"ดร.จิรายุ" ชี้หมดยุค CSR ไฟไหม้ฟาง มองการพัฒนาต้องทำต่อเนื่อง
ดร.วรากรณ์ เผย CSR ปัจจุบันเข้าสู่เวอร์ชั่น 3.0 เน้นเปลี่ยนคุณค่าภายในตัวคน-มองประโยชน์สังคมควบคู่ธุรกิจ รู้จักความพอเพียง
วันที่ 14 สิงหาคม ที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) คณะรัฐประศาสนศาสตร์ มธบ. ร่วมกับมูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด จัดเสวนา “CSR แนวใหม่เพื่อสังคมไทยยั่งยืน” โดย ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ กล่าวปาฐกถาหัวข้อ “CSR แนวใหม่เพื่อสังคมไทยยั่งยืนตามแนวพระราชดำริ” ตอนหนึ่งถึงการดำเนินนโยบายกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) ว่า เป็นสิ่งที่มีคุณค่า ซึ่งเกิดจากการร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างภาคเอกชน ภาครัฐ ผู้มีจิตอาสา
“แนวคิดเรื่อง CSR นั้นอันที่จริงได้เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2505 หรือประมาณ 50 ปีที่แล้ว ในช่วงที่เกิดพายุขนาดใหญ่ที่แหลมตะลุมพุก จังหวัดนครศรีธรรมราช มีผู้เสียชีวิตเป็น 1,000 ราย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชดำรัสให้ใช้สถานีวิทยุในการระดมเงิน สิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย อีกทั้งในเวลาต่อมาพระองค์ยังทรงพระราชทานพระราชดำรัส อาทิ ผู้ที่มีมากกว่าผู้อื่นควรต้องแบ่งปัน หรือสิ่งที่มีอยู่อย่างบริบูรณ์ของคนไทยคือการให้ เพราะเป็นเครื่องประสานไมตรีระหว่างคนกับคน สามัคคีธรรม การให้เป็นบ่อเกิดความสุข”
ดร.จิรายุ กล่าวต่อว่า แม้ตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยจะประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศ ประชาชนมีรายได้สูงขึ้น ซึ่งอาจมีผู้คิดว่าแนวคิด CSR นั้น คงไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะผู้คนสามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น แต่ความจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น เพราะการพัฒนาทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง เกิดความไม่สมดุลด้านการกระจายรายได้ ความไม่สมดุลในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญคือปัญหาค่านิยม ศีลธรรม และความสนใจในเรื่องวัตถุ ทำให้คนสนใจเรื่องของตนเองมากกว่าสังคม วิถีแบบไทยที่เคยอบอุ่น มีน้ำจิตน้ำใจได้ลดน้อยถอยลง จึงทำให้มีผู้อ่อนแอ ที่ยังต้องการความช่วยเหลืออีกจำนวนมาก
“ดังนั้นเห็นว่า การดำเนิน CSR แนวใหม่ จึงต้องเป็นการกระทำเพื่อผลประโยชน์ของสังคมอย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำแบบไฟไหม้ฟาง หนเดียวจบ”ดร.จิรายุ กล่าว
จากนั้นมีการเสวนาเรื่อง “CSR แนวใหม่เพื่อสังคมไทยยั่งยืน” โดยมีนายบุญชัย เบญจรงคกุล ประธานมูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ รองประธานบริษัท โตโยต้ามอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด พลโทสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รองเสนาธิการทหารบก ฝ่ายกิจการพลเรือน และรศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดี มธบ. ร่วมเสวนา
รศ.ดร.วรากรณ์ กล่าวว่า สำหรับตนมองว่า CSR มีด้วยกัน 3 เวอร์ชั่น ได้แก่ CSR เวอร์ชั่น 1.0 ซึ่งกิจกรรมเป็นไปในลักษณะของการบริจาค เช่น บริจาคเงินเพื่อปลูกต้นไม้ ต่อมาคือ CSR เวอร์ชั่น 2.0 กิจกรรมเป็นไปในลักษณะสอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจ เช่น ซื้อกางเกงหนึ่งตัว ร่วมบริจาคเงินเข้ามูลนิธิ 5% และล่าสุดยุคปัจจุบันคือ CSR เวอร์ชั่น 3.0 เป็นการเปลี่ยนแปลงคุณค่าภายในตนเอง บุคลากรในบริษัท องค์กร ให้มีจิตสาธารณะ ตระหนักถึงประโยชน์ของสังคมควบคู่ไปกับธุรกิจ โดยมองว่าเมื่อสังคมดีแล้ว จะส่งผลให้ธุรกิจดีตามด้วย ซึ่งในส่วนของมหาวิทยาลัยนั้นก็ใช้ CSR เวอร์ชั่น 3.0 ในการสอนนักศึกษาเช่นกัน เนื่องจากต้องการเปลี่ยนคุณค่าของคนให้มีชีวิตที่มีความหมาย รับผิดชอบต่อสังคม รวมถึงรู้จักความพอเพียง
นายบุญชัย กล่าวถึงแนวคิดเรื่อง CSR ว่า มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากเดิมที่ผู้บริหารส่วนใหญ่มักจัดทำ CSR เมื่อเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อบริษัทเท่านั้น แต่ปัจจุบันนี้แม้กระทั่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็เข้ามาส่งเสริม ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ที่บริษัทขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ซึ่งมีศักยภาพ มีทรัพยากรและงบประมาณเข้ามาร่วมจัดทำโครงการเพื่อสังคม
ด้านพลโทสุรศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับทหารนั้นมีหน้าที่เตรียมการรบ ใช้กำลังในการรบ รวมถึงเข้าไปช่วยเหลือสังคม ผู้ที่ยากจน และพัฒนาพื้นที่ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว เป็นไปตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้รับสั่งกับเหล่าทหารว่า ทุกข์ของประชาชนคือทุกข์ของแผ่นดิน
"ทั้งนี้ แม้การช่วยเหลือประชาชนจะเป็นหน้าที่ของทหาร ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่เชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากสำนึก จิตวิญญาณของทหารทุกคน ที่ต้องการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ส่วนการการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมของทหารจะลุล่วงได้นั้น ตนมองว่า ขึ้นอยู่กับผู้บริหารที่เข้าใจและลงมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้ใต้บังคับบัญชา เช่นในช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา”
ขณะที่นายนินนาท กล่าวถึงการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมของบริษัทโตโยต้า ว่า เน้นการสร้างสมดุลระหว่างสังคม เศรษฐกิจสิ่งแวดล้อมที่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และการพัฒนาที่ยั่งยืน อีกทั้งบริษัทแม่ยังมีนโยบายที่ชัดเจนว่า หากบริษัทเข้าไปลงทุนในประเทศใดก็ตาม การพัฒนาในด้านต่างๆนั้น จะต้องเป็นไปโดยสอดคล้องกับสภาพชุมชนของประเทศนั้น
“ที่ผ่านมาบริษัทโตโยต้า มุ่งมั่นในการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม มีการน้อมนำพระราชดำริมาเป็นแนวทาง เช่น โรงสีข้าวรัชมงคล ขณะที่การดำเนินงานได้เริ่มทำตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ นั่นคือ เริ่มจากผู้บริหารและบุคคลภายในองค์กร ไปสู่สังคมภายนอก ซึ่งในช่วงภัยพิบัติน้ำท่วมที่ผ่านมา บริษัทก็เข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคมด้วย”
ที่มาภาพ: อินเทอร์เน็ต