- Home
- South
- ข่าวทั่วไปศูนย์ข่าวภาคใต้
- สมัชชาปฏิรูปชุด"หมอประเวศ"เสนอรัฐ "งดใช้ พ.ร.ก.-ถอนทหาร 3 เดือน" ทดลองดับไฟใต้!
สมัชชาปฏิรูปชุด"หมอประเวศ"เสนอรัฐ "งดใช้ พ.ร.ก.-ถอนทหาร 3 เดือน" ทดลองดับไฟใต้!
ทีมข่าวอิศรา
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
สมัชชาปฏิรูปชุด "หมอประเวศ" ประกาศแผนดับไฟใต้ภายใน 3 ปี ชงมาตรการระยะสั้นให้รัฐบาลทดลองงดใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และหยุดส่งทหารลงพื้นที่ 3 เดือน อ้างเจ้าหน้าที่ใช้กฎหมายพิเศษละเมิดชาวบ้าน ตั้ง "ชิดชนก" เป็นคณะทำงานดึงประชาชนมีส่วนร่วมกำหนดแผนดูแลตัวเอง ขณะที่ กมธ.ดับไฟใต้วุฒิสภาจี้นายกฯเร่งเปิดเจรจาสันติภาพทุกระดับ พร้อมใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง รองรับแนวร่วมมอบตัว ด้านสถานการณ์ในพื้นที่ยังร้อนแรงช่วงเดือนรอมฎอน
การประชุมสมัชชาปฏิรูปที่มี นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เป็นประธาน เมื่อวันพุธที่ 25 ส.ค.2553 ได้สรุปแนวทางการทำงานรวม 5 ด้าน โดยหนึ่งในนั้นคือข้อเสนอแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยการทดลองงดใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) และงดส่งทหารลงพื้นที่เป็นเวลา 3 เดือน
นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ ประธานคณะทำงานเครือข่ายวิชาการเพื่อการปฏิรูป แถลงผลการประชุมสมัชชาปฏิรูปเมื่อเย็นวันพุธที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ที่ประชุมได้สรุปแนวทางการทำงาน 5 ด้าน ประกอบด้วย
1.สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) โดย นายนิพนธ์ พัวพงศกร ประธานทีดีอาร์ไอ ได้เสนอผลการศึกษาการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อระบบสวัสดิการทางสังคม ทางสมัชชาปฏิรูปจึงมีแผนตั้งคณะทำงานยกร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับโครงสร้างภาษีของประเทศเพื่อสร้างสวัสดิการทางสังคม พ.ศ... เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ รวมถึงให้มีความเชื่อมโยงในการสร้างสังคมสวัสดิการ โดยเน้นขยายฐานการเก็บภาษี อาทิ ภาษีมรดก ภาษีที่ดิน ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นต้น และลดการยกเว้นจากการส่งเสริมการลงทุน รวมถึงยกเว้นการลดการเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล
ทั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อให้คนที่ควรจะเสียภาษีแต่ไม่ได้เสียภาษีในระบบปัจจุบันต้องเข้าสู่ระบบภาษี เพราะมีตัวเลขยืนยันว่าปัจจุบันคนที่มีรายได้สูงสุดในประเทศไทย เสียภาษีเต็มจำนวนเพียงแค่ 4 แสนครอบครัวเท่านั้น ส่วนอีกราวๆ 1 ล้านครอบครัวได้รับการลดหย่อนในรูปแบบต่างๆ ทำให้รัฐไม่ได้รับงบประมาณตามจำนวนที่ควรจะได้รับ โดยจะจัดทำให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน
2.เสนอโรดแมพ (แผนที่เดินทาง) แก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้ภายใน 3 ปี โดยจะมีข้อเสนอระยะสั้น กลาง และยาว โดยในระยะสั้นเสนอให้รัฐบาลทดลองหยุดการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมหยุดส่งกำลังทหารเข้าไปในพื้นที่เป็นเวลา 3 เดือน เพื่อประเมินผลการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการเข้าร่วมแก้ไขปัญหาและร่วมมือกันสร้างสันติภาพ โดยถ้าไม่ได้ผลหรือผลออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจ ก็สามารถนำ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กลับมาใช้ใหม่ได้
