- Home
- South
- ข่าวทั่วไปศูนย์ข่าวภาคใต้
- ผู้ต้องหายิงมัสยิดไอร์ปาแยมอบตัว ปัตตานีป่วนหนักฆ่าเผา 2 ศพ ยิง-บึ้มอีก 2 จุด
ผู้ต้องหายิงมัสยิดไอร์ปาแยมอบตัว ปัตตานีป่วนหนักฆ่าเผา 2 ศพ ยิง-บึ้มอีก 2 จุด
วัสยศ งามขำ และทีมข่าวอิศรา
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
ฮือฮา! อดีตทหารพรานผู้ต้องหาคดีกราดยิง 10 ศพคามัสยิดไอร์ปาแย จ.นราธิวาส เข้ามอบตัวที่กองปราบปรามหลังหลบหนีนานกว่า 7 เดือน เจ้าตัวยืนกรานปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่ตำรวจยันมีหลักฐานมัดแน่น เผยประวัติถูกไล่ออกจากทหารพราน ก่อเหตุเพราะแค้นส่วนตัว ขณะที่ปัตตานีป่วนหนัก ฆ่าเผาสองสามีภรรยา ประกบยิงสองพ่อลูก บึ้มทหาร
ผู้ต้องหาคดีกราดยิงในมัสยิดอัลฟุรกอน บ้านไอร์ปาแย ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 10 ราย บาดเจ็บอีก 12 คน เมื่อคืนวันที่ 8 มิ.ย.2552 เข้ามอบตัวกับตำรวจแล้วเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 ม.ค.2553 ที่กองปราบปราม หลังจากเกิดเหตุนานกว่า 7 เดือน โดยเจ้าตัวให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ปรึกษา (สบ.10) เทียบเท่ารองผู้บัญชาการตำรวจแหงชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.พีระ พุ่มพิเชฐฏ์ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผบช.ศชต.) และ พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รักษาราชการแทนผู้บังคับการปราบปราม (รรท.ผบก.ป.) ร่วมกันแถลงข่าวกรณี นายสุทธิรักษ์ หรือจุ๋ม คงสุวรรณ อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 132 หมู่ 10 ต.บางปอ อ.เมือง จ.นราธิวาส อดีตทหารพราน อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เข้ามอบตัวที่กองปราบปรามพร้อมกับทนายความ หลังตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนราธิวาสรวม 3 หมายจับ ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น มีและครอบครองอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพกอาวุธปืนไปในหมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร และข้อหาชิงทรัพย์
หนึ่งในหมายจับคดีสำคัญที่ นายสุทธิรักษ์ ตกเป็นผู้ต้องหา คือเหตุการณ์คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่ชาวบ้านที่กำลังประกอบพิธีละหมาดอยู่ภายในมัสยิดอัลฟุรกอน บ้านไอร์ปาแย ส่วนอีก 2 คดีคือคดีใช้อาวุธปืนปล้นฆ่า นางกือลือซง ลาเต๊ะ ขณะนำเช็คไปขึ้นเงินที่ธนาคาร เหตุเกิดในพื้นที่ ต.บาโงสะโต อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 6 พ.ย.2551 และคดีใช้อาวุธปืนยิง นายอับดุลตอเละ ซายอ เสียชีวิตในพื้นที่ จ.นราธิวาส เหตุเกิดเมื่อวันที่ 17 พ.ย.ปีเดียวกัน
พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวว่า การเข้ามอบตัวของผู้ต้องหาคดีความมั่นคงรายนี้เป็นความเต็มใจเข้ามอบตัวเอง ไม่ได้มีการบีบบังคับ และเป็นเพราะผู้ต้องหาเชื่อมั่นว่าจะได้รับความยุติธรรมตามกระบวนการโดยไม่ได้มีเงื่อนไขใดๆ ซึ่งทางพนักงานสอบสวนมีหลักฐานเพียงพอที่จะสามารถดำเนินคดีกับผู้ต้องหารายนี้ได้ แม้ว่าในเบื้องต้นผู้ต้องหาจะให้การปฏิเสธก็ตาม
พล.ต.ท.พีระ กล่าวเสริมว่า จากการสอบสวนพบว่า นายสุทธิรักษ์ พื้นเพเป็นคน จ.นราธิวาส และอาศัยอยู่ในพื้นที่มาตลอด ก่อนหน้านี้เคยรับราชการเป็นทหารพราน แต่ได้ถูกไล่ออกจากราชการในคดียาเสพติด จากนั้นได้รับงานเป็นมือปืนรับจ้างในพื้นที่ ส่วนมูลเหตุจูงใจที่ก่อเหตุยิงเข้าไปในมัสยิดนั้น จากการสืบสวนพบว่าเกิดจากความโกรธแค้นส่วนตัว ไม่ได้มีใครบงการอยู่เบื้องหลัง โดยเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
ส่วน นายลุกมัน ลาเต๊ะ อายุ 26 ปี ซึ่งถูกออกหมาย พ.ร.ก. (อาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548) ในฐานะผู้ร่วมก่อเหตุที่มัสยิดอัลฟุรกอนนั้น ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการหลบหนี
“เหตุร้ายที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตรวจสอบพบว่าเป็นฝีมือของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบประมาณ 50-60% ส่วนที่เหลือเกิดจากความโกรธแค้นส่วนตัว ที่ผ่านมามักนำเหตุส่วนตัวไปปะปนกับเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ในรายของ นายสุทธิรักษ์ ตำรวจได้ลงพื้นที่สืบสวนสอบสวนมานาน โดยมีพยานบุคคลซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่ และหลักฐานซึ่งเป็นปลอกกระสุนปืนในที่เกิดเหตุ ตรวจสอบลายนิ้วมือแล้วตรงกับผู้ต้องหารายนี้” พล.ต.ท.พีระ กล่าว
ผู้ต้องหายืนกรานปฏิเสธ-ทนายบอกมอบตัวเพราะเครียด
ด้าน นายสุทธิรักษ์ กล่าวว่า สาเหตุที่เข้ามอบตัวเป็นเพราะเชื่อมั่นว่าจะได้รับความเป็นธรรมตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้เขาเคยเป็นทหารพรานมาก่อน จะหันมาประกอบอาชีพทำสวน และไม่ได้ก่อเหตุตามที่ตำรวจออกหมายจับแต่อย่างใด
ขณะที่ นายสัญญา จันทรัตน์ ทนายความของนายสุทธิรักษ์ กล่าวว่า การเข้ามอบตัวของนายสุทธิรักษ์เกิดจากความเครียดและรู้สึกกดดัน กลัวว่าญาติพี่น้องในพื้นที่ จ.นราธิวาส จะถูกทำร้ายจากการเข้าใจผิด ส่วนพ่อ แม่ ลูกเมีย ก็เป็นห่วงในความปลอดภัย เกรงว่าจะถูกกระบวนการยุติธรรมในพื้นที่กลั่นแกล้ง ทั้งที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับขบวนการก่อความไม่สงบ นอกจากนี้ในพื้นที่เองก็มีการออกใบปลิวตามล่าตัวโดยนำภาพของ นายสุทธิรักษ์ ติดเอาไว้ด้วย
“คุณสุทธิรักษ์ได้มาปรึกษากับผมนานแล้ว แต่การจะเข้ามอบตัวต้องใช้เวลาในการตั้งหลักเพื่อรวบรวมหลักฐานต่างๆ มาต่อสู้คดี และหักล้างข้อกล่าวหาของเจ้าหน้าที่” นายสัญญา กล่าว
ฆ่าเผาสองสามีภรรยากลางปัตตานี
ด้านสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดวันพฤหัสบดีที่ 14 ม.ค.2553 ปั่นป่วนอย่างหนัก เนื่องจากเกิดเหตุรุนแรงขึ้นหลายเหตุการณ์ โดยเมื่อเวลา 06.30 น. พ.ต.อ.มนัส ศึกษมัต ผู้กำกับการ สภ.เมืองปัตตานี รับแจ้งเหตุยิงกันบนถนนยะรัง ซอย 3 ท้องที่หมู่ 8 บ้านดือราแฮ ต.ตะลุโบะ อ.เมือง จ.ปัตตานี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย จึงรีบนำกำลังรุดไปตรวจสอบ
ในที่เกิดเหตุพบผู้เสียชีวิต 2 คน เป็นชาย 1 คนและหญิง 1 คน สภาพศพถูกไฟครอกจนไหม้ทั้งตัว แต่ชาวบ้านได้ช่วยกันดับไฟจนมอดแล้ว ข้างๆ ศพพบรถจักรยานยนต์คว่ำอยู่ 1 คัน คาดว่าเป็นของผู้ตาย ตรวจสอบประวัติทราบว่าผู้ตายคือ นายอำนาจ ลิ้มดำรง พนักงานบริษัท แกรนด์ ปัตตานี และ นางสุดาพร ลิ้มดำรง อายุ 42 ปี พนักงานงานบริษัททีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) สาขาปัตตานี โดยทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน สภาพศพถูกยิงด้วยอาวุธปืนพกสั้นไม่ทราบขนาดเข้าที่ศีรษะและลำตัวหลายนัด และถูกราดน้ำมันจุดไฟเผา
สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ นายอำนาจกำลังขี่รถจักรยานยนต์โดยมีภรรยาสนั่งซ้อนท้ายออกจากบ้าน เพื่อส่งภรรยาไปทำงานที่บริษัทฯ เมื่อถึงจุดเกิดเหตุมีคนร้ายจำนวน 4 คน ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ จำนวน 2 คัน ขี่ตามประกบ พร้อมกับใช้อาวุธปืนยิงใส่หลายนัด เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ล้มคว่ำ จากนั้นคนร้ายได้ใช้น้ำมันราดจุดไฟเผาอย่างโหดเหี้ยมท่ามกลางสายตาประชาชนที่สัญจรผ่านไปมาจำนวนมาก หลังก่อเหตุได้ขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไปอย่างไร้ร่องรอย เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
อนึ่ง เหตุการณ์ลอบยิงและจุดไฟเผาครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เปิดศักราชปี 2553 โดยในปี 2552 เกิดเหตุฆ่าเผาเหยื่ออย่างน้อย 6 ครั้ง
ประกบยิงสองพ่อลูก-พ่อดับลูกสาววัยแค่ 11 ปีสาหัส
เวลา 07.30 น.วันเดียวกัน พ.ต.ท.อุทัย ชัยมาลา พนักงานสอบสวน สภ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี รับแจ้งมีคนถูกยิงได้รับบาดเจ็บ 2 ราย เหตุเกิดบนทางหลวงหมายเลข 42 ช่วง อ.ยะหริ่ง-อ.เมืองปัตตานี ท้องที่หมู่ 3 ต.บางปู อ.ยะหริ่ง จึงรีบนำกำลังรุดไปตรวจสอบ
ในที่เกิดเหตุพบรถจักรยานยนต์ล้มคว่ำอยู่ข้างทาง 1 คัน ส่วนผู้บาดเจ็บมีพลเมืองดีช่วยกันนำส่งโรงพยาบาลยะหริ่งแล้ว ทราบชื่อคือ นายภิรมย์ อนุรักษ์ อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 78/1 หมู่ 4 ต.ปะนาเระ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี และ ด.ญ.พัชรี กวางแก้ว อายุ 11 ปี นักเรียนโรงเรียนเทศบาล 2 บุตรสาวของนายภิรมย์
สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ นายภิรมย์ ซึ่งมีอาชีพเป็นช่างไม้ กำลังขี่รถจักรยานยนต์ออกจากบ้านมุ่งหน้าเข้าตัวเมืองปัตตานีเพื่อไปทำงานและส่งบุตรสาวที่โรงเรียน แต่ระหว่างทางถูกคนร้ายซึ่งเป็นชายวัยรุ่น 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบ และใช้อาวุธปืนพกสั้นไม่ทราบชนิดจ่อยิง กระสุนถูกทั้งคู่อาการสาหัส ภายหลังนายภิรมย์ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตที่โรงพยาบาล เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
ฝังระเบิดหลังเพิงขายกล้วยทอดทหารเจ็บ 2
เวลา 11.00 น. พ.ต.อ.มนัส ศิกษมัส ผู้กำกับการ สภ.เมืองปัตตานี ยังได้รับแจ้งเหตุระเบิดริมทางหลวงสายปัตตานี-ยะลา ท้องที่หมู่ 4 ต.บาราเฮาะ อ.เมือง จ.ปัตตานี มีทหารได้รับบาดเจ็บ 2 นาย จึงรีบนำกำลังรุดไปตรวจสอบ
ทั้งนี้ ที่เกิดเหตุอยู่ข้างมัสยิดบ้านเจาะกือแย ส่วนผู้บาดเจ็บเพื่อนทหารช่วยกันนำส่งโรงพยาบาลปัตตานีแล้ว ประกอบด้วย พลทหารธีรพงษ์ ศรีหารบัว อายุ 22 ปี และ พลทหารสุทัศน์ วงษ์กระแส อายุ 22 ปี ทั้งคู่สังกัดหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 24
สอบสวนทราบว่า คนร้ายได้นำระเบิดชนิดแสวงเครื่องบรรจุในกล่องเหล็กน้ำหนัก 5 กิโลกรัม ฝังไว้ใต้ผิวดินบริเวณหลังเพิงขายกล้วยทอด ขณะที่ทหารชุดดังกล่าวซึ่งมี 3 นายกำลังปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนที่จะเดินทางไปศูนย์ดาวะห์ที่กรุงเทพฯ เมื่อรถของชาวบ้านออกจากจุดเกิดเหตุประมาณ 10 นาที คนร้ายได้จุดชนวนระเบิดด้วยรีโมทคอนโทรล ทำให้เกิดระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แรงระเบิดทำให้ทหารได้รับบาดเจ็บ 2 นายดังกล่าว เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
ทดลองเรือเหาะตรวจการณ์-เลื่อนบินเป็นปลายเดือน
ด้านความคืบหน้าโครงการเรือเหาะตรวจการณ์ หรือบอลลูนยักษ์ติดกล้องอินฟาเรด ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ทุ่มงบประมาณ 350 ล้านบาท จัดซื้อเพื่อใช้ปฏิบัติการในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีกำหนดขึ้นบินในวันที่ 15 ม.ค.นี้นั้น
ล่าสุดเมื่อเช้าวันที่ 14 ม.ค.2553 ที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นโรงจอดเรือเหาะ ได้มีเจ้าหน้าที่ชุดเฝ้าตรวจทางอากาศเข้าทำการทดลองใช้งานเรือเหาะตรวจการณ์เป็นครั้งแรก หลังจากรับมอบจากบริษัทผู้ผลิต ปรากฏว่าผลการทดสอบเป็นที่น่าพอใจ อย่างไรก็ดี การปฏิบัติการจริงยังเริ่มไม่ทันวันที่ 15 ม.ค. เนื่องจากต้องมีการติดตั้งระบบเชื่อมโยงสัญญาณเครือข่ายกับภาคพื้นดินและอุปกรณ์สื่อสารอื่นๆ คาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ช่วงปลายเดือน ม.ค.
------------------------------------------------
ขอบคุณ : ภาพประกอบจากเว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ www.bangkokbiznews.com