- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- มติเอกฉันท์! ป.ป.ช.เชือด"นิคม" ปมแก้รธน.ที่มาสว.หยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที
มติเอกฉันท์! ป.ป.ช.เชือด"นิคม" ปมแก้รธน.ที่มาสว.หยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที
ป.ป.ช.มติเอกฉันท์ชี้มูลความผิด "นิคม ไวยรัชพานิช" ปมแก้ รธน.ที่มา สว. กรณีไม่ให้สิทธิผู้สงวนคำแปรญัตติได้พูด "ประสาท" เผยต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที ส่วน "สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์" ยังต้องรอไต่สวนเพิ่มเติม
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2557 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายประสาท พงษ์ศิวาภัย คณะกรรมการป.ป.ช. ในฐานะรองโฆษกป.ป.ช. แถลงว่า ที่ประชุมป.ป.ช.ชุดใหญ่ มีมติเป็นเอกฉันท์ ชี้มูลความผิดนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา จากความผิดในประเด็นเรื่องการตัดสิทธิสมาชิกผู้แปรญัตติ และผู้สงวนคำแปรญัตติจำนวนมาก โดยใช้เสียงข้างมากในที่ประชุมปิดการอภิปราย ซึ่งมีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจ ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ อันเป็นมูลเหตุให้ถูกถอนออกจากตำแหน่ง ซึ่งประธานป.ป.ช.จะส่งรายงานและเอกสารไปยังประธานวุฒิสภาให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากที่ป.ป.ช.มีมติจะทำให้นายนิคมต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันทีหรือไม่ นายประสาท กล่าวว่า ตามขั้นตอนทางกฎหมายนายนิคมจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ หลังจาก ป.ป.ช. มีมติ ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ต่อ
เมื่อถามว่า กรณีดังกล่าวจะส่งเรื่องให้รองประธานส.ว.รับเรื่องแทนหรือไม่ นายประสาท กล่าวว่า อันนั้นเป็นขั้นตอนที่วุฒิสภาต้องไปหารือกันว่าจะทำอย่างไร ป.ป.ช.มีหน้าที่ส่งเรื่องไต่สวนไปตามสายงาน ส่วนใครจะเป็นคนรับเรื่องก็เป็นหน้าที่ของวุฒิสภา
นายประสาท ยังระบุด้วยว่า กรณีการไต่สวนข้อเท็จจริงกล่าวหา นายนิคม ไวยรัชพานิช ว่ากระทำความผิดต่อหน้าที่ราชการ และร้องขอให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง กรณีเสนอร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) พุทธศักราช ... ในประเด็นเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภา มีคำร้องยื่นเข้ามา 4 กรณี คือ
1. กรณีนายนิคม ได้รวมลงชื่อในญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ (1) ซึ่งเสนอโดยนายดิเรก ถึงฝั่ง สมาชิกวุฒิสภา และคณะ และฉบับที่ 2 ซี่งเสนอโดยนายประสิทธิ์ โพธสุธน สมาชิกวุฒิสภา และคณะเป็นผู้เสนอ
2. กรณีนายนิคม ซึ่งเป็นประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่รองประธานสภา ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมได้จัดให้มีการลงมติเพื่อวินิจฉัยตัดสิทธิสมาชิก ผู้แปรญัตติ ผู้สงวนคำแปรญัตติ และผู้สงวนความเห็นจำนวน 57 คน โดยอ้างเหตุคำแปรญัตติของสมาชิกรัฐสภาขัดต่อหลักการ
3. กรณีรวบรัดให้มีการอภิปรายลงมติปิดอภิปราย ทั้งที่มี ผู้แปรญัตติ ผู้สงวนคำแปรญัตติ และผู้สงวนความเห็นที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิอภิปรายจำนวนมาก ในมาตรา 5,6,7,8,9,10,11,11/1 และ 12 โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของสมาชิก
และ 4.กรณีนายนิคม ให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องที่มาของสว.หลายครั้ง โดยแสดงความเห็นในเชิงลบต่อกระบวนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาว่าไม่ตรงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฯ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติเอกฉันท์ ว่าการกระทำของนายนิคม สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภาผู้ทำหน้าที่ประธานในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา (สมัยสามัญทั่วไป) จำนวน 5 ครั้ง เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งนายนิคมได้รับญัตติให้ปิดอภิปราย ทั้งที่มีผู้ขอแปรญัตติ และผู้สงวนคำแปรณัตติ และผู้สงวนความเห็นรอภิปรายอยู่ จึงเป็นการตัดสิทธิผู้ขอแปรญัตติ ผู้สงวนคำแปรญัตติและผู้สงวนความเห็น โดยได้ใช้เสียงข้างมากในการประชุมปิดการอภิปราย ประกอบกับการนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงการเบิกพยานหลักฐานต่างๆ มาพิจารณาเพิ่มเติม จึงเห็นว่ามีมูลความผิดฐานส่อว่าจงใจใช้อำหน้าหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 3 วรรคสอง และมาตรา 291 อันเป็นมูลเหตูให้ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 และ 274 ประกอบพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ.2554 มาตรา 56 ,58 ,61 และ 62
ส่วนข้อกล่าวหาอื่นอีก 3 ประเด็นที่เหลือ ตามที่มีผู้ยื่นคำร้องมา ป.ป.ช. เห็นว่าไม่มีมูลค่วามผิด ให้ข้อกล่าวหาเป็นอันตกไป
นายประสาท ยังกล่าวด้วยว่า ส่วนการดำเนินคดีอาญากับนายนิคม ป.ป.ช. จะดำเนินการไต่สวนข้อมูลต่อไป
นายประสาท กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา ซึ่งอยู่ระหว่างการไต่สวนของป.ป.ช. ในกรณีเดียวกันนั้ ขณะนี้กระบวนการไต่สวนยังไม่เสร็จ ยังมีหลายประเด็นที่ต้องตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม