- Home
- South
- ข่าวทั่วไปศูนย์ข่าวภาคใต้
- กรรมการสิทธิฯจ่อรับสอบคดีปริศนาผูกคอตายในค่ายทหาร
กรรมการสิทธิฯจ่อรับสอบคดีปริศนาผูกคอตายในค่ายทหาร
อับดุลเลาะ หวังนิ
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
การเสียชีวิตของ นายสุไลมาน แนซา อายุ 25 ปี ในลักษณะผูกคอตายคาห้องควบคุมตัวในศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ ภายในค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ไม่ได้จบลงที่ผลการชันสูตรศพจากแพทย์ชี้ว่าไม่พบร่องรอยถูกทำร้ายให้ตาย แต่กรณีนี้ยังต้องเป็น “คดีความ” ต่อไปตามกฎหมาย และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติก็แสดงความสนใจจะเข้าร่วมตรวจสอบด้วย
นายสิทธิพงษ์ จันทรวิโรจน์ เลขาธิการศูนย์ทนายความมุสลิม ให้สัมภาษณ์ “ทีมข่าวอิศรา” ว่า การเสียชีวิตของนายสุไลมานยังไม่จบ เพราะเป็นการตายระหว่างการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ ฉะนั้นหลังจากนี้พนักงานสอบสวน (ตำรวจ) ต้องรวบรวมพยานหลักฐานทำเป็นสำนวนการไต่สวนการตาย โดยนำผลการชันสูตรพลิกศพซึ่งร่วมกันดำเนินการ 5 ฝ่าย (พนักงานสอบสวน อัยการ แพทย์ ญาติผู้เสียชีวิต และพนักงานฝ่ายปกครอง) ประกอบกับพยานหลักฐานอย่างอื่นทำเป็นสำนวนส่งให้อัยการเจ้าในท้องที่เกิดเหตุ จากนั้นอัยการจะยื่นคำร้องไต่สวนการตายต่อศาล และศาลจะออกหมายเรียกให้ญาติของผู้เสียชีวิตทราบถึงวันไต่สวน
“หากญาติจะคัดค้าน ต้องคัดค้านในวันนั้นเลย แต่หากญาติไม่คัดค้าน กระบวนการไต่สวนจะเป็นการไต่สวนฝ่ายเดียว คืออัยการจะเสนอพยานหลักฐานต่างๆ ต่อศาลเพื่อทำการไต่สวน ซึ่งก็จะเป็นพยานหลักฐานตามที่พนักงานสอบสวนรวบรวมส่งมา ฉะนั้นในขั้นตอนนี้หากญาติผู้เสียชีวิตจะคัดค้านก็สามารถแต่งทนายไปยื่นคำร้องคัดค้านได้ โดยทนายจะคัดค้านพยานของผู้ร้องคืออัยการ เพื่อให้ได้ข้อมูลมากขึ้น และสามารถนำเสนอพยานของผู้คัดค้านได้ด้วย”
“หลังจากนั้นศาลก็จะเรียกพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานด้านนิติวิทยาศาสตร์ และวัตถุพยานต่างๆ เข้ามาสู่การพิจารณา หลังจากเสร็จกระบวนการไต่สวนแล้ว ศาลจะมีคำสั่งว่าผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน ตายลักษณะอย่างไร ตลอดจนสาเหตุของการตาย และหากรู้ว่ามีคนทำให้ตาย ศาลก็จะระบุไปในคำสั่ง”
นายสิทธิพงษ์ กล่าวว่า คำสั่งศาลกรณีไต่สวนการตายถือเป็นที่ยุติ ไม่สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งได้อีกต่อไป ทั้งนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 และหากศาลสั่งว่ามีคนทำให้ตาย ก็จะส่งสำนวนไปยังอัยการให้ดำเนินการต่อ โดยให้พนักงานสอบสวนหาตัวคนที่กระทำให้ตายมาลงโทษตามกฎหมาย
พลิก ป.วิอาญา ดูกระบวนการไต่สวนการตาย
อนึ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 วรรค 3-5 ระบุเอาไว้ว่า ในกรณีที่มีความตายเกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ ให้พนักงานอัยการและพนักงานฝ่ายปกครองตำแหน่งตั้งแต่ระดับปลัดอำเภอหรือเทียบเท่าขึ้นไปแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่เป็นผู้ชันสูตรพลิกศพร่วมกับพนักงานสอบสวนและแพทย์
เมื่อได้มีการชันสูตรพลิกศพตามวรรคสามแล้ว ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้พนักงานอัยการเข้าร่วมกับพนักงานสอบสวนทำสำนวนชันสูตรพลิกศพให้เสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ถ้ามีความจำเป็นให้ขยายระยะเวลาออกไปได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสามสิบวัน แต่ต้องบันทึกเหตุผลและความจำเป็นในการขยายระยะเวลาทุกครั้งไว้ในสำนวนชันสูตรพลิกศพ
