- Home
- South
- ข่าวทั่วไปศูนย์ข่าวภาคใต้
- ถกไทย-มาเลย์วันแรกยังไม่มีอะไรใหม่ นายกฯย้ำให้ "กระจายอำนาจ" ไม่ใช่ "ปกครองตนเอง"
ถกไทย-มาเลย์วันแรกยังไม่มีอะไรใหม่ นายกฯย้ำให้ "กระจายอำนาจ" ไม่ใช่ "ปกครองตนเอง"
ทีมข่าวอิศรา
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
นายกฯมาเลย์ ยืนยันเคารพสิทธิ์รัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาภาคใต้ พร้อมให้ความร่วมมือทุกด้าน ขณะที่ "อภิสิทธิ์" ย้ำแนวทาง "กระจายอำนาจ" ไม่ใช่ "ปกครองตนเอง" ด้าน "ปณิธาน" แย้มโมเดล "บริหาร-เลือกผู้แทนท้องถิ่น" ภายใต้กฎหมาย ศอ.บต.ฉบับใหม่ ส่วนสถานการณ์ในพื้นที่ยังน่าห่วง เหตุรุนแรงถี่ยิบรับสองผู้นำลงพื้นที่ ทหารพรานปะทะเดือดกลุ่มก่อความไม่สงบที่รือเสาะพลีชีพ 2 นาย คนร้ายดับหนึ่ง ยิงประธานสภา อบต.บาเร๊ะใต้คาบ้าน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับ ดาโต๊ะ ซรี มูฮัมหมัด นาจิบ บิน ตุน อับดุล ราซัก นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ซึ่งเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 7-9 ธ.ค. โดยนายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศได้หารือทวิภาคและหารือเต็มคณะในการประชุมประจำปี (Annual Consultation: AC) ครั้งที่ 4 ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.ที่ผ่านมา
จากนั้น นายอภิสิทธิ์ และ นายนาจิบ เปิดแถลงผลการหารือร่วมกัน โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นายนาจิบเป็นนายกรัฐมนตรีมาเลเซียคนแรกที่จะเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ซึ่งเนื้อหาของการหารือมีความคืบหน้าและสาระที่มากขึ้น โดยทั้งสองประเทศได้ให้คำมั่นที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในฐานะเพื่อนบ้าน เป็นความร่วมมือบนพื้นฐานของความเชื่อใจและความเคารพซึ่งกันและกัน
นอกจากนี้ ยังมีการหารือเรื่องเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการศึกษา โดยมีข้อตกลงหลายเรื่องที่ยังค้างอยู่ซึ่งจะต้องเร่งพิจารณาให้แล้วเสร็จก่อนการประชุมร่วมกันครั้งที่ 5 ในต้นปีหน้า โดยเนื้อหาการหารือที่มีการตกลงกันได้แก่ การเชื่อมโยงระหว่างประชาชนในพื้นที่, เรื่องอาหารฮาลาล เรื่องยางพารา และการไขปัญหาภาคใต้
"ในส่วนปัญหาภาคใต้ของไทย มาเลเซียมีท่าทีเหมือนเดิมคือเป็นปัญหาภายในของไทย แต่ถ้าจะให้มาเลเซียช่วยเหลือในเรื่องของข้อมูลหรือข่าวกรอง ทางมาเลเซียก็ยินดี" นายอภิสิทธิ์ ระบุ
ขณะที่ นายนาจิบ กล่าวว่า ปัญหาภาคใต้ของไทยถือเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน โดยมาเลเซียยืนยันในท่าทีเดิมในการแสดงตัวว่าเป็นหุ้นส่วนและเพื่อนบ้านที่ดี จะเคารพสิทธิของประเทศไทย อีกทั้งปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ถือเป็นเรื่องภายในของประเทศไทย ส่วนความร่วมมือด้านต่างๆ มาเลเซียก็พร้อมให้ความร่วมมือเหมือนเดิม
นายกฯใช้แนวทาง"กระจายอำนาจ"ดับไฟใต้
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้ถามถึงความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง "เขตปกครองพิเศษ" หรือ "การปกครองตนเอง" เพื่อคลี่คลายปัญหาความไม่สงบ นายอภิสิทธิ์ ตอบว่า ประเทศไทยใช้วิธี decentralization คือกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบริหารจัดการและเลือกตั้งผู้บริหารของตัวเองได้อยู่แล้ว นอกจากนั้นรัฐบาลจะสนับสนุนเรื่องกฎหมาย อาทิเช่น กฎหมายอิสลาม เรื่องการศึกษาโดยใช้ภาษายาวี รวมถึงจะพัฒนาในเรื่องกระบวนการยุติธรรมด้วย
