่งด่วน มาตรา 169 เป็นมาตราที่ให้ฝ่ายนิติบัญญัติ ไปตรวจสอบฝ่ายบริหาร แต่เมื่อท่าน ส.ส. ส.ว. เห็นว่าไม่กระทบ เขาก็ผ่านกฎหมายนี้ ศาลไปตีความมาตรา 154 ที่ให้ตรวจสอบได้เฉพาะส่วนของข้อความและกระบวนการว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ และศาลเอาไปรวมเอากับมาตรา 169
“ผมเห็นว่ากรณีนี้ ศาลไปชี้แทนประชาชนว่าอะไรจำเป็นเร่งด่วน อะไรมีวินัยหรือไม่"
นายวีรพัฒน์กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ในส่วนของการวินิจฉัยข้อความของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ศาลไม่อ้างถึงมาตราไหนในกฎหมาย
“แต่ศาลอ้างถึง “ความจำเป็น” ซึ่งเป็นการก้าวล่วงอำนาจของฝ่ายการเมือง”
…
นี่คือความเห็นต่างที่นักกฎหมายทั้ง 2 คน มีต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณี ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท
ส่วนเหตุผลฝ่ายไหนจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน อยู่ที่ดุลยพินิจของประชาชน!