เมื่อได้รับสำนวนชันสูตรพลิกศพแล้ว ให้พนักงานอัยการทำคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ เพื่อให้ศาลทำการไต่สวนและทำคำสั่งแสดงว่าผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใด และถึงเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย ถ้าตายโดยคนทำร้ายให้กล่าวว่าใครเป็นผู้กระทำร้ายเท่าที่จะทราบได้ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับสำนวน ถ้ามีความจำเป็น ให้ขยายระยะเวลาออกไปได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสามสิบวัน แต่ต้องบันทึกเหตุผลและความจำเป็นในการขยายระยะเวลาทุกครั้งไว้ในสำนวนชันสูตรพลิกศพ
กรรมการสิทธิฯรับสอบผูกคอตายปริศนา
นายสิทธิพงษ์ ในฐานะเลขาธิการศูนย์ทนายความมุสลิม ยังเผยด้วยว่า บิดาของผู้เสียชีวิต คือนายเจ๊ะแว แนซา ได้มายื่นขอความช่วยเหลือที่ศูนย์ทนายความมุสลิมจังหวัดปัตตานีแล้ว แต่สำนวนไต่สวนการตายยังไม่ถึงศาล ทนายจึงยังไม่สามารถทำเรื่องร้องคัดค้านได้
นอกจากนั้น ญาติผู้เสียชีวิตยังได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เพื่อให้ร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงในคดีด้วย และอนุภาคใต้ของ กสม.จะประชุมกันในวันที่ 12-13 มิ.ย.นี้ ซึ่งน่าจะมีการพิจารณาประเด็นการเสียชีวิตของนายสุไลมาน เพราะทราบว่า กสม.ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อติดตามตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว
ค้านระเบียบ กอ.รมน.ปิดช่องศาลตรวจสอบ
ทนายสิทธิพงษ์ ยังตั้งข้อสังเกตว่า ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) มาตรา 12 ระบุว่า การควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยจะควบคุมได้ครั้งละ 7 วัน แต่ไม่เกิน 30 วัน โดยทุกๆ 7 วัน เจ้าหน้าที่ต้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอขยายเวลาควบคุมตัวต่อด้วย แต่การขยายเวลาดังกล่าวจะมีระเบียบของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 (กอ.รมน.ภาค 4) ควบคุมอยู่ คือหากจะขอขยายเวลาควบคุมตัว ต้องขอก่อนครบกำหนด 3 วัน และไม่ต้องนำตัวผู้ต้องสงสัยไปศาล
“ระเบียบนี้เหมือนเป็นการปิดโอกาสไม่ให้ผู้ที่ถูกควบคุมตัวบอกต่อศาลหากมีการซ้อมทรมานระหว่างการควบคุม ทางศูนย์ทนายความมุสลิมพยายามเรียกร้องให้ออกข้อบังคับเหมือนกับข้อบังคับประธานศาลฎีกาในการสั่งฟ้องผู้ต้องหาคดีทั่วไป คือต้องถามผู้ต้องหาด้วยว่าจะคัดค้านหรือไม่ ฉะนั้นการขอขยายเวลาควบคุมตัวตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในสามจังหวัดภาคใต้ก็น่าจะเปิดโอกาสเช่นนี้เหมือนกัน คือต้องคุมตัวผู้ต้องสงสัยไปศาล เพื่อให้มีโอกาสได้บอกเล่าข้อมูลต่อศาลได้”
“ประเด็นนี้ถือว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติสองมาตฐาน เพราะการจับกุมคนเสื้อแดงที่กรุงเทพฯ ก็ถูกจับตามหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เช่นเดียวกับภาคใต้ แต่เวลาจะครบกำหนดควบคุมตัว ศาลจะโทรศัพท์ไปสอบถามผู้ถูกควบคุมตัวว่าจะคัดค้านการขยายเวลาคุมตัวหรือไม่ ต่างจากในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่มีการซักถามเลย ทั้งๆ ที่ใช้กฎหมายฉบับเดียวกัน” เลขาธิการศูนย์ทนายความมุสลิม กล่าว
การต่อสู้คดีของครอบครัวนายสุไลมาน กำลังสะท้อนภาพปัญหาของกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายพิเศษในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ภาครัฐละเลยมาเนิ่นนาน...
--------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : ทนายสิทธิพงษ์ จันทรวิโรจน์
อ่านประกอบ :
- เปิดผลชันสูตรศพ"สุไลมาน" ไม่พบร่องรอยถูกทำร้าย
- ปากคำจากทุกฝ่าย...พิสูจน์เบื้องหลังการตายคาค่ายทหาร
- เทียบข้อเท็จจริง "ทหาร-องค์กรสิทธิ์" กับสาเหตุการเสียชีวิตคาค่ายทหารของผู้ต้องสงสัยคดีความมั่นคง
- บุกพิสูจน์ศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ ไขข้อข้องใจ "ซ้อม-ทรมาน" ผู้ถูกเชิญตัว