- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- "นริศร"ยันมีญาติรวย ช่วยใส่เงินบัญชี"ลูก" 4 ล้าน
"นริศร"ยันมีญาติรวย ช่วยใส่เงินบัญชี"ลูก" 4 ล้าน
"นริศร" อดีต ส.ส.จอมเสียบบัตร ยันญาติพี่น้องมีฐานะ"รายได้ดี" ช่วยใส่เงินบัญชีลูกพุ่ง 4 ล. แจงหนี้สินลดฮวบ 11 ล้าน เหตุ บสท.ถูกยุบทิ้ง เลยไม่แจ้งข้อมูล ป.ป.ช.ต่อ ท้าใครอยากตรวจสอบเชิญ
จากกรณีสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า นายนริศร ทองธิราช อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ. สกลนคร พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็น ส.ส. ที่รับหน้าที่เสียบบัตรแทน ส.ส.คนอื่น” ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาและคุณสมบัติของ สว.เป็นการกระทำที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรา 68 และ ร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจ กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ…. หรือ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน
ระบุในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ช่วงพ้นตำแหน่ง ส.ส. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556 ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า มีวงเงินหนี้สินลดลงเหลือเพียงแค่ 290,459 บาท จากยอดเดิม 12,569,825.70 บาท ที่แจ้งไว้ช่วงเข้าตำแหน่ง ส.ส. ขณะที่บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีเงินฝากในบัญชีเพิ่ม 4 ล้านบาท นั้น
(อ่านประกอบ: “นริศร”จอมเสียบบัตร มีเงินโผล่ในบัญชีลูก 4 ล้าน)
ล่าสุด นายนริศร ทองธิราช ให้สัมภาษณ์ชี้แจงสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ว่า สาเหตุที่ทำให้หนี้สินของตนหายไป เป็นจำนวนเงินกว่า 11 ล้านบาท เป็นเพราะว่าหนี้สินส่วนนี้ไม่มีความผูกพันอะไรกับตนอีกแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องแจ้งให้ทาง ป.ป.ช. รับทราบ
“เมื่อหลายปีก่อนธุรกิจของครอบครัวผมมีปัญหาถูกฟ้อง วงเงินหนี้เกือบ 40 กว่าล้าน เราก็ไปเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ กับบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ตกลงวงเงินหนี้ที่ต้องชำระอยู่ประมาณ 12 ล้าน และมีที่ดินประมาณ 4 แปลงติดอยู่ในนั้น แต่ต่อมา บสท.ถูกยุบเลิกไป ที่ดินของผมถูกขายต่อไปยัง บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด เมื่อหนี้มันไม่มีแล้ว ที่ดินก็ไม่ใช่ของเราแล้ว ผมก็เลยไม่จำเป็นต้องแจ้งข้อมูลหนี้สินส่วนนี้กับป.ป.ช.อีกต่อไป”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ดิน 4 แปลง ที่ถูกโอนขายต่อไปยังบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด เป็นของใคร และแจ้งในบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. หรือไม่ นายนริศร ตอบว่า เป็นที่ของคนในครอบครัว เอามาวางค้ำประกันการลงทุนทำธุรกิจไว้ ไม่เกี่ยวกับตน
นายนริศร กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับที่ดินทั้ง 4 แปลงดังกล่าว ล่าสุดตนอยู่ระหว่างติดต่อ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด เพื่อขอซื้อดินคืนกลับมา หลังได้รับการยืนยันว่าบริษัทฯ จะเปิดให้เจ้าของหนี้เดิม สามารถเข้าไปติดต่อซื้อที่ดินก่อนบุคคลคนอื่นได้ ตอนนี้ตนก็กำลังอยู่ระหว่างการเจรจา ที่จะไปซื้อที่ดินของครอบครัวกลับคืนมา
เมื่อถามว่า ธุรกิจที่เกิดปัญหาเป็นของตนเองหรือไม่ นายนริศร ตอบว่า "เป็นธุรกิจครอบครัวผม ทำรับเหมา แต่ตอนนี้ไม่มีชื่อผมกับภรรยาเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่มีชื่อของลูกชายที่บรรลุนิติภาวะไปแล้ว เข้าถือหุ้นอยู่ ให้พวกเขาทำมาหากินกันไป"
เมื่อถามว่า ลูกๆ ที่เข้ามาถือหุ้นในบริษัทอาจถูกมองว่า เป็นนอมินี แทนตัวเองได้ นายนริศร ตอบว่า “ก็แล้วแต่ใครจะมอง ผมไม่กังวลอะไรหรอก ใครจะมองอะไรก็มองไป”
เมื่อถามว่า ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารงานบริษัทหรือไม่ นายนริศร ตอบว่า “ไม่เกี่ยวอะไรเลย ผมไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรด้วย”
ส่วนกรณีเงินจำนวน 4 ล้านบาท ที่ปรากฏอยู่ในบัญชีฝากของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ นั้น นายนริศร ตอบว่า “เป็นเงินที่มาจากญาติพี่น้อง พวกเขามีฐานะ มีรายได้ดี มีเงินกันทั้งนั้น เมื่อได้เงินมาก็โอนเข้ามาให้ลูกผม ก็ไม่มีอะไรนิ และลูกผมไปเรียนที่เมืองนอกมาหลายครั้ง เวลาทำเรื่องไปเรียนต่อก็ต้องมีเงินในบัญชีเป็นหลักล้านถึงจะไปได้”
เมื่อถามว่า ในการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ต่อ ป.ป.ช. ระบุว่า มีรายได้จากการให้เช่าเครื่องจักร นายนริศร ตอบว่า “เครื่องจักรเป็นของบริษัทในครอบครัว ราคาแพงอยู่ แต่ไม่ได้เป็นชื่อผม เป็นชื่อของบริษัท เลยไม่จำเป็นที่จะต้องแจ้งข้อมูลอะไร ต่อ ป.ป.ช.”
เมื่อถามว่า หาก ป.ป.ช. จะเข้ามาตรวจสอบข้อมูล พร้อมหรือไม่ นายนริศร ตอบว่า "ไม่มีปัญหาอะไร ใครจะเข้ามาตรวจสอบข้อมูลได้เลย พร้อมอยู่แล้ว เพราะเราไม่มีอะไรนี่"