สาเหตุที่เสนอเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านมามีข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นเครื่องมือในการละเมิดสิทธิประชาชน นอกจากนี้จะมีการระดมความเห็นประชาชนในพื้นที่ และดึงมาทำงานร่วมกันเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง โดยจะมี ผศ.ชิดชนก ราฮิมมูลา นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) เป็นประธานคณะทำงาน
3.เครือข่ายจังหวัดเสนอให้มีการขับเคลื่อนการปฏิรูป โดยให้ จ.ขอนแก่นเป็นจังหวัดนำร่องในการสร้างความร่วมมือระหว่างชุมชน ภาคธุรกิจ และภาครัฐ มี นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เป็นประธานคณะทำงาน 4.สนับสนุนให้มีเครือข่ายศิลปะและศิลปิน โดยให้ศิลปินทุกแขนงเข้าร่วมกระบวนการปฏิรูปเพื่อนำไปสู่การสร้างความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ของชาติ มี นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ เป็นประธานคณะทำงาน และ 5.ดึงสถาบันทางการศึกษาระดับอุดมศึกษามาช่วยในการปรับหลักสูตร เพื่อให้มหาวิทยาลัยมีบทบาทแก้ไขปัญหาชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศ
กมธ.ติดตามปัญหาใต้แนะรัฐเร่งเปิดเจรจาสันติภาพ
วันเดียวกัน ที่ห้องประชุมงบประมาณ ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 3 พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญติดตาม เร่งรัด ประเมินผลการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ วุฒิสภา ได้นำคณะกรรมาธิการและผู้เกี่ยวข้องประมาณ 50 คน เข้าพบ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ทั้งนี้ ประเด็นที่มีการหารือกัน สรุปได้ 5 ประเด็น คือ
1.จากการเรียนรู้ประสบการณ์การสร้างสันติภาพในกรณีที่มีความขัดแย้งรุนแรงในระดับต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ กมธ.วิสามัญฯ เชื่อมั่นว่าทุกความขัดแย้งจะสามารถยุติลงได้จากการริเริ่มพูดคุยสันติภาพ (Peace Talk) กับกลุ่มที่เห็นต่างจากรัฐ เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับกลุ่มดังกล่าวได้มีทางเลือกอื่นที่นอกเหนือจากการใช้ความรุนแรง โดยมีข้อเสนอ คือ
1.1 รัฐบาลควรส่งสัญญาณว่าเห็นด้วยและมีความจริงใจที่จะพูดคุยสันติภาพกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐทุกระดับ โดยการสนับสนุนกระบวนการพูดคุยผ่านช่องทางต่างๆ ที่อาจดำเนินการอยู่แล้วในปัจจุบัน และที่อาจมีขึ้นในอนาคตอย่างต่อเนื่อง
1.2 รัฐบาลควรเร่งรัดให้มีการสะสางคดีต่างๆ ที่ทำให้ประชาชนเกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจและไม่ได้รับความเป็นธรรม อาทิ กรณีการเสียชีวิตของประชาชนจากการสลายการชุมนุมที่หน้า สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2547 เป็นต้น
ประเมินผลการใช้งบ-ประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง
2.การที่รัฐบาลกำหนดแนวทางหลักในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือการใช้ "การเมืองนำการทหาร" นั้น นับว่าเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่จะสามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนี้ให้ยุติลงได้อย่างสันติวิธี โดย กมธ.วิสามัญฯเห็นว่ารัฐบาลควรมีคณะกรรมการที่เป็นอิสระเพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ในการใช้งบประมาณและการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตามแนวทางของรัฐบาลอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องใน 3 ด้านสำคัญ คือ ด้านความมั่นคง ด้านความยุติธรรม และด้านการพัฒนา
3.กมธ.วิสามัญฯ พบว่ามีกลุ่มผู้ใช้ความรุนแรงระดับปฏิบัติการบางส่วนในพื้นที่ได้สะท้อนความเป็นไปได้ที่จะยุติการใช้ความรุนแรงและพร้อมที่จะมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อกลับคืนสู่สังคม ซึ่งมีความจำเป็นจะต้องมีช่องทางหรือกลไกรองรับกระบวนการดังกล่าว
ข้อเสนอคือ รัฐบาลควรส่งสัญญาณไปในทิศทางเดียวกันในเรื่องการประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 (พ.ร.บ.ความมั่นคง) ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มดังกล่าวได้กลับคืนสู่สังคม อันจะเป็นผลดีต่อการแก้ไขปัญหาความรุนแรง ซึ่งก่อนประกาศใช้อาจต้องมีแผนเตรียมความพร้อมในการกำหนดรูปแบบและขั้นตอนการดำเนินการตามกฎหมายที่ชัดเจน รอบคอบ รวมไปถึงการกำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาที่โปร่งใสและเป็นที่ยอมรับของประชาชน
4.การรายงานข้อเท็จจริงจากผู้ปฏิบัติในพื้นที่ต่อผู้บังคับบัญชาในระดับสูงที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ พบว่า มีบางกรณีที่สำคัญถูกรายงานเฉพาะข้อมูลที่เป็นเชิงบวกต่อการปฏิบัติหน้าที่ ในขณะที่ยังมีข้อมูลบางส่วนที่ไม่ได้รายงานความจริงทั้งหมด ทำให้ผู้บังคับบัญชาไม่สามารถมองเห็นปัญหาหรืออุปสรรคในการแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้จากข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์ได้ อีกทั้งข้อมูลความจริงของประชาชนที่แตกต่างจากข้อมูลของภาครัฐ ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่เชื่อมั่น และส่งผลต่อความร่วมมือกับภาครัฐ
ข้อเสนอคือ รัฐบาลควรกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหา "ความจริงคนละชุด" ระหว่างภาครัฐกับประชาชน และการแก้ไขปัญหาการรายงานจากผู้ปฏิบัติที่ไม่ครบถ้วนดังกล่าว
5.จังหวัดชายแดนภาคใต้มีต้นทุนทางภาษามลายูและวิถีชีวิตอิสลาม อันจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยในแง่ของการสร้างความกินดีอยู่ดีตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงและการเชื่อมต่อเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะต่อประชาคมอาเซียนและกลุ่มประเทศโลกมุสลิม ซึ่งการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจจำเป็นต้องมีการวางแผนที่เชื่อมต่อกับระบบการศึกษาอย่างบูรณาการ โดยการให้ความสำคัญกับการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมวัฒนธรรมในพื้นที่ดังกล่าว
ข้อเสนอคือ รัฐบาลควรจะตั้งคณะกรรมการบูรณาการการศึกษากับระบบเศรษฐกิจในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อผลิตองค์ความรู้ที่สนองตอบต่อระบบเศรษฐกิจของท้องถิ่นและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ตลอดจนส่งเสริมให้สถาบันการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นศูนย์กลางในการผลิตบุคลากรเพื่อเตรียมความพร้อมในการทำงานในระดับอาเซียนและโลกมุสลิมในอนาคต