ต่อข้อถามถึงการแก้ปัญหาบุคคลสองสัญชาติ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทั้งสองประเทศจะเดินหน้าการแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด โดยจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาด้านอื่นๆ ต่อไป
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่รัฐบาลไทยจะเปิดการเจรจากับแกนนำกลุ่มก่อความไม่สงบ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องยากที่จะดำเนินการในลักษณะของการเจรจา เพราะการก่อเหตุแต่ละครั้งไม่มีกลุ่มไหนออกมาแสดงความรับผิดชอบอย่างชัดเจน ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลทำคือการนำการพัฒนาเข้าไปในพื้นที่ เพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
ปณิธานย้ำ decentralize ไม่ใช่ autonomy
ด้าน นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ผู้นำมาเลเซีย เสนอให้ประชาชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ปกครองตนเองในบางระดับ เพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบ จนมีการตีความว่าหมายถึง autonomy หรือการปกครองตนเองในลักษณะรัฐอิสระ ว่า เบื้องต้นยืนยันว่าหลักการของไทยและมาเลเซียตรงกัน แต่อาจจะเรียกต่างกัน มาเลเซียใช้คำว่า autonomy แต่ของไทยจะใช้คำว่า decentralize (กระจายอำนาจ) ส่วนรูปแบบและวิธีการขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของไทย
"ในรัฐธรรมนูญมีความชัดเจนอยู่แล้วว่า บริบทของรัฐเดี่ยวในแบบของประเทศไทยนั้น การปกครองตนเองทำไม่ได้ และไม่อนุญาตให้รัฐใด จังหวัดไหนปกครองตนเอง แต่การบริหารท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติกระจายอำนาจ สามารถกระทำได้ คือเป็นการปกครองท้องถิ่นด้วยตนเอง ไม่ใช่เป็นการปกครองตนเองในบริบทของตั้งรัฐซ้อนรัฐ" นายปณิธาน ระบุ
เปิดโมเดลยึดโยงกฎหมาย ศอ.บต.
รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวอีกว่า ไม่สามารถยกกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เทียบเคียงกับการปกครองพิเศษแบบเมืองพัทยาได้ เพราะบริบทต่างกัน ฉะนั้นการปกครองรูปแบบพิเศษในจังหวัดชายแดนใต้ต้องใช้กฎหมายศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. (ร่างพระราชบัญญัติบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ....) เพื่อทำให้พื้นที่นี้เป็นเขตบริหารพิเศษ มีกฎหมายรองรับเป็นการเฉพาะ โดยหัวใจสำคัญคือให้คนในท้องถิ่นมีบทบาทเหมาะสมตามความเป็นจริงในพื้นที่ที่ต้องบริหารร่วมกันภายใต้กฎหมายไทย
"โมเดลเขตปกครองรูปแบบพิเศษในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะเริ่มต้นที่ ศอ.บต. ซึ่งขณะนี้กฎหมายกำลังอยู่ระหว่างการแปรญัตติ โดยในเบื้องต้นกฎหมายดังกล่าวเปิดให้มีสภาสันติสุข ซึ่งเป็นสภาที่มาจากท้องถิ่น เพื่อดูแลเชิงนโยบาย ขณะที่ ศอ.บต.จะเป็นกลไกในการบริหาร ฉะนั้นทั้งหมดนี้ต้องรอตัวกฎหมายที่จะผ่านสภาอีกครั้ง แต่โครงสร้างโดยทั่วไปของ ศอ.บต. จะเหมือน กอ.รมน. (กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร) คือขึ้นตรงกับนายกฯ ขณะที่ผู้อำนวยการ ศอ.บต. จะได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลางลงไป ส่วนในท้องถิ่นก็จะมีการเลือกผู้ที่เกี่ยวข้องในภาคส่วนต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการวางนโยบาย"
นายปณิธาน กล่าวว่า ศอ.บต.ใหม่จะต้องมีขีดความสามารถมากกว่าเดิม เพราะบริบทเปลี่ยนไปมาก โดยต้องมีความเชื่อมโยงกับทุกหน่วยงานมากขึ้น เพราะจะมีกฎหมายเป็นของตัวเอง ส่วนจะสร้างความไว้วางใจได้เหมือนกับ ศอ.บต.ในอดีตหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลที่จะเข้าไปทำงาน ทั้งนี้แม้ว่าจะมี ศอ.บต.ขึ้นมา แต่ กอ.รมน.ก็ยังมีเหมือนเดิม เพราะจะแยกหน้าที่กันอย่างชัด โดยในพื้นที่สีแดง สีชมพู (มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อความไม่สงบ) กอ.รมน.ต้องเข้าไปก่อน หลังจากพื้นที่เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ศอ.บต.จึงจะรับหน้าที่ต่อ ในบางช่วงอาจต้องมีการพัฒนาร่วมกัน โดยต่อไปต้องจะมีการผนึกกำลังกันระหว่าง ศอ.บต.กับ กอ.รมน.ให้ทำงานร่วมกันมากขึ้น
ปะทะเดือดทหารพรานดับ 2 -คนร้ายสังเวย 1
ประเด็นที่หลายฝ่ายจับตามากกว่าในขณะนี้คือสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ เนื่องจากเกิดเหตุรุนแรงถี่ยิบในช่วงก่อนที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซียและไทยจะเดินทางลงพื้นที่ในวันพุธที่ 9 ธ.ค.2552
โดยเมื่อเวลา 16.00 น.วันอังคารที่ 8 ธ.ค. ขณะที่ ส.ท.ณรงค์ รับจันทร์ หัวหน้าชุดพัฒนาสันติที่ 30-2 กองร้อยทหารพรานที่ 4601 กรมทหารพรานที่ 46 อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส พร้อมพวกรวม 6 นาย กำลังเดินเท้ากลับจากรับส่งครูบนถนนในหมู่บ้านดีแย หมู่ 4 ต.สาวอ อ.รือเสาะ เพื่อกลับฐานในโรงเรียนบ้านสาวอ ได้มีกองกำลังติดอาวุธจำนวน 10 คน แต่งกายด้วยชุดลายพรางทหารพร้อมอาวุธสงครามครบมือแฝงตัวอยู่ในป่ายางพาราข้างทาง ใช้อาวุธปืนสงครามยิงถล่มใส่ จนทั้ง 2 ฝ่ายเปิดฉากยิงปะทะกันเป็นระลอกนานกว่า 10 นาที
ผลจากการปะทะทำให้ทหารพรานได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 นาย ประกอบด้วย อาสาสมัครทหารพราน (อส.ทพ.) จิรายุทธ สิงเกตุ อายุ 28 ปี อส.ทพ.วัสลาม ระเด่นมนตรี และ อส.ทพ.บุญถิ่น คำภีระ โดยคนร้ายคิดว่าทหารพรานทั้ง 3 นายเสียชีวิตแล้ว จึงวิ่งกรูออกมาจากป่ายางพาราเพื่อขโมยอาวุธปืนประจำกาย แต่ปรากฏว่า อส.ทพ.ทั้ง 3 นายยังมีสติ จึงใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มคนร้าย ถูกคนร้ายเสียชีวิต 1 คน คือ นายอับดุลมาเร๊ะ มือแยบาซอ อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 29 หมู่ 2 ต.สาวอ อ.รือเสาะ ส่วน อส.ทพ.จิรายุทธ และ อส.ทพ.วัสลาม ถูกกระสุนปืนของคนร้ายเสียชีวิตเช่นกัน ขณะที่คนร้ายที่เหลือหลบหนีไปได้ และยังได้ขโมยปืน เอช.เค. ของ อส.ทพ.จิรายุทธ และ อส.ทพ.วัสลาม ไปด้วย
หลังเสียงปืนสงบลง ส.ท.ณรงค์ หัวหน้าชุด ได้นำตัว อส.ทพ.บุญถิ่น ส่งรักษาโรงพยาบาลรือเสาะ แต่อาการสาหัส แพทย์ต้องส่งตัวไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เมือง จ.นราธิวาส ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.รือเสาะ ได้นำกำลังรุดเข้าตรวจสอบ และสันนิษฐานว่าคนร้ายน่าจะเป็นแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบที่ต้องการสร้างสถานการณ์รุนแรงในช่วงที่นายกฯมาเลเซียกับนายกฯไทยกำลังจะเดินทางลงพื้นที่ จ.นราธิวาส
ยิงประธานสภา อบต.บาเร๊ะใต้คาบ้าน
ช่วงเย็นวันเดียวกัน ร.ต.อ.อรรถวุฒิ เพชรแก้ว ร้อยเวร สภ.บาเจาะ จ.นราธิวาส รับแจ้งเหตุยิงกันที่หน้าบ้านเลขที่ 43 บ้านตันหยง หมู่ 4 ต.บาเร๊ะใต้ อ.บาเจาะ จึงรีบนำกำลังรุดไปตรวจสอบ พบศพนายมะยายิ กาเด็ง อายุ 44 ปี ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บาเร๊ะใต้ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน นอนเสียชีวิตอยู่หน้าบ้าน สภาพศพถูกยิงด้วยอาวุธปืนพกสั้นไม่ทราบชนิดและขนาดเข้าที่บริเวณหน้าอกทะลุหลัง 1 นัด แขนซ้าย 1 นัด
สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ นายมะยายิ กำลังนั่งพักผ่อนอยู่ที่หน้าบ้าน ระหว่างนั้นมีคนร้ายไม่ทราบกลุ่มและจำนวนขับรถกระบะมาจอด และคนร้ายซึ่งนั่งอยู่ในกระบะหลังได้ชักอาวุธปืนพกสั้นออกยิงใส่ นายมะยายิ ถึง 3 นัดซ้อน ทำให้นายมะยายิล้มลง เสียชีวิตทันที
สำหรับประวัติของ นายมะยายิ กาเด็ง นั้น เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บาเจาะ จับกุมในข้อหาเป็นผู้จ้างวานให้คนร้ายลอบเผาโรงเรียนบ้านตันหยง อ.บาเจาะ จนอาคารเรียนเสียหลังทั้งหลัง เพื่อหวังเงินงบประมาณมาก่อสร้างโรงเรียน แต่นายมะยายิให้การปฏิเสธ พร้อมประกันตัวออกมาสู้คดี กระทั่งมาถูกยิงเสียชีวิตดังกล่าว เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุว่ามาจากเรื่องใด
ได้เบาะแสมือระเบิด จยย.บอมบ์นราฯ
ส่วนความคืบหน้าเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด "มอเตอร์ไซค์บอมบ์" บริเวณลานจอดรถด้านหลังตลาดสดบางนาค ถนนไตรภพ ในเขตเทศบาลเมืองนราธิวาส เมื่อเย็นวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีทหารกับชาวบ้านได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 9 คนนั้น
จากการตรวจสอบภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดจำนวน 4 ตัว ที่ติดตั้งไว้บนเสาไฟฟ้าปากทางเข้าตลาดสดบางนาค พบผู้ต้องสงสัยเป็นชายฉกรรจ์ใส่เสื้อยืดสีแดง กางเกงขาสั้นสีดำ ไว้ผมเกรียน อายุ ประมาณ 28 ปี ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังนำภาพดังกล่าวไปขยายเพื่อให้เห็นใบหน้าอย่างชัดเจนที่สุด ก่อนนำไปให้พยานในที่เกิดเหตุชี้ตัว
ขณะเดียวกัน ยังได้เบาะแสว่า รถจักรยานยนต์ที่คนร้ายนำมาประกอบระเบิดนั้น เป็นรถยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ 100 ของ พ.จ.อ.กุศล ศักดิ์แสง ทหารสังกัดหน่วยนาวิกโยธินภาคใต้ ค่ายจุฬาภรณ์ ซึ่งได้แจ้งหายไว้กับพนักงานสอบสวน สภ.โคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมานี้เอง ส่วนป้ายทะเบียนที่คนร้ายนำมาสวมไว้กับรถมอเตอร์ไซค์บอมบ์ เป็นป้ายทะเบียนรถที่คนร้ายใช้วางระเบิดมอเตอร์ไซค์บอมบ์ข้างธนาคารกรุงไทย สาขาตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา จึงคาดว่าน่าเป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกัน และเชื่อมโยงเหตุคาร์บอมบ์กับมอเตอร์ไซค์บอมบ์อีกหลายจุดใน จ.นราธิวาส
-------------------------------
ขอบคุณภาพจากศูนย์ภาพเนชั่น