เรื่องราวของบาบอสะอูดี สาแม วัยเกือบ 50 ปีซึ่งตาบอดสนิททั้งสองข้าง แต่กลับเปิดปอเนาะตัสกีเราะห์ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ "ปอเนาะบ้านตาแปด" ที่ ต.ปากบาง อ.เทพา จ.สงขลา จนชื่อเสียงขจรขจาย เพราะเปิดสอนเด็กมุสลิมที่มีฐานะยากจนหรือกำพร้า โดยมีเด็กๆ อยู่ในความดูแลมากกว่า 80 ชีวิตนั้น เคยได้รับการถ่ายทอดผ่านพื้นที่แห่งนี้อย่างคมคายและละเมียดละมัย
เหตุการณ์ตากใบ หรือการสลายการชุมนุมที่หน้า สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส ผ่านมากว่า 7 ปีแล้ว แม้หลายชีวิตต้องสูญเสียไป หลายชีวิตยังคงดำดิ่งอยู่ในห้วงทุกข์ แต่ก็มีอีกหลายชีวิตเช่นกันที่หยัดยืนและลุกขึ้นสู้ เพื่อทำชีวิตให้เหลืออยู่ให้มีคุณค่ามากที่สุด
"เขาทำงานหนักไม่ได้แล้ว วันก่อนชวนไปไถนา ไม่ทันไรตาข้างซ้ายก็มีน้ำตาไหลออกมา ข้างในตากลายเป็นสีแดงก่ำ และเขาก็ปวดหัวหนักมาก" พ่อของแวดีเล่าให้สมาชิกในเครือข่ายผู้หญิงภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพฟัง ขณะนั่งกันอยู่หน้าบ้านซึ่งอยู่ด้านหลังมัสยิดตากใบ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส
บรรยากาศเฉลิมฉลองวันตรุษฮารีรายออีดิ้ลอัฎฮา หรือ "รายอยี" ใน จ.ปัตตานี เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (6 พ.ย.) คึกคักไม่แพ้พื้นที่อื่นในสามจังหวัดชายแดน ตามชุมชนและหมู่บ้านต่างๆ ที่มีมัสยิดคลาคล่ำไปด้วยมุสลิมหญิงชายที่ไปละหมาดกันแน่น เด็กๆ หัวเราะเริงร่าเพราะได้รับเงินซอดาเกาะฮ์ (เงินบริจาค) กันถ้วนหน้า
"แม้ว่าเหตุการณ์จะล่วงเลยมานานหลายปีแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง" เป็นความรู้สึกของเหยื่อและผู้สูญเสียส่วนใหญ่จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่หน้า สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2547 ซึ่งเครือข่ายผู้หญิงภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ได้ยินได้ฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงที่ลงไปเยี่ยมเยียนครอบครัวเหยื่อผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บในวาระครบรอบ 7 ปีตากใบ
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีความเคลื่อนไหวรวมพลัง ร่วมแรง ร่วมใจของคนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ 2 เรื่อง หนึ่งคือการร่วมบริจาคเงินและสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้กับผู้ประสบอุทกภัย ส่วนอีกหนึ่งแม้จะมีคนร่วมน้อยกว่าเรื่องแรก แต่ก็สมควรบันทึกเอาไว้ คือการรวมตัวกันของเยาวชน นักศึกษา และกลุ่มปัญญาชน จัดแรลลี่รถคลาสสิคเพื่อประท้วงเชิงสัญลักษณ์ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
“นักข่าวจากปัตตานีใช่ไหม?” คือเสียงถามของหญิงวัย 45 ปีที่กำลังนั่งคัดหัวหอมเตรียมนำไปขายที่ตลาดนัดในบ้านหลังเล็กที่ก่อด้วยอิฐบล็อคริมถนนสายโคกโพธิ์-สะบ้าย้อย เมื่อมีเสียงตอบรับว่าใช่ นางก็โผเข้าหาด้วยน้ำตานองหน้าพร้อมรำพึงรำพัน “ลูกก๊ะไม่ได้ฆ่าตัวตายนะ ช่วยแก้ข่าวให้ด้วย ก๊ะไม่อยากให้ลูกก๊ะถูกสังคมประณาม”
เรื่องราวของหนุ่มสาวพยาบาลในโครงการผลิตพยาบาลวิชาชีพเพิ่มเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้ หรือที่รู้จักกันในนามโครงการ “พยาบาลสามพันอัตรา” ยังคงเป็นประเด็นน่าสนใจ เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวผู้คน และปัญหาที่เกิดขึ้นกับพวกเขาและเธอย่อมหนีไม่พ้นที่ชุมชนและคนในวิชาชีพเดียวกันจะต้องร่วมกันแก้
เหตุระเบิดกลางเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อค่ำวันที่ 21 ส.ค.2551 ทำให้ ชาลี บุญสวัสดิ์ หรือ "ป๋าชาลี" ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐประจำจังหวัดนราธิวาส ต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ อีก 3 ปีถัดมา สุไหงโก-ลกเกิดวิกฤติความรุนแรงอีกครั้งเมื่อวันที่ 16 ก.ย.2554 คราวนี้เป็นระเบิดที่คร่าชีวิต "ภมร ภรณ์พานิช" เหยี่ยวข่าวรุ่นใหญ่จากหนังสือพิมพ์สื่อสมุทร ขณะออกปฏิบัติหน้าที่รายงานความจริงสู่สาธารณชน
ข่าวเล็กๆ จากชายแดนใต้ที่ไม่ใคร่มีใครให้ความสนใจนัก คือเหตุการณ์ลอบยิง นายอารฟัต รักษ์ปราชญ์ อายุ 24 ปี พยาบาลชายประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าทราย อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่การลอบสังหารแพทย์ พยาบาล ถือเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องต้องห้ามไม่ว่าจะเป็นสงคราม ณ พื้นที่ใดในโลก