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวถึงข้อเสนอในประเด็นที่ 5 ว่า รัฐบาลมองอัตลักษณ์ในพื้นที่เป็นจุดแข็งมาโดยตลอดอยู่แล้ว และได้ทำใน 2 ส่วน คือ 1.ยืดหยุ่นเรื่องใดๆ ที่จะตอบสนองต่อวิถีชีวิตหรืออัตลักษณ์ในพื้นที่ เช่น เรื่องการติดต่อกับราชการ การใช้ภาษาถิ่น และ 2.รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนในการอำนวยความสะดวก พร้อมๆ ไปกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจที่ต้องคำนึงถึงประเด็นทางศาสนาวัฒนธรรมด้วย ซึ่งตรงนี้บทบาทของธนาคารอิสลามมีความสำคัญมากขึ้นในหลายโครงการที่รัฐบาลไปดำเนินการ อาทิ กองทุนเพื่อการศึกษา ซึ่งเดิมมีข้อจำกัดเพราะขัดกับหลักการทางศาสนาอยู่บ้าง แต่ล่าสุดได้แก้ไขเรียบร้อยแล้ว เป็นต้น
ใต้ยังระอุช่วงรอมฎอน-กดบึ้มกลางเมืองยะลาโชคดีไร้คนเจ็บ
สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วงเดือนรอมฎอน หรือเดือนแห่งการถือศีลอดของพี่น้องมุสลิม ยังคงมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 10.55 น. วันพุธที่ 25 ส.ค. คนร้ายวางกล่องบรรจุระเบิดไว้ที่โคนเสาไฟฟ้าบริเวณหน้าร้านสวัสดี เลขที่ 608 ถนนสิโรรส ย่านตลาดเก่า ในเขตเทศบาลนครยะลา และใช้วิทยุสื่อสารกดจุดชนวนระเบิดเพื่อหวังทำร้ายเจ้าหน้ที่ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ สภ.เมืองยะลา ที่กำลังยืนรักษาความปลอดภัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว แต่โชคดีที่ระเบิดทำงานไม่สมบูรณ์ ทำให้ไม่มีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ
ช่วงเช้าวันเดียวกัน คนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบยิง นายวาเด็ง สาและ อายุ 57 ปี ขณะขี่รถจักรยานยนต์ไปกรีดยางพร้อมกับภรรยา เหตุเกิดบนถนนสายสายบุรี-กะพ้อ ท้องที่หมู่ 5 บ้านโคกวัว ต.ปล่องหอย อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี ทำให้ นายวาเด็ง เสียชีวิตคาที่ ส่วน นางมารียะ แม อายุ 55 ปี ภรรยาของนายวาเด็งปลอดภัย เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง หรือเป็นการล้างแค้นส่วนตัว
รัวกระสุนดับ อส. 2 ศพที่รือเสาะ-ถล่มอดีต นายก อบต.แม่ลาน
ก่อนหน้านั้น เมื่อเย็นวันจันทร์ที่ 23 ส.ค. คนร้าย 4 คนมีรถจักรยานยนต์ 2 คันเป็นพาหนะ ขี่ตามประกบยิง นายมะกือตา เจ๊ะมะ อายุ 40 ปี และ นายซาการียา มามะ อายุ 27 ปี ทั้งคู่เป็นอาสารักษาดินแดน (อส.) ประจำ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เสียชีวิตบริเวณหน้าร้านขายของชำ เลขที่ 17 บ้านยาแลเบาะ หมู่ 5 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ห่างจากโรงพยาบาลรือเสาะเพียง 500 เมตร เหตุเกิดขณะ อส.ทั้ง 2 นายกำลังขี่รถจักรยานยนต์ไปหาซื้ออาหารเพื่อละศีลอดในช่วงเย็น โดยหลังก่อเหตุ คนร้ายยังได้ขโมยปืนเอ็ม 16 ซึ่งเป็นอาวุธประจำกายของทั้งคู่ พร้อมเครื่องกระสุนไปด้วย
