- Home
- South
- ข่าวทั่วไปศูนย์ข่าวภาคใต้
- สภารับหลักการร่าง พ.ร.บ.ศอ.บต. ฝ่ายค้านติง ขรก.ได้ประโยชน์
สภารับหลักการร่าง พ.ร.บ.ศอ.บต. ฝ่ายค้านติง ขรก.ได้ประโยชน์
ทีมข่าวอิศรา
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
สภาผู้แทนราษฎรรับหลักการร่าง พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้ ส.ส.ฝ่ายค้านอภิปรายไม่เห็นด้วย เหตุเชื่อมีแต่ข้าราชการที่ได้ประโยชน์ แต่ประชาชนไม่ได้อะไร ด้านองค์กรสิทธิมนุษยชนเป็นห่วงหลัง ครม.ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง นำร่อง 4 อำเภอสงขลา ขณะที่ “บิ๊กจิ๋ว” เจ้าของไอเดีย “นครปัตตานี” ล้มแผนเยือนมาเลเซีย
ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันพุธที่ 25 พ.ย.2552 ซึ่งมี นายชัย ชิดชอบ ทำหน้าที่ประธาน ได้ลงมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.... หรือร่าง พ.ร.บ.ศอ.บต.ใหม่ ซึ่งเสนอโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) และสมาชิกรวม 6 ร่าง
ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้เห็นชอบให้พิจารณาร่างกฎหมายทั้ง 6 ฉบับไปในคราวเดียวกัน โดย ส.ส.ฝ่ายค้านส่วนใหญ่อภิปรายไม่สนับสนุนให้ออกกฎหมายฉบับนี้ เนื่องจากเห็นว่าจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง รวมทั้งยังให้อำนาจเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) มากเกินไป นอกจากนั้นยังอาจขัดรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นกฎหมายที่บังคับใช้ในบางจังหวัด ไม่ใช่บังคับเป็นการทั่วไปทั่วประเทศ
นายซูการ์โน มะทา ส.ส.ยะลา พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ปัจจุบันปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ลุกลามบานปลาย และมีการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างมาก แม้ว่ารัฐบาลจะใช้เสียงข้างมากผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ไป แต่ก็มีคำถามคือทำไมจึงไม่ใช้หน่วยงานที่มีอยู่แก้ปัญหา เพราะการตั้งหน่วยงานขึ้นมาใหม่อีก ก็คงไม่สามารถทำให้ภาคใต้สงบลงได้
"ที่ผ่านมา ศอ.บต.ก็มีอยู่แล้ว และไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ จึงไม่เห็นด้วยกับการเสนอร่างกฎหมายฉบับใหม่และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เพราะเห็นว่าเป็นการแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด คนที่ได้ประโยชน์หากกฎหมายผ่านความเห็นชอบจากสภาคือหน่วยงานราชการ โดยเฉพาะด้านสิทธิประโยชน์และการเบิกจ่ายงบประมาณต่างๆ ไม่ใช่ประชาชนในพื้นที่" นายซูการ์โน กล่าว
ขณะที่ นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมาย เพราะไม่มีรายละเอียดการรับฟังความเห็นจากประชาชนเพื่อนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบ ดังนั้นจึงเห็นว่าเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงประเด็น และการออกกฎหมายฉบับนี้จะเป็นเพียงเครื่องมือของทางราชการ ไม่ได้ออกตามที่ประชาชนร้องขอ
ด้าน นายอสิ มะหะมัดยังกี ส.ส.สตูล พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ศอ.บต.ยังมีความจำเป็นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะ ศอ.บต.ที่ตั้งขึ้นใหม่ในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นเพียงเสือกระดาษ ไม่มีกฎหมายรองรับ ดังนั้นหากกฎหมายฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบ จะทำให้ ศอ.บต.เป็นเสือที่แท้จริง
หลังจากอภิปรายแสดงความคิดเห็นกันพอสมควร นายชัยได้ให้ที่ประชุมลงมติ ปรากฏว่าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในวาระแรก หลังจากนี้จะตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณาร่างฯในวาระ 2 ต่อไป
ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง 4 อำเภอสงขลา 1 ปี
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันอังคารที่ 24 พ.ย.ที่ทำเนียบรัฐบาล คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เสนอให้ประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ โดยให้ใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 บังคับใช้ในพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ อ.จะนะ อ.นาทวี อ.เทพา และ อ.สะบ้าย้อย ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ระหว่างวันที่ 1 ธ.ค.2552 ถึงวันที่ 30 พ.ย.2553
ทั้งนี้ มีการให้เหตุผลประกอบการอนุมัติให้ใช้มาตรการตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ว่า เนื่องจากเห็นว่าสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ปรากฏเหตุการณ์ก่อเหตุรุนแรงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2547 โดยมีแนวโน้มที่จะมีอยู่เป็นเวลานาน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ ประกอบกับ ครม.มีมติเมื่อวันที่ 13 ต.ค.2552 เห็นชอบให้นำ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 มาบังคับใช้ และทาง กอ.รมน.พิจารณาเห็นว่าเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างเรียบร้อยมีประสิทธิภาพ จึงเห็นควรให้ประกาศมาตรการตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว
อนึ่ง มติ ครม.เมื่อวันที่ 13 ต.ค.2552 ได้เห็นชอบในหลักการให้ยกเลิกการประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลา แล้วให้ใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรแทน ซึ่งฝ่ายการเมืองระบุว่าเป็นการนำร่องยกเลิกการประกาศกฎอัยการศึก และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงโดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประกอบด้วย จ.ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ต่อไป
องค์รกรสิทธิฯห่วงมาตรการตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
ด้าน มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เลขาธิการศูนย์ทนายความมุสลิม และคณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง “ข้อกังวลต่อการบังคับใช้มาตรา 21 พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ในพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลา”
แถลงการณ์ระบุว่า ตามที่นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.รมน.) จักได้มีการออกระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานที่พิจารณาสำนวนการสอบสวนเพื่อส่งผู้ต้องหาเข้ารับการอบรม ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 มาตรา 21 นั้น (เป็นมาตรการหลังจากประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ใน 4 อำเภอของ จ.สงขลา แล้ว) องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนรู้สึกห่วงใยถึงระเบียบดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากพระราชบัญญัติดังกล่าวออกมาใช้บังคับโดยมีเจตนารมณ์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและรักษาความมั่นคง รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งในท้องถิ่นของตน ระเบียบดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อส่วนได้เสียสำคัญของประชาชนในพื้นที่ที่ระเบียบนั้นใช้บังคับ แต่รัฐบาลมิได้จัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวอย่างทั่วถึงก่อนดำเนินการ อันเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นเบื้องต้น
นอกจากนี้ การออกระเบียบมาใช้บังคับเฉพาะพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลา เป็นพื้นที่นำร่องนั้นอาจไม่เหมาะสม เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาจักรไทยได้บัญญัติให้บุคคลเสมอกันในกฎหมาย และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายโดยเท่าเทียมกัน แต่ในพื้นที่ 4 อำเภอดังกล่าวกลับมิได้รับการบังคับใช้เฉพาะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเหมือนพื้นที่อื่น และจากการปฏิบัติที่ผ่านมาของเจ้าหน้าที่รัฐอาจสรุปได้ว่ามิได้เกิดขึ้นจากความสมัครใจของผู้ต้องหาอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนขอเสนอแนวทางในการออกระเบียบดังกล่าว เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติฯ ดังนี้
1.คณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานที่พิจารณาสำนวนการสอบสวนเพื่อส่งผู้ต้องหาเข้ารับการอบรม ควรประกอบด้วยบุคคล 2 ฝ่าย ฝ่ายที่หนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง ฝ่ายที่สองเป็นบุคคลที่ผู้ได้รับผลกระทบไว้วางใจ ในอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกันเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็น
2.คณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานตาม ข้อ 1 ต้องได้รับสำนวนการสอบสวนจากเจ้าหน้าที่โดยครบถ้วน และคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานดังกล่าวต้องถือว่าสำนวนดังกล่าวเป็นความลับ หากนำไปเปิดเผย สมควรกำหนดให้มีบทลงโทษ เพื่อให้ความเห็นของคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเป็นไปโดยถูกต้องและเที่ยงธรรม
3.สถานที่ใช้ฝึกอบรมควรเป็นสถานที่ของหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบในการฝึกอบรบ โดยตั้งอยู่ในจังหวัดเดียวกับภูมิลำเนาของผู้ต้องหา เพื่อญาติของผู้ต้องหาสามารถเยี่ยมเยียนได้สะดวก และไม่เพิ่มค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
4.หลังจากมีการใช้บังคับระเบียบดังกล่าวในระยะเวลาหนึ่ง สมควรให้มีการประเมินถึงผลที่ได้รับว่าเป็นประการใด โดยตั้งเป็นคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานต่างหากอีกชุดหนึ่ง โดยมีองค์ประกอบระหว่างฝ่ายรัฐและฝ่ายประชาชนเช่นเดียวกับข้อ 1 พร้อมทั้งเปิดเผยผลการประเมินดังกล่าวให้ทุกภาคส่วนได้รับทราบ
ครม.เปลี่ยนชื่อสะพานบูเก๊ะตา
ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันเดียวกัน ครม.ได้รับทราบการเปลี่ยนชื่อสะพานจากร่างความตกลงว่าด้วยการบริหารจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้งานสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลก แห่งที่ 2 ระหว่างบ้านบูเก๊ะตา ประเทศไทย และบูกิตบุหงา ประเทศมาเลเซีย จากเดิมที่ใช้ชื่อว่า “The Second Bridge” เป็น “The Friendship Bridge” หรือสะพานมิตรภาพ.
“บิ๊กจิ๋ว”ล้มแผนเยือนมาเลย์-อ้างไม่มีเงิน
ช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา มีข่าวสะพัดในแวดวงการเมืองว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานพรรคเพื่อไทย ซึ่งเพิ่งเสนอไอเดีย “นครปัตตานี” หรือการให้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จัดการปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ได้ล้มแผนที่จะเดินทางไปพบผู้นำมาเลเซียแล้ว
ก่อนหน้านี้ พล.อ.ชวลิต ประกาศว่ามีแผนจะเดินทางไปเยือนมาเลเซีย และเข้าพบปะหารือกับ นายนาจิ๊บ ราซัก นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยร่วมกัน
แผนการเดินทางไปเยือนมาเลเซียของ พล.อ.ชวลิต เป็นหนึ่งในนโยบาย “เป็นมิตรกับเพื่อนบ้าน” ที่ประกาศโดยพรรคเพื่อไทย โดยก่อนหน้านี้ พล.อ.ชวลิต เดินทางไปเยือนกัมพูชา และได้เข้าพบปะหารือกับ สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชามาแล้ว ทั้งนี้ ตามแผนที่กำหนดไว้เดิม พล.อ.ชวลิต จะเดินทางไปพบกับนายกฯมาเลเซีย และขึ้นเหนือไปเยือนพม่า รวมทั้งประเทศอื่นๆ ในอาเซียนด้วย
อย่างไรก็ดี การเดินทางเยือนกัมพูชาของ พล.อ.ชวลิต ทำให้เจ้าตัวและพรรคเพื่อไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะหลังจากนั้นก็มีปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกัมพูชากับรัฐบาลไทยตามมา จากกรณีที่กัมพูชาแต่งตั้งให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งกำลังหลบหนีโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลไทยอยู่ในต่างประเทศ เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล และยังเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของ สมเด็จฮุนเซน โดยที่ สมเด็จฮุนเซน ประกาศว่าได้สร้างบ้านไว้รับรอง พ.ต.ท.ทักษิณ หากต้องการไปพำนักในประเทศกัมพูชา และไม่ยอมส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนด้วย
จากปัญหาที่เกิดขึ้นและกระแสวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว ทำให้มีข่าวมาตลอด 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาว่า พล.อ.ชวลิต อาจล้มแผนเดินทางเยือนประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งมาเลเซีย ขณะที่มีข่าวจากสื่อต่างประเทศว่า ผู้นำของประเทศเหล่านั้นก็ไม่ตอบรับการเดินทางเยือนของประธานพรรคเพื่อไทย เพราะเกรงจะเกิดปัญหาขัดแย้งกับรัฐบาลไทยเหมือนกรณีกัมพูชา
ล่าสุด พล.ท.พิรัช สวามิวัสดุ์ นายทหารคนสนิทของ พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้ติดต่อเพื่อเดินทางไปเยือนมาเลเซียและพม่าเลย ข่าวที่ออกมาก็เขียนกันไป ยืนยันว่า พล.อ.ชวลิต ไม่มีปัญหาหากจะไปเยือน 2 ประเทศดังกล่าว จะไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ตอนนี้มีปัญหาอยู่ที่ฝ่ายเราเอง คือเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางเท่านั้น