- Home
- South
- ข่าวทั่วไปศูนย์ข่าวภาคใต้
- ยธ.อนุมัติเงินประกันตัวล็อตแรก 15 ผู้ต้องขังคดีความมั่นคง อัยการสั่งถอนฟ้องเหยื่อ “จีที 200”
ยธ.อนุมัติเงินประกันตัวล็อตแรก 15 ผู้ต้องขังคดีความมั่นคง อัยการสั่งถอนฟ้องเหยื่อ “จีที 200”
ปรัชญา โต๊ะอิแต / นาซือเราะ เจะฮะ
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
โครงการช่วยเหลือผู้ต้องขังคดีความมั่นคงและผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของกระทรวงยุติธรรม เริ่มเดินหน้าเป็นรูปธรรมแล้ว เมื่อคณะทำงานที่ทางกระทรวงฯตั้งขึ้น ได้อนุมัติให้ความช่วยเหลือเรื่องเงินประกันตัวแก่ผู้ต้องขังคดีความมั่นคงในเรือนจำจังหวัดชายแดนภาคใต้กลุ่มแรกรวม 15 ราย โดยใช้เงินจากกองทุนยุติธรรม
ก่อนหน้านี้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ลงนามในคำสั่งที่ ยธ.224/53 เรื่องตั้งคณะทำงานช่วยเหลือผู้ต้องขังคดีความมั่นคงและผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยระบุเหตุผลว่า เพื่อให้ดำเนินการช่วยเหลือเรื่องการขอประกันตัวหรือปล่อยชั่วคราวของผู้ต้องขังคดีความมั่นคงอย่างเป็นระบบ
คณะทำงานทั้ง 5 ชุดมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงยุติธรรม (นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์) และรองปลัดกระทรวงยุติธรรม คือ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นที่ปรึกษา
คณะทำงานทั้ง 5 คณะมีหน้าที่รวบรวมตรวจสอบข้อมูลผู้ต้องขังคดีความมั่นคงที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือมีข้อมูลหรือความปรากฏว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม, ตรวจสอบข้อมูลผู้ต้องขัง ผู้ได้รับผลกะทบ และสรุปข้อมูลผู้ต้องขังเสนอต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ กระทรวงยุติธรรม เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านเงินประกันตัว หรือกรณีที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการบังคับใช้กฎหมาย โดยจากการสำรวจตัวเลขล่าสุดของผู้ต้องขังคดีความมั่นคงในเรือนจำ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีทั้งสิ้น 514 คน
รองปลัด ยธ.ลงพื้นที่ทำความเข้าใจ
เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2553 พ.ต.อ.ทวี ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมเรือนจำจังหวัดนราธิวาส เพื่อมอบนโยบายในเรื่องดังกล่าวแก่เจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ และชี้แจงทำความเข้าใจต่อผู้ต้องขังและญาติเกี่ยวกับโครงการช่วยเหลือของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีญาติผู้ต้องขังราว 300 คนมารอรับฟัง ขณะที่เรือนจำจังหวัดนราธิวาสมีผู้ต้องขังคดีความมั่นคงถูกคุมขังอยู่ถึง 180 ราย
โอกาสนี้ นายบุญธรรม กำลังเกื้อ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดนราธิวาส ได้เปิดโอกาสให้บรรดาญาติและครอบครัวของผู้ต้องขังเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังคดีความมั่นคงด้วย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการเยียวยาสภาพจิตใจของผู้ต้องขัง
ที่ผ่านมา เรือนจำจังหวัดนราธิวาสจัดให้มีบริการ “คลินิกยุติธรรม” เพื่อให้ความรู้และคำปรึกษาด้านกฎหมายแก่ญาติของผู้ต้องขัง ซึ่งหากผู้ต้องขังรายใดไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรมก็มีบริการจัดหาทนายความให้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น และหากครอบครัวของผู้ต้องขังรายใดที่ได้รับความเดือดร้อน กระทรวงยุติธรรมก็มีกองทุนเพื่อให้การสนับสนุนด้านการเงินเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอีกด้วย
รุกต่อช่วยเร่ง "ค่าทดแทน" ติดคุกฟรี
นายบุญธรรม กล่าวว่า บรรยากาศภายในงาน ทุกคนต่างมีความสุขและพอใจกับแนวทางของกระทรวงยุติธรรมที่รองปลัดกระทรวงฯลงมาชี้แจงทำความเข้าใจด้วยตัวเอง โดยเฉพาะการใช้เงินจากกองทุนยุติธรรมเพื่อช่วยเหลือพี่น้องผู้ต้องขังในเรื่องของการยื่นประกันตัว เพื่อจะได้กลับไปอยู่กับครอบครัวในระหว่างการต่อสู้คดี ทั้งนี้จะมีคณะกรรมการพิจารณาความเหมาะสมตามหลักเกณฑ์อย่างเป็นระบบ
นอกจากนั้น กระทรวงยุติธรรมยังให้ความช่วยเหลือเรื่องเงินเยียวยาทดแทน กรณีของบุคคลที่ถูกจับกุม แต่เมื่อสู้คดีแล้วปรากฏว่าไม่มีมูลความผิดหรือศาลยกฟ้อง ซึ่งคนกลุ่มนี้มีสิทธิ์เรียกร้องค่าทดแทนได้ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย ค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 โดยคิดจากจำนวนวันที่ถูกคุมขัง วันละ 200 บาท
จัดโครงการนำร่องเรือนจำสงขลา
ต่อมาในเดือน ก.ค.2553 พ.ต.ท.เบญจพล จันทวรรณ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ 9 หนึ่งในคณะทำงาน 5 ชุดของกระทรวงยุติธรรม ได้เดินทางไปจัดกิจกรรมนำร่องเพื่อสร้างความเข้าใจในโครงการช่วยเหลือผู้ต้องขังคดีความมั่นคงและผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ที่เรือนจำจังหวัดสงขลา
พ.ต.ท.เบญจพล กล่าวว่า โครงการของกระทรวงยุติธรรมได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และมีผู้ต้องขังตลอดจนผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก เฉพาะที่เรือนจำจังหวัดสงขลามีผู้ต้องขังคดีความมั่นคงจำนวน 126 ราย
"ผลของการจัดกิจกรรมทำให้เราพบว่า มีผู้ต้องขังคดีความมั่นคงที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วว่าไม่ความผิด แต่กลับถูกขังต่อระหว่างอุทธรณ์อยู่อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเรามองว่าบุคคลเหล่านี้ควรได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีการทำโครงการนำร่อง และให้ความช่วยเหลือยื่นประกันตัวให้กับผู้ต้องขังที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องจำนวน 6 คน โดยเป็นผู้ต้องขังจากเรือนจำจังหวัดนราธิวาส ปรากฏว่าศาลให้ประกันทั้งหมด"
เน้นสมัครใจ-ไม่บังคับ
พ.ต.ท.เบญจพล กล่าวอีกว่า จากที่ได้จัดกิจกรรมทำความเข้าใจ เห็นได้ชัดว่าทั้งผู้ต้องขังและญาติมีความเข้าใจมากขึ้น ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายและมีความหวัง ช่วงแรกที่เริ่มเข้าไปจัดกิจกรรม หลายคนมีสีหน้าเคร่งเครียด หวาดระแวง แต่เมื่อได้รับทราบถึงสิ่งที่กระทรวงยุติธรรมกำลังดำเนินการ ทุกคนมีสีหน้ายิ้มแย้มด้วยความดีใจ สร้างความเชื่อใจและเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมเพิ่มมากขึ้น
“เราได้ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการขอรับการสนับสนุนเรื่องเงินประกันตัวจากกองทุนยุติธรรม และได้เก็บข้อมูลเบื้องต้นไว้ โครงการนี้เราอยากให้เป็นความสมัครใจมากกว่า โดยเน้นทำความเข้าใจเพื่อให้เกิดความไว้วางใจ เพราะความไว้วางใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
“ส่วนขั้นตอนการพิจารณาจะใช้หลักเหตุผลและข้อมูล เช่น ผู้ต้องขังรายนั้นเกี่ยวข้องกับคดีอะไร มีผู้รับรองหรือไม่ว่าจะไม่หลบหนีเมื่อได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เป็นต้น โดยถ้าผ่านเงื่อนไขตามหลักเกณฑ์ที่วางเอาไว้ทั้งหมด ก็จะส่งเรื่องไปยังอนุกรรมการกองทุน เพื่อขออนุมัติหลักทรัพย์ยื่นขอต่อศาล ส่วนศาลจะให้ประกันหรือไม่เป็นดุลยพินิจของศาล” พ.ต.ท.เบญจพล ระบุ
หนึ่งในคณะทำงานของกระทรวงยุติธรรม กล่าวด้วยว่า ถ้าระบบเดินไปได้ ก็จะสามารถทำให้ประชาชนได้รับความยุติธรรม เข้าถึงความเป็นธรรมในเบื้องต้นได้ และสุดท้ายระบบจะเป็นตัวควบคุมเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมลำดับต้นเองให้ใช้อำนาจอย่างถูกต้องในการจับกุมคุมขังบุคคล
ชาวบ้านดีใจได้สัมผัสความเป็นธรรม
ด้านความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่ นางแมะซง กาเล็ง ชาวบ้านจาก จ.นราธิวาส กล่าวว่า รู้สึกดีใจและพอใจมากที่กระทรวงยุติธรรมมีโครงการช่วยเหลือผู้ต้องขังคดีความมั่นคง ส่วนตัวสนับสนุนโครงการของรัฐที่มุ่งดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบและการบังคับใช้กฎหมาย
“ชาวบ้านไม่ได้ต้องการอะไรมาก แค่ต้องการความยุติธรรม เราไม่ต้องการเงินทอง ไม่ต้องการโครงการพัฒนาต่างๆ ขอแค่ความเป็นธรรม ความยุติธรรม และไม่ทำให้พวกเราเดือดร้อน สามารถใช้ชีวิตกับครอบครัวได้อย่างปกติ เท่านี้ก็มีความสุขแล้ว” นางแมะซง กล่าว
ชาวบ้านจาก จ.นราธิวาส รายนี้ ยังเรียกร้องให้รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ช่วยดูแลกลุ่มผู้ต้องหาคดีความมั่นคงที่ถูกโอนคดีไปคุมขังนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้กลับมาอยู่ในเรือนจำในพื้นที่ เพื่อครอบครัวของคนเหล่านั้นจะได้ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายมากในการเดินทางไปเยี่ยมหรือให้กำลังใจเวลาขึ้นศาล
ภาคประชาสังคมจัดกิจกรรมเยี่ยมผู้ต้องขัง
ขณะเดียวกันมีความเคลื่อนไหวขององค์กรภาคประชาสังคม นำโดยกลุ่มบ้านอาสาเพื่อเด็กและเยาวชน กลุ่มด้วยใจ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม และศูนย์ทนายความมุสลิม จัดโครงการเยี่ยมผู้ต้องขังและจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นสำหรับผู้ต้องขังชาวไทยมุสลิมในช่วงเดือนแห่งการถือศีลอด หรือเดือนรอมฎอน
ปัทมา หีมมิหน๊ะ แกนนำกลุ่มด้วยใจ กล่าวว่า ทางกลุ่มฯต้องการเป็นกำลังใจให้ผู้ต้องขังคดีความมั่นคงและครอบครัวมีกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในกระบวนการยุติธรรม ฉะนั้นในช่วงเดือนรอมฎอน จึงได้จัดกิจกรรมช่วยเหลือกลุ่มผู้ต้องขังและญาติเท่าที่จะช่วยได้ เช่น ไปเยี่ยมบ้านและครอบครัวผู้ต้องขัง หรือนำสิ่งของไปมอบให้กับผู้ต้องขังในเรือนจำ เป็นต้น
“เราอยากให้พวกเขาได้รับประทานอาหารเหมือนเรา อยากให้ได้สัมผัสอะไรดีๆ บ้าง ลำพังจะอาศัยแค่ให้ครอบครัวมาเยี่ยมก็เป็นเรื่องลำบาก เพราะบางครอบครัวอยู่ไกล และส่วนใหญ่ฐานะยากจน การเดินทางไปเยี่ยมบ่อยๆ มีค่าใช้จ่ายเยอะ บางรายแม้แต่ญาติก็ไม่ยอมไปเยี่ยม เนื่องจากเขาถูกตัดสินล่วงหน้า ถูกญาติตัดออกจากครอบครัวไปเลยก็มี กิจกรรมที่เราทำจึงถือเป็นการให้โอกาสและกำลังใจ ให้พวกเขารู้สึกว่าไม่ถูกทอดทิ้ง”
ปัทมา กล่าวอีกว่า ขณะนี้จัดกิจกรรมเยี่ยมครอบครัวผู้ต้องขังไปแล้วจำนวน 120 ครอบครัว แยกเป็น 4 จังหวัด จังหวัดละ 30 ครอบครัว รวม 120 ครอบครัว โดยของเยี่ยมที่จะไปมอบให้ครอบครัวผู้ต้องขัง มีทั้งอินทผลัม ข้าวสาร น้ำตาลทราย น้ำมันพืช และอื่นๆ ใช้งบประมาณไปทั้งสิ้น 53,200 บาท ปัญหาที่พบในขณะนี้คือครอบครัวผู้ต้องขังมีมากถึง 400-500 ครอบครัว แต่ของบริจาคมีอยู่จำกัด เกรงว่าจะช่วยเหลือไม่ครบทุกครอบครัว จึงอยากขอให้ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคด้วย
ข่าวดี!อัยการถอนฟ้องเหยื่อจีที 200
ขณะที่ พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการโครงการเข้าถึงความยุติธรรมและคุ้มครองทางกฎหมาย มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่า ต้องยอมรับกลุ่มครอบครัวผู้ต้องขังเป็นกลุ่มที่น่าเห็นใจที่สุด เพราะเป็นกลุ่มที่ต้องเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมซึ่งเป็นเรื่องที่รู้สึกว่าเข้าถึงได้ยาก แต่หลังๆ มานี้ก็ยังพอมีข่าวดีอยู่บ้าง
“ล่าสุดมีกรณีน่าสนใจคืออัยการถอนฟ้องผู้ต้องหาคดีความมั่นคง ซึ่งเป็นกรณีที่ผู้ต้องขังโดนจับโดยเครื่องตรวจวัตถุระเบิดจีที 200 กรณีแบบนี้ไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดี เพราะที่จริงอัยการมีอำนาจพิจารณาถอนฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องได้อยู่แล้ว หากพิจารณาจากพยานหลักฐานแล้วพบว่าไม่มีน้ำหนักเพียงพอ”
“เรื่องดีๆ เช่นนี้มักเกิดขึ้นกับคดีใหม่ๆ แต่คดีค้างเก่ายังมีปัญหาอยู่ คือกรณีให้สิทธิ์ผู้ต้องขังประกันตัวเองได้ โดยสามารถใช้เงินจากกองทุนยุติธรรม ปัญหาก็คือต้องให้เจ้าหน้าที่สามฝ่ายรับรอง ได้แก่ ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก เพราะคนเหล่านี้ถูกจับจากความเห็นชอบของเจ้าหน้าที่สามฝ่าย แล้วจะให้เจ้าหน้าที่สามฝ่ายรับรองให้ประกันตัวได้อย่างไร” พรเพ็ญ ตั้งคำถามทิ้งท้าย
---------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ :
- ผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบริจาคทุนทรัพย์หรือสิ่งของได้ผ่านกลุ่มบ้านอาสาเพื่อเด็กและเยาวชน ชื่อบัญชี กองทุนกำลังใจแด่น้องชายแดนใต้ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสงขลานครินทร์ (ปัตตานี) เลขที่บัญชี 704-242947-4 (ออมทรัพย์) ผู้ประสานงานโครงการ มัณฑนา แท่นบำรุง โทรศัพท์มือถือ 081-6089507, 086-4912704
- มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ติดต่อ พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ 02-6934939 อีเมล์ [email protected]
บรรยายภาพ :
1 กิจกรรมพบญาติของผู้ต้องขังคดีความมั่นคง (ภาพจากแฟ้มภาพ)
2 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม (ภาพจากอินเทอร์เน็ต)
3 ปัทมา หีมมิหน๊ะ (ภาพโดย ปรัชญา โต๊ะอิแต)