โอท็อปไม่ใช่แค่ขายของ นักวิชาการญี่ปุ่นชี้ต้องพัฒนาควบคู่ สินค้า-ชุมชน
นัก วิชาการญี่ปุ่น เน้นกระบวนการโอท็อปมาจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ดึงทัศนะภายนอกสร้างความแตกต่าง ย้ำรายได้ต้องตกถึงชุมชน หากอยู่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ทำให้เกิดการพัฒนา
เมื่อเร็วๆนี้ ในงานประชุมวิชาการนานชาติ “การยกระดับคุณภาพชีวิตและภูมิปัญญาท้องถิ่น อาเซียน” ซึ่งจัดโดย มหาวิทยาลัยราชมงคล 9 แห่ง ร่วมกับสำนักเลขาธิการสภาการศึกษาจังหวัดเชียงใหม่ มีการเสวนา หัวข้อ ”อนาคตการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP และการผลิตผลิตภัณฑ์ชุมชนไทย” โดยมีนายคาซูฮิซะ มัตซุย นักพัฒนา หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (One Tambon One Product: OTOP) จากประเทศญี่ปุ่น ร่วมเสวนา
นาย คาซูฮิซะ กล่าวว่า ในประเทศญี่ปุ่นนั้นจะเป็นนโยบาย One Village, One Product หรือ OVOP เนื่องจากมองว่าต้องเริ่มพัฒนาจากหน่วยที่เล็กที่สุด นั้นคือหมู่บ้าน โดยเกิดจากการที่หมู่บ้านหรือตำบลค้นพบการชะงักงันในการดำรงอยู่ แล้วเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ให้เป็นกระบวนการ โดยมิใช่กระบวนการหาเงินหรือ ขายของเพียงอย่างเดียว แต่ต้องควบคู่กับกระบวนการพัฒนา เรียนรู้ในชุมชน การแสวงหาและพัฒนาวัตถุดิบ ควบคู่กันไป
“ในขณะที่หลายที่เข้าใจว่า OTOP คือการนำของในท้องถิ่นมาแปรรูปในลักษณะง่ายหรือซับซ้อนเป็นอุตสาหกรรม โดยลืมพิจารณากระบวนการพัฒนาชุมชน คือการคิดวิเคราะห์ร่วมกันแล้วแก้ไขปัญหาในชุมชน ฉะนั้นกระบวนการสร้าง OVOP หรือแม้กระทั่ง OTOP นั้นจะต้องคู่ขนานสองส่วนคือ 1.การพัฒนากระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ หรือสินค้าที่จะขาย และ 2.พัฒนากระบวนการเรียนรู้ของชุมชน” นักพัฒนา OTOP ชาวญี่ปุ่น กล่าวและว่า สิ่งสำคัญคือ รายได้ต้องตกถึงชุมชน หากรายได้ที่เกิดขึ้นไปอยู่กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งและไม่ได้เจือจางความเป็น อยู่ของคนในชุมชน กระบวนการเรียนรู้และพัฒนา แก้ไขปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ นายคาซูฮิซะ กล่าวสรุปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการพัฒนาท้องถิ่นไว้ 3 ข้อ ได้แก่
1.จะ ต้องไม่เป็นเพียงแค่ความคิดจากภายนอกแล้วให้คนในท้องถิ่นทำ แต่เป็นการที่คนในท้องถิ่นตระหนักเห็นปัญหาและสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ได้ มีการเกิดการเปลี่ยนจากภายใน
2.ใช้ทัศนะจากภายนอกสร้างความแตก ต่าง โดยให้เน้นว่า เราจะเป็นสินค้าที่เป็นหนึ่งเดียวหรือจะเป็นสินค้าที่ดีกว่าที่อื่น โดยการที่จะผลิตสินค้า นั้นถ้าไม่ได้หยั่งรากลึกจากการพัฒนาท้องถิ่นนั้นจะเป็นกระบวนการที่ไม่ ยั่งยืน เพราะไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชุมชน
3.การเรียนรวมกัน เป็นเครือข่าย แบ่งปันความรู้ในระดับท้องถิ่นไม่ใช่ระดับรัฐบาล เป็นกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ยั่งยืนที่สุด ในกระบวนการพัฒนา เพราะเมื่อผู้นำชุมชน หรือผู้นำทางวิญญาณถ่ายทอดความรู้มาสู่อีกกระบวนการหนึ่งเป็นการเรียนรู้ พัฒนาชุมชนบนโจทย์ของการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ก.พาณิชย์ ชี้ปัญหาโอท็อป มีกำลังการผลิตจำกัด
ขณะที่ นาง พิรมล เจริญเผ่า รองปลัดกระทรวงพานิชย์ กล่าวถึงนโยบายหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ว่า เป็นนโยบายที่ดี แต่วิธีการไม่ถูกต้อง อาจมีการข้ามขั้นตอน การที่หน่วยงานราชการพาผู้ประกอบการนำผลิตภัณฑ์ OTOP ไปขายในงานแสดงสินค้า ไม่ว่าจะเป็นที่เมืองทองธานี หรือต่างประเทศโดยใช้งบประมาณกว่า 10 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ สิ่งที่ได้กลับมา แม้จะเป็นการที่ขายสินค้าได้ มีรายได้ แต่นั่นไม่ใช่รายได้ที่ยั่งยืน
“ในมุมมองของคนที่ทำเรื่องการตลาด เห็นว่าปัญหาของ OTOP คือเรื่องการผลิตที่จำกัด นั่นคือไม่สามารถรับออเดอร์ใหญ่ได้และที่สำคัญคือคุณภาพไม่สม่ำเสมอ บางประเภทรับได้แต่บางประเภทรับไม่ได้ เช่น การวาดภาพ ที่จะสามารถเห็นความแตกต่างได้ง่าย ทั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่จะแก้ไขได้คือ เรามีสถาบันการศึกษา มีผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่งอยากจะขอให้ทางสถาบันการศึกษาเป็นผู้ที่ช่วยขับเคลื่อนนโยบายจากภาครัฐ ไปสู่ภาคปฏิบัติ”
นอกจากนี้ รองปลัดกระทรวงพานิชย์ กล่าวถึงการเปิดประชาคมอาเซียนด้วยว่า สิ่งที่น่ากลัวคือภูมิปัญญาของไทยนั้นจะถูกลอกเลียนแบบ ไม่ว่าจะด้านวัฒนธรรมหรืออื่นๆ โดยประเทศเพื่อนบ้านมีการนำไปจดลิขสิทธิ์หรือขึ้นทะเบียนบ้างแล้วในขณะที่ ไทยยังไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากนี้สินค้าที่ด้อยคุณภาพจะเข้ามาสู่ประเทศมากขึ้น และในขณะนี้เราขาดแคลนแรงงาน เพราะเราใช้แรงงานต่างประเทศ ฉะนั้นเรากลับมาคิดว่าเรามองเรื่องเศรษฐกิจมากไปหรือไม่
“เมื่อ ประชาคมอาเซียนเปิด ผู้ประกอบการอาจต้องออกไปหาวัตถุดิบสำหรับการผลิตจากประเทศอื่นๆ โดยสามารถผ่านกระทรวงพานิชย์ได้ นอกจากนี้ กระบวนการผลิตของ OTOP อาจต้องทำเป็นระบบมากขึ้น โดยแบ่งหน้าที่กันทำ ผู้ผลิตก็มีหน้าที่ผลิต อย่าให้ผู้ผลิตมาเป็นผู้ชายเอง และสิ่งหนึ่งที่แต่ละชุมชนจำเป็นต้องทำคือการสร้างแบรนด์ของตนเอง ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นที่รู้จัก และช่วยในการประชาสัมพันธ์ในภาพรวมได้ด้วย”
ที่มาภาพ : http://otop.ohojunk.com