- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- ล็อคจุดตาย! "ยิ่งลักษณ์-ครม."ก่อนคำวินิจฉัยศาลรธน.กรณีโยกย้าย "ถวิล"
ล็อคจุดตาย! "ยิ่งลักษณ์-ครม."ก่อนคำวินิจฉัยศาลรธน.กรณีโยกย้าย "ถวิล"
เปิดคำพิพากษาศาลปค.สูงสุด กรณีแต่งตั้งโยกย้าย "ถวิล" ไม่ชอบด้วยกม. ล็อคจุดตาย! ก่อนคำวินิจฉัย ศาล รธน. ตัดสิน "ยิ่งลักษณ์-ครม." พ้น-ไม่พ้นตำแหน่งทั้งคณะ ตามคำร้อง "ส.ว.ไพบูลย์"
ในวันที่ 2 เมษายน 2557 ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาวินิจฉัยคำร้องที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการป้องกันการทุจริตและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ร่วมกับ ส.ว. อีก 28 คน ส่งคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้วินิจฉัยให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สิ้นสุดลง ตามมาตรา 182 วรรค ( 7 ) ประกอบมาตรา 268 กรณีแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการ อย่างไม่เป็นธรรม
ซึ่งมีสาระสำคัญอยู่ที่การชี้ให้ศาลฯ เห็นการกระทำผิดตามมาตราดังกล่าว โดยอ้างถึงสำเนาคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำที่ อ.992 / 2556 หมายเลขแดงที่ อ.33/2557 ระหว่างนายถวิล เปลี่ยนศรี ผู้ฟ้องคดี กับ นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ซึ่งนายไพบูลย์เห็นว่าคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีนี้ แสดงข้อเท็จจริงว่า นายกฯ กระทำผิดตามมาตรา 268 ที่บัญญัติว่า นายกฯ และรัฐมนตรี จะกระทำการใดที่บัญญัติไว้ ในมาตรา 266 มิได้ เว้นแต่เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภา หรือตามที่กฎหมายบัญญัติ โดยมาตรา 266 ตามที่ถูกระบุไว้ใน มาตรา 268 ก็คือ “สส. สว. จะแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการ หรือแทรกแซงไม่ได้”
ทั้งนี้ เพื่อให้สาธารณชน ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับการพิจารณาวินิจฉัยคำร้องที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกวุฒิสภา ของศาลรัฐธรรมนูญ มากขึ้น
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org จึงได้นำสำเนาคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในส่วนที่ชี้ให้เห็นว่าการแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี พ้นตำแหน่งเลขาธิการ สมช. เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไปแล้ว มานำเสนอ ณ ที่นี้
โดยศาลพิเคราะห์ในประเด็นสำคัญ คือ
1.กรณีนายกฯ ( ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ) อ้างว่าการย้ายถวิลเป็นไปตามที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภาคือ แต่ข้อเท็จจริง ปรากฏว่าไม่เป็นไปตามที่แถลงนโยบายไว้
2. ศาลเห็นว่าตำแหน่งเลขาธิการ สมช. สามารถเสนอแนะ ให้คำปรึกษาแก่นายกฯได้โดยตรง ปฏิบัติหน้าที่ได้ตามที่นายกฯ กล่าวอ้างอยู่แล้ว
ขณะที่ตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ที่นายถวิลถูกย้ายไปนั้น ตำแหน่งนี้ อยู่ใต้บังคับบัญชาของเลขาธิการนายกฯ และการปฏิบัติราชการของผู้ดำรงตำแหน่งนี้ก็ขึ้นอยู่กับ การมอบหมายของผู้บังคับบัญชา ( ซึ่งในที่นี้คือเลขาธิการสำนักนายกฯ ) ดังนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งนี้ จึงไม่อาจเสนอแนะนโยบาย ด้านความมั่นคงต่อ นายกฯ ได้โดยตรง
3. ศาลตรวจสอบข้อเท็จจริง ตั้งแต่ในชั้นเสนอผู้มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง ของทั้งสองฝ่ายให้ ตกลงยินยอม การโอนจนถึงในชั้นการนำเสนอ คณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาอนุมัติ ว่ามิได้มีการให้เหตุผลของการโอนนายถวิล ตามที่กฎหมายกำหนด
ดังใจความสำคัญตอนหนึ่งจากสำเนาคำพิพากษาของคดีนี้ ระบุว่า
“ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า ในการพิจารณาโอนผู้ฟ้องคดีไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ สำนักเลขาธารนายกรัฐมนตรี นั้น ไม่ปรากฏว่าได้มีการเสนอหรือแสดงถึงเหตุผลในการโอนผู้ฟ้องคดีไว้โดยชัดแจ้งแล้ว โดยปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรในคำสั่งที่ทำเป็นหนังสือเพียงเท่าที่ระบุไว้ ในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 152/2554 เรื่องให้ข้าราชการมาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 7 กันยายน 2554 โดยระบุเหตุผล ไว้กว้างๆ แต่เพียงว่า เพื่อความเหมาะสมและประโยชน์ของทางราชการ ซึ่งคำสั่งดังกล่าวเป็นเพียงการสั่งให้ผู้ฟ้องคดีมาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราวในระว่างรอการดำเนินการโอนตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในมาตรา 57 วรรคหนึ่ง ( 1 ) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551
“จากข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงต้องถือว่าในการดำเนินกระบวนการโอนผู้ฟ้องคดีมาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ในชั้นการเสนอให้ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง ของทั้งสองฝ่ายให้ตกลงยินยอมการโอน จนถึงในชั้นเสนอ คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัตินั้น ไม่ปรากฏว่าได้มีการรายงานความสมควร พร้อมทั้งเหตุผลประกอบตามมาตรา 57 วรรคสอง แห่งพระราชบัญยัติข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
“ศาลปกครองสูงสุดจึงรับฟังข้อเท็จจริงว่า การใช้อำนาจดุลยพินิจ ของฝ่ายบริหาร ตามกฎหมายการโอนผู้ฟ้องคดี จากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ให้มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกร ฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ในชั้นเสนอผู้มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง ของทั้งสองฝ่ายให้ ตกลงยินยอม การโอนจนถึงในชั้นการนำเสนอ คณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาอนุมัติ มิได้มีการให้เหตุผลของการโอนผู้ฟ้องคดี”
ศาลสรุปได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (นายกฯ) ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ได้แถลงนโยบายในการบริหารประเทศต่อรัฐสภา โดยนโยบายความมั่นคงของรัฐ ถือเป็นนโยบายเร่งด่วน ที่นายกฯ แถลงต่อรัฐสภาว่า จะต้องเร่งดำเนินการภายในปีแรกของการเข้าบริหารราชการแผ่นดิน และเป็นหน้าที่ของนายกฯ ในการกำหนดหรือใช้ยุทธศาสตร์ ที่เหมาะสมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา
ดังนั้น นายกฯ จึงต้องการบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ยาวนานในการปฏิบัติราชการเกี่ยวกับความมั่นคง เพื่อมาช่วยปฏิบัติราชการ ในฝายนโยบายให้บรรบุผลสัมฤทธิ์ของงานด้านความมั่นคงของประเทศ และเห็นว่าผู้ฟ้องคดี ( นายถวิล ) ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการ เลขาธิการ สมช. มีคุณสมบัติครบถ้วนตรงตามความต้องการ จากนั้น เลขาธิการนายกฯ จึงมีหนังสือลับมาก ที่ นร 0401.2/2418 ลงวันที่ 4 กันยายน 2554 ถึงรองนายกรัฐมนตรี ( พล.ต.อ. โกวิท วัฒนะ ) เสนอความเห็นชอบให้โอนนายถวิล มาดำรงตำแห่งที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ สำนักเลขาธิการฯ
“ซึ่งศาลปกครองย่อมมีอำนาจตรวจสอบข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงได้ว่า เหตุผลดังกล่าวข้างต้นที่นายกฯ นำมาอ้างหลังจากที่มีการ โอนนายถวิลแลวนั้น เป็นไปตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ ประเด็นสำคัญที่ ศาลพิเคราะห์ คือ ขอบเขตความรับผิดชอบ อำนาจหน้าที่ ของ ตำแหน่งเลขาธิการ สมช.ซึ่งเป็นตำแหน่งเดิมของนายถวิล ก่อนสั่งโอนย้าย และตำแหน่งที่ ปรึกษานายกฯ"
“ศาลพิเคราะห์ตาม พรบ. ปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 มาตรา 7 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติถึงส่วนราชการในสำนักนายกรัฐมนตรี และวรรคสอง ที่บัญญัติส่วนราชการ ที่อยู่ในบังคับ บัญชาขึ้นตรงต่อนายกฯ
โดยเฉพาะในส่วนของ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และ พรบ. สภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2502 มาตรา 7 ให้มี สมช. มีหน้าที่ ดำเนินกิจการให้เป็นไปตามติของ สมช และให้มีเลขาธิการสมช. เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ และมีหน้าที่เสนอแนะและจัดทำนโยบาย อำนวยการ ประสานการปฏิบัติ ติดตาม ประเมินผล และพัฒนานโยบายความมั่นคงแห่งชาติ ยุทธศาสตร์ และแผนงานที่เกี่ยวข้อง กับความมั่นคงแห่งชาติ ทั้งในด้านความมั่นคงภายในประเทศ ความมั่นคงในภูมิภาคและความมั่นคง ระหว่างประเทศ ครอบคลุมถึงภัยคุกคามความมั่นคงภายใน ภัยคุกคามข้ามชาติ ภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ รวมทั้งการป้องกันประเทศละการเตรียมพร้อมแห่งชาติ การอำนวยการข่าวกรอง การจัดการความขัดแย้ง และการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดน ตลอดจนการอื่นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติ และเสนอความเห็นต่อ สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ ครม.
“ซึ่งจะเห็นได้ว่า ตำแน่งเลขาธิการ สมช. เป็นตำแหน่งที่ขึ้นตรง ต่อ นายกฯ และมีอำนาจหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับกิจการความมั่นคงขอประเทศ โดยเป็นที่ปรึกษาเสนอแนะ นโยบาย มาตรการ และแนวทางปฏิบัต้านความมั่นคงแห่งชาติ ต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติและครม ผู้ดำรงตำแหน่งนี้ จึงสามารถเสนอแนะนโยบาย ด้านความมั่นคง ของประเทศ ต่อ นายกฯ ได้โดยตรงอยู่แล้ว ส่วนตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ นั้น เป็นตำแหน่ง ที่ ก.พ.กำหนดขึ้น โดย ก.พ. ได้กำหนดหน้าที่ ความรับผิดชอบ ตามลักษณะงาน ของตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีไว้ ซึ่งตำแหน่งนี้ เป็นตำแหน่งข้าราชการประจำ ที่ ก.พ.ได้กำหนดไว้ ในสำนักเลขาธิการนายกฯ ซึ่งมีเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชา
“ผู้ดำรงตำแหน่งนี้ จึงอยู่ใต้บังคับบัญชา ของเลขาธิการนายกรัฐมนตรี การปฏิบัติราชการของผู้ดำรงตำแหน่งนี้ ย่อมขึ้นอยู่กับการมอบหมายของผู้บังคับบัญชา และผู้ดำรงตำแหน่งนี้ไม่อาจเสนอแนะนโยบายด้านความมั่นคง ของ ประเทศต่อ นายกฯ ได้โดยตรง แต่จะต้องเสนอผ่านเลขาธิการนายกฯ
“ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่า ภายหลังจากที่นายกฯ ได้มีคำสั่งสำนักนายกฯ ที่ 152 /2554 ลงวันที่ 7 กันยายน 2554 ให้นายถวิล มาปฏิบัติราชการสำนักนายกฯ แล้ว เลขาธิการนายกฯ ได้มีหนังสือสำนักเลขาธิการนายกฯ ที่ นร 0401.2 / 8479 ลงวันที่ 8 กันยายน 2554 ถึงนายถวิล แจ้งว่า นายกฯ ได้มีบัญชามอบหมายงานให้นายถวิล ปฏิบัติราชการประจำรองนายกฯ (พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ) เกี่ยวกับงานด้านความมั่นคงของประเทศ ในการอำนวยการและประสานการปฏิบัติตามนโยบายและยุทธศาสตร์ ความมั่นคงแห่งชาติ โดยผู้ฟ้องคดี อ้างในคำฟ้องว่าตั้งแต่นายกฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ สำนักเลขาธิการ นายกฯ มิได้มอบหมายงานให้นายถวิล ปฏิบัติตามที่ได้ อ้างถึงความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนในการมีคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้ฟ้องคดี มาดำรงตำแหน่งดังกล่าวแต่อย่างใด
“จากข้อเท็จจริงที่ศาลได้ตรวจสอบ ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า นายกฯ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล และในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุด ของข้าราชการประจำ ของราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ย่อมมีอำนาจดุลยพินิจ ในการบริหารงานบุคคล หมุนเวียนสับเปลี่ยนบทบาทหรือการทำหน้าที่ ของข้าราชการเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปตามแนวนโยบาย ที่นายกฯ ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาได้
“แต่การใช้อำนาจดุลพินิจดังกล่าวของนายกฯ นั้น นอกจากจะต้องคำนึงถึง วัตถุประสงค์ ของกฎหมาย และอยู่ภายในขอบเขตของกฎหมายแล้ว ยังจะต้องมีเหตุผล รองรับที่มีอยู่จริงและอธิบายได้ ซึ่งไม่ปรากฏข้อเท็จจริง ว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้อ้างเหตุผลในการโอนผู้ฟ้องคดีว่าผู้ฟ้องคดีได้ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีประสิทธิภาพ มีข้อบกพร่อง หรือไม่สนองนโยบายของรัฐ ซึ่งจะถือได้ว่า มีเหตุผลอันสมควรที่ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งโอนได้ตามความเหมาะสม จึงถือได้ว่าเป็นการใช้ดุลยพินิจ โดยมิชอบ อันเป็นเหตุแห่งความไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประการหนึ่งตามมาตรา 9 วรรค หนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ดังนั้น การโอนผู้ฟ้องคดี จากตำแหน่งเลขาธิการ สมช. มาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษา นายกรัญมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ตามประกาศสำนักนายกฯ ลงวันที่ 30 กันยายน 2554 จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ทั้งหมดนี้ คือข้อเท็จจริง ที่ปรากฏในคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่นายไพบูลย์ กล่าวว่า
“ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยแล้วว่าไม่ใช่การแต่งตั้ง โยกย้าย ที่เป็นไปตามการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาและเป็นการกระทำ โดยไม่ชอบ เป็นไปเพื่อให้ ผู้อื่นมาดำรง ตำแหน่ง ผบ.ตร คือแม้ศาลไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่เป็นอันรู้กันว่าเพื่อให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์มานั่ง ผบ.ตร. เพราะฉะนั้น กรณีนี้ ถ้าคุณยิ่งลักษณ์ ย้าย คุณถวิล โดยไม่ใช่คุณเพรียวพันธ์มานั่งเป็น ผบ.ตร. จะไม่เข้าข่าย ไม่ผิดตามมาตรา 266 เลย แต่นี่ เห็นได้ชัดว่าเป็นการแต่งตั้ง โยกย้าย เพื่อประโยชน์ตนเอง คือเพื่อให้เครือญาติตนเข้ามา”
จากนี้ จึงต้องจับตาว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะเป็นไปตามที่นายไพบูลย์ชี้ประเด็น ล็อคจุดตาย "ยิ่งลักษณ์-ครม." ขึ้นมาพิจารณาหรือไม่? อย่างไร?