หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ฝ่ายที่ดูจะได้ประโยชน์จากการลงนามริเริ่มกระบวนการพูดคุยระหว่างเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ของไทย กับแกนนำขบวนการบีอาร์เอ็น เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 ก.พ.2556 ดูจะเป็นมาเลเซียในฐานะ "ผู้อำนวยความสะดวกให้เกิดการพูดคุย" มากกว่าไทยในฐานะเจ้าของปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ตัวจริงเสียอีก
การลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงเข้าสู่กระบวนการพูดคุยสันติภาพ หรือ General Consensus on Peace Dialogue Process ระหว่างเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร กับ นายฮัสซัน ตอยิบ แกนนำขบวนการบีอาร์เอ็นนั้น เป็นเพียงกิจกรรมหน้าฉาก
แม้ทุกฝ่ายจะขานรับแนวทางการ "พูดคุยสันติภาพ" หรือแม้กระทั่ง "เจรจา" เพื่อหาแนวทางยุติความรุนแรง ณ ดินแดนปลายด้ามขวาน แต่การให้บทบาทมาเลเซียในบริบทของ "ผู้อำนวยความสะดวกให้เกิดการพูดคุย" ก็ถูกตั้งคำถามจากหลายฝ่ายเช่นกันว่ามีความเหมาะสมหรือไม่เพียงใด โดยเฉพาะจังหวะเวลาที่กำลังจะมีการเลือกตั้งใหญ่ในมาเลย์
ปัจจัยสำคัญที่สุดปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยืดเยื้อ...ซึ่งไม่ใช่แค่ 9 ปี แต่มีมานานนับร้อยปี คือความไม่ชัดเจนต่อเนื่องในนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐไทยเอง
"สถานการณ์ใน อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส นั้น จริงๆ แล้วช่วงหลายปีมานี้ดีขึ้นมาก แต่ที่ยังมีเหตุการณ์อยู่ก็เพราะ นายมะรอโซ จันทรวดี ยังไม่ถูกจับ บอกตรงๆ ว่าพื้นที่นี้ถ้าไม่มีนายมะรอโซ รับรองว่าสันติสุขแน่"
คำสั่งของ ปปง. หรือสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ที่ให้อายัดทรัพย์ชั่วคราวโรงเรียนญิฮาดวิทยา แม้จะเป็นข่าวฮือฮาแต่ก็เพียงแค่วันสองวัน ไม่ได้ทำให้โรงเรียนที่ตั้งอยู่กลางดงมะพร้าวใน ต.ตะโละกาโปร์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี แห่งนี้มีชีวิตขึ้นมาแต่อย่างใด
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าโรงเลี้ยงแพะขนาดใหญ่ในสวนยางพาราตรงข้ามกับมัสยิดดารุลตักวา หมู่ 7 ต.ปล่องหอย อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี คือบ้านของ คอมเสาะ อาแว มุสลิมมะฮ์วัย 43 ปี กับลูกๆ อีก 9 คน
"ปัตตานี จายา เมืองแห่งสันติ เพื่อชีวิตที่ดี" เป็นข้อความประชาสัมพันธ์บนภาพถ่ายแบบบ้านจัดสรรอันสวยงาม มองเผินๆ เหมือนบ้านที่ปลูกขายกันตามชานกรุงเทพฯ หรือหัวเมืองท่องเที่ยวอย่างเชียงใหม่ ภูเก็ต และพัทยา แต่ป้ายประชาสัมพันธ์ที่ว่านี้กลับติดตั้งเรียงรายริมถนนสายนราธิวาส-ปัตตานี...ใครจะคิดว่าโครงการแบบนี้จะผุดขึ้นที่ชายแดนใต้
ข่าวเศร้าที่ชาวโรฮิงญาร่วมพันคนถูกกักตัวอยู่ตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซียด้าน อ.สะเดา จ.สงขลา ทำให้เรื่องราวเลวร้ายที่เกิดกับชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมาร์ ถูกบอกเล่าผ่านสื่อทุกแขนงอย่างมากมาย แต่ไม่มีใครเคยถามคนพม่าที่อยู่นอกประเทศว่ามีมุมมองต่อปัญหานี้อย่างไร
ชะตากรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไร้รัฐปรากฏต่อหน้าต่อตาสังคมไทยอีกครั้ง จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครองเข้าช่วยเหลือชาวโรฮิงญาทั้งหญิง ชาย และเด็ก ระหว่างถูกกักตัวอัดแน่นอยู่ในโกดังย่านปาดังเบซาร์และด่านนอก อ.สะเดา จ.สงขลา ตั้งแต่เปิดศักราช 2556 มาได้เพียง 10 วัน นับรวมถึงวันนี้ก็ราวๆ 900 คนแล้ว