เวลา 03.30 น.วันเดียวกัน คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้รถกระบะเป็นพาหนะ ขับตามประกบรถกระบะสี่ประตูของ นายสูดิง อาบู อายุ 46 ปี อดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ม่วงเตี้ย อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี ขณะขับอยู่บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 410 (ยะลา-ปัตตานี) ท้องที่หมู่ 5 บ้านเกาะบาตอ ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เมื่อสบโอกาสคนร้ายได้ใช้อาวุธปืนสงครามทั้งอาก้าและเอ็ม 16 กระหน่ำยิงใส่ จนนายสูดิงเสียชีวิตคาพวงมาลัย ส่วน นายอับดุลอาซิ วาแม อายุ 47 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 บ้านปายอเมาะสูเม็ง ต.ยะรัง อ.ยะรัง ซึ่งเป็นเพื่อนของนายสูดิงและนั่งมาด้วยกัน ถูกเศษกระจกบาดได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
ช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ยังเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธสงครามเอ็ม 16 และอาก้า ยิง นายมะตอเฮ ตันหยงมัส อายุ 50 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ ขณะขี่รถจักรยานยนต์ไปเข้าเวรรักษาความปลอดภัย เหตุเกิดบริเวณหน้าโรงเรียนบ้านโคกขี้เหล็ก หมู่ 6 ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี และยังมีชาวบ้านถูกลูกหลงได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย คือ นายอาซัน เจ๊ะมะ และนายอับดุลเลาะ ลือแบซา เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าทั้งสองเหตุการณ์เป็นการกระทำของคนร้ายกลุ่มเดียวกัน เพราะอาวุธที่ใช้เหมือนกัน
ต่อมาเวลา 07.00 น. ยังเกิดเหตุคนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบยิง นายเพียร วรรณพฤกษ์ อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 105/2 หมู่ 1 ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ขณะขี่รถจักรยานยนต์ไปทำงานก่อสร้างพร้อมกับภรรยา กระสุนเจาะเข้าที่บริเวณศีรษะของนายเพียร ได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนภรรยาปลอดภัย เหตุเกิดบนถนนสายนาเกตุ-โคกโพธิ์ หมู่ 3 ต.มะกรูด อ.โคกโพธิ์
ทลายแหล่งซ่อนอาวุธกลุ่มป่วนที่ปัตตานี
เวลา 12.00 น. วันเสาร์ที่ 21 ส.ค. พล.ต.ต.พิเชษฐ์ ปิติเศรษฐ์พันธ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี (ผบก.ภ.จว.ปัตตานี) พร้อมด้วย พล.ต.จีระศักดิ์ ชมประสพ ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี แถลงข่าวการทลายแหล่งกบดานและซักซ่อนอาวุธของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่หมู่ 4 บ้านแซะโมะ ต.ตะบิ้ง อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในป่าห่างจากหมู่บ้านถึง 2.5 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่ยึดอุปกรณ์ประกอบระเบิดได้มากกว่า 20 รายการ สามารถประกอบระเบิดได้ถึง 10 ลูก ส่วนผู้ต้องสงสัยเป็นกองกำลังติดอาวุธนั้น หลบหนีไปได้
วันศุกร์ที่ 20 ส.ค. เวลาประมาณ 21.35 น. เกิดเหตุคนร้าย 2 คนสวมชุดดำ มีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนจ่อยิง นายสุรชัย หรือ นายจักรกฤช เด่นปรีชาวงศ์ อายุ 63 ปี เจ้าของร้านจำหน่ายส้มโชกุนเจ้หงษ์ เหตุเกิดที่บ้านเลขที่ 50 ถนนรวมมิตร ในเขตเทศบาลนครยะลา ซึ่งเป็นเป็นร้านจำหน่ายส้มโชกุนด้วย โดย นายสุรชัย ถูกยิงที่ศีรษะ เสียชีวิตคาบ้าน เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มก่อความไม่สงบ หรือเป็นความขัดแย้งส่วนตัว
---------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส และประธานสมัชชาปฏิรูป
ขอบคุณ : ภาพจากเว็บไซต์แพทยสมาคม
http://www.mat.or.th/news_detail.php?section=13&news_